ทั้งกลุ่มผ่อนฝีเท้าลงตามคำสั่งของเฉินเกอตอนที่พวกเขาเดินผ่านพุ่มไม้ไป
เขารู้ได้ยังไงว่ามีคนอยู่ที่นั่น?
ตอนที่มือกรรไกรผ่านพุ่มไม้ไป เขาก็หันกลับไปมองด้วยความสงสัย มีรอยเลือดไม่ชัดนักซึมออกมาจากส่วนลึกของพุ่มไม้ ไม่มีลม แต่ว่าพุ่มไม้นั้นขยับไหวเล็กน้อย เพราะกลัวจะอยู่ที่นี่นานเกินไป พวกเขาจึงรีบตามหลังเฉินเกอเข้าไปในอพาร์ทเม้นท์
“ผมต้องการให้พวกคุณถอยออกไปเล็กน้อยก่อน อีกเดี๋ยวจะมีคนออกมาจากในลิฟท์ พวกเรามีกันหลายคน และพวกเราอาจจะทำให้เขากลัวโดยไม่ตั้งใจ” เฉินเกอนั้นระมัดระวังมาก เขามองตัวเลขที่เปลี่ยนไปที่บนลิฟท์และให้สัญญาณคนที่เหลือไปซ่อน
“ถ้าคนผู้นั้นถูกพวกเราทำให้ตกใจได้ พวกเขาก็คงไม่เก่งกาจนัก แล้วทำไมพวกเราถึงไม่ลงมือพร้อม ๆ กันจับตัวเขาเอาไว้?” หมอนั้นใจเย็น และเสนอความคิดของเขาออกมา
“พวกเราทำอย่างนั้นไม่ได้ตอนนี้ ผมยังต้องใช้คนผู้นี้ระหว่างแผนการขั้นต่อไปของผม และแผนการก็ต้องการการเชื่อมโยงกันเพื่อให้มันดำเนินไปได้” เฉินเกอผลักหมอไปด้านหลังนิด ๆ “มีสิ่งน่ากลัวอยู่ในเขตที่อยู่อาศัยนี้ พวกเราควรต้องอย่าให้ตัวเองเป็นที่สังเกตในตอนที่ทำได้”
“สิ่งนั้นที่ซ่อนอยู่ที่นี่น่ากลัวยังไงคุณถึงให้พวกเราระมัดระวัง?” ชายขี้เมาเป็นคนแรกที่เรียกร้องให้ถอย “ไปกันเถอะ ผมไม่คิดว่าพวกเราควรจะแวะที่นี่”
ตอนที่พวกเขากำลังถกเถียงกันอยู่นั้น ลิฟท์ก็เกือบจะมาถึงชั้นแรกแล้ว เฉินเกอเลิกเสียเวลากับผู้โดยสารคนอื่น ๆ และผลักพวกเขาเข้าไปในประตูหนีไฟที่เปิดไปสู่ช่องบันได
หลังจากพวกเขาไปซ่อนแล้ว เฉินเกอก็หันไปมองประตูลิฟท์ “คนร้ายในลิฟท์น่ะเล็งเป้าไปที่เสี่ยวปู้เพราะว่าเสี่ยวปู้อ่อนแอมาก สำหรับคนบ้าคลั่งเหล่านี้ การทรมานและกลั่นแกล้งคนที่อ่อนแอกว่านั้นเป็นความสนุกรูปแบบหนึ่ง ถ้าฉันมีท่าทางเก่งกาจเกินไป พวกเขาก็จะลังเลที่จะโจมตีฉัน แต่ถ้าเขาไม่ตามฉันขึ้นไปที่ชั้นบน อย่างนั้นแผนการที่เหลือก็ไม่สามารถใช้ออกได้แล้ว”
เฉินเกอตัดสินใจทำตามวิธีการที่เขาใช้ในเกมของเสี่ยวปู้ได้อย่างสมบูรณ์แบบ แผนการนั้นก็คือการเปลี่ยนผีและสัตว์ประหลาดในอพาร์ทเม้นท์ให้สู้กันเอง โดยทฤษฎีแล้ว แผนการของเขานั้นสมบูรณ์แบบ แต่ว่าตอนใช้งานจริงนั้นอาจจะมีหลายปัจจัยที่ทำให้แผนการด้อยลง
ตัวเลขที่แสดงหน้าลิฟท์นั้นเปลี่ยนเป็น ‘1’ แล้ว และประตูลิฟท์เก่า ๆ ก็เปิดออกเพื่อรับผู้โดยสาร ผู้ชายคนหนึ่งสวมชุดกันฝนสีดำยืนอยู่กลางลิฟท์ และเขาก็ถือกระเป๋าสีดำใบใหญ่ไว้ในมือ กระเป๋านั่นดูหนัก และมันยังยากที่จะบอกว่าข้างในใส่อะไรเอาไว้ ผู้ชายคนนั้นดูจะไม่ได้คิดว่าจะมีคนอื่นอยู่นอกลิฟท์ เขาเอื้อมมือมาดึงหมวกที่ติดอยู่กับชุดกันฝนลงต่ำจนเกือบจะปิดหน้าเขาไปหมด
“สวัสดีครับ?” เฉินเกอเป็นฝ่ายทักทาย ขณะที่เขาสงสัยว่าจะล่อฆาตกรบ้าคลั่งคนนี้ให้ตามเขาขึ้นไปชั้นบนอย่างไรดี ผู้ชายคนนี้ก็เดินออกจากลิฟท์ ประตูลิฟท์นั้นเปิดได้กว้างมาก เฉินเกอหิ้วกระเป๋าใหญ่สองใบเอาไว้ และชายในชุดกันฝนก็ถือใบหนึ่งที่ไม่นับว่าเล็กเอาไว้ ตอนที่พวกเขาเดินผ่านกัน มันก็เป็นไปตามที่คิดที่สัมภาระของพวกเขานั้นกระแทกเข้าใส่กัน
เลือดซึมออกมาจากกระเป๋าของชายคนนั้น ทั้งเฉินเกอและชายในชุดกันฝนต่างเห็นรอยเลือดที่แผ่ออก
สีหน้าของเฉินเกอนั้นเปลี่ยนไป คิ้วของเขาขมวดจนติดกัน ขาของเขากระตุก และเขาก็ผงะไปด้านหลัง ปฏิกริยาทั้งหมดของเขานั้นส่อชัดว่าพยายามหนี เฉินเกอวิ่งเข้าไปในลิฟท์ด้วยกริยาร้อนรน
กลัว ตื่นตระหนก และวิตกกังวล– อารมณ์ต่าง ๆ นั้นเผยออกมาผ่านภาษากายและสีหน้า มันเป็นการเสียเปล่าจริง ๆ ที่ฟางหยวนไม่ใช่นักแสดง เขาพุ่งเข้าไปในลิฟท์และกดปุ่มบนแผงควบคุมลิฟท์หลายครั้ง ท่าทางตื่นตระหนกเผยความวิตกกังวลที่แผดเผาอยู่ในใจเขาออกมา และการถูกจ้องมองก็ยิ่งเพิ่มความหวาดกลัวที่เกาะกุมรอบหัวใจเขา
ไม่ว่าจะมองมุมไหน เฉินเกอก็ดูเหมือนเป็นเหยื่ออย่างแท้จริง เป็นธรรมดาที่ชายในชุดกันฝนจะพิจารณาปฏิกริยาทั้งหมดของเฉินเกอ เขาหันกลับมา และในเมื่อขอบหมวกที่ติดกับชุดกันฝนนั้นปิดคลุมดวงตาและเส้นผมของเขาเอาไว้ เฉินเกอจึงมองเห็นเพียงการแสยะยิ้มอย่างเหี้ยมโหดที่ปรากฏบนริมฝีปากของเขา เฉินเกอนั้นคุ้นเคยกับการแสดงออกเช่นนี้มาก นี่เป็นรอยยิ้มที่พวกสัตว์ร้ายมักจะเผยออกมาเมื่อพบเหยื่อที่ไม่คาดคิด
ปลาติดเบ็ดแล้วขณะที่ประตูลิฟท์ปิดลงช้า ๆ เฉินเกอก็ปล่อยให้สีหน้าของตนผ่อนคลายลง และเขาก็ถอนหายใจโล่งอกอยู่ข้างใน ถ้าฉันเข้าใจไม่ผิด เขาต้องไล่ตามมาจับฉันแน่
ขณะที่ช่องว่างระหว่างประตูลิฟท์แคบลงและเฉินเกอกำลังพยายามวางแผนก้าวต่อไปอยู่ จู่ ๆ เขาก็เห็นมือซีด ๆ ข้างหนึ่งเอื้อมเข้ามาที่ช่องระหว่างประตูลิฟท์!
ประตูที่กำลังปิดเปิดออกอีกครั้ง และชายในชุดกันฝนก็ยืนอยู่ด้านนอกลิฟท์ก้มหน้าต่ำ บรรยากาศในห้องโถงเปลี่ยนเป็นกดดัน และรอยยิ้มบนใบหน้าของชายในชุดกันฝนก็ยิ่งบ้าคลั่งกว่าเดิม เขายกขาขึ้นช้า ๆ และเดินเข้าไปในลิฟท์
นี่เป็นการเปลี่ยนแปลงที่ไม่คาดคิด ตอนที่เขาเล่นเกมของเสี่ยวปู้ ชายในชุดกันฝนนั้นไม่ได้ไล่ตามเสี่ยวปู้ไปในทันที และนั่นก็ทำให้เฉินเกอมีเวลาวางแผนการกระทำต่อ ๆ ไป
แสงสลัวในลิฟท์ส่องลงมาที่ใบหน้าของทั้งสองคน ชายในชุดกันฝนยืนอยู่ข้างเฉินเกอ และบรรยากาศอันไม่น่าสบายใจก็แผ่ออกจากชายคนนั้น มันเหมือนกับเขาไม่ใช่คนเป็นแต่เป็นสัตว์ร้ายที่พยายามเก็บงำธรรมชาติอันดุร้ายของตนอยู่
ลิฟท์เริ่มเคลื่อนขึ้นด้านบน ภายในพื้นที่ปิดสนิท ไม่มีโอกาสให้เฉินเกอหลบการโจมตีใด ๆ ที่กำลังจะมาถึง
เพื่อเปิดครรลองสายตาให้ชัดเจน ชายในชุดกันฝนดึงหมวกคลุมของชุดกันฝนของตนออก การกระทำนั้นเผยให้เห็นบาดแผลที่หน้าผากของเขาและยังปานที่ใกล้ ๆ ดวงตาข้างซ้าย– ความบกพร่องเหล่านี้ทำให้เขาหมดเสน่ห์ เมื่อสัมผัสได้ถึงการเคลื่อนไหวของชายในชุดกันฝน เฉินเกอก็ขยับลึกเข้าไปในลิฟท์ แต่ว่า พื้นที่ด้านในลิฟท์นั้นก็ใหญ่เพียงเท่านี้ ดังนั้นเขาจะมีโอกาสถอยไปไหนได้?
“ก่อนหน้านี้ แกเห็นของที่ในกระเป๋าของฉันใช่ไหม?” ชายในชุดกันฝนหันมาหาเฉินเกอ ปานที่บนหน้าของเขานั้นฉีกออกจากการเคลื่อนไหวและมันก็ดูค่อนข้างน่ากลัว
“ไม่ ผมไม่เห็นอะไรทั้งนั้น” เฉินเกอนั้นพูดความจริง เขาเพียงแค่เห็นเลือดที่ซึมออกมาจากกระเป๋าเท่านั้น
“อย่างนั้นเหรอ?” ชายในชุดกันฝนทิ้งกระเป๋าลงที่ข้งตัวและดึงมีดที่เขาซ่อนเอาไว้ที่ด้านหลังออกมา “แกไม่เห็นอะไรเลยก็ไม่เป็นไร ตอนที่ฉันยัดแกเข้าไปข้างใน แกจะมีเวลามากมายให้ดูว่าข้างในกระเป๋ามีอะไร!”
เขามองเฉินเกอพร้อมรอยยิ้มร้ายกาจและสนุกไปกับความสิ้นหวังที่หมุนวนอยู่ในดวงตาเฉินเกอ เขาพุ่งตรงไปพร้อมกับมีด เล็งไปที่ลำตัวของเฉินเกอ เขาเตรียมรับฟังเสียงกรีดร้องด้วยความเจ็บปวดจากริมฝีปากของเฉินเกอ แต่ตอนที่มีดของเขายังอยู่ห่างจากเฉินเกอครึ่งเมตร เขาก็เห็นชายหนุ่มตรงหน้าเขาคว้ากระเป๋าสะพายหลังของตัวเองและพยายามเหวี่ยงมันใส่เขาอย่างแรง
เขาไม่รู้ว่าในกระเป๋าของเฉินเกอนั้นมีอะไรอยู่ เหมือนที่เฉินเกอก็ไม่รู้ว่ามีอะไรอยู่ในกระเป๋าของเขา ด้วยความคิดนี้ เขาเดาว่าคงไม่มีอะไรนอกจากของใช้ประจำวันอยู่ในกระเป๋าของเฉินเกอ และนั่นก็คงไม่เป็นไรถ้าจะรับแรงกระแทกจากมันสักครั้ง อย่างไรเสีย มันก็ต่างไปเมื่อเป็นมีดของเขา เพียงแค่จ้วงแทงด้วยคมมีดนี้ครั้งเดียว และเลือดก็จะต้องไหลทะลักออกมา
สีหน้าของเขานั้นบิดเบี้ยวด้วยความเกลียดชัง จากนั้น ชายในชุดกันฝนก็เห็นชายหนุ่มเหวี่ยงกระเป๋าอย่างแรงและกระแทกเข้าที่แขนของเขา
โครม!
เสียงกระดูกหักก้องชัดในหูของเขา สมาธิของชายในชุดกันฝนนั้นจับอยู่ที่เฉินเกอ และจนถึงตอนนี้ เขาก็ไม่แน่ใจว่าเสียงนั่นดังมาจากไหน แรงกระแทกทำให้เขาล้มไปกับพื้นและมีดก็หลุดออกจากปลายนิ้วหล่นไปที่พื้นเสียงดังเคล้ง
ความเจ็บปวดรุนแรงพุ่งไปทั่วร่างของเขา และนั่นก็กระตุ้นสัญชาตญาณสัตว์ป่าในตัวชายในชุดกันฝน เหมือนสัตว์ที่สิ้นหวัง เขาพยายามเอื้อมไปหามีดด้วยแขนข้างที่ไม่ได้รับบาดเจ็บ มีดอยู่ตรงหน้าเขาแท้ ๆ แต่เมื่อปลายนิ้วของเขากำรอบด้ามมีด รองเท้าข้างหนึ่งก็เหยียบมั่นอยู่บนใบมีด
ชายในชุดกันฝนมองขึ้นไป และเขาก็เห็นชายหนุ่มเปิดซิปกระเป๋าด้วยสีหน้าหดหู่
“ถึงแม้ว่าไกด์ในเกมดูเหมือนว่าจะประโยชน์ แต่ดูเหมือนว่าฉันจะไม่สามารถพึ่งพามันได้เต็มที่” เฉินเกอก้มหน้าลงมามองชายในชุดกันฝนและใบหน้าของเขาก็เต็มไปด้วยรอยยิ้ม ความกลัว ความหวาดหวั่น และความตื่นตระหนกทั้งหมดบนหน้าของเขาหายวับไป เขาเลียนเสียงชายในชุดกันฝนเมื่อครู่ “เมื่อกี้นี้ แกเห็นของที่ในกระเป๋าของฉันใช่ไหม?”
“ไม่! เดี๋ยวก่อน!”
ซิปกระเป๋าเปิดออกและเฉินเกอก็คว้าด้ามค้อนคุณหมอนักเจาะกะโหลกที่หน้าตาน่ากลัวเอาไว้ เขาดึงมันออกจากกระเป๋า “แกไม่เห็นอะไรเลยก็ไม่เป็นไร ตอนที่ฉันยัดแกเข้าไปข้างใน แกจะมีเวลามากมายให้ดูว่าข้างในกระเป๋ามีอะไร!”
“รอเดี๋ยว! ช่วยด้วย!”
…
ลิฟท์กลับมาที่ชั้นแรก เฉินเกอลากชายในชุดกันฝนที่หมดสติออกมาจากลิฟท์ “เขาดูค่อนข้างผอม แล้วทำไมถึงยัดเขาเข้าไปข้างในไม่ได้กัน? เป็นเพราะว่ามีกระดูกหักมากเกินไปเหรอ? โอ้ ก็ดี อย่างน้อยที่สุดเขาก็เคลื่อนไหวไม่ได้ ฉันไม่ได้หักกระดูกของเขาทุกท่อน– นั่นจะเสียเวลาเกินไป”
ผู้โดยสารคนอื่น ๆ ทั้งหมดวิ่งเข้ามารวมกลุ่มกันตอนที่เห็นเฉินเกอเดินออกมาจากลิฟท์ ตอนที่พวกเขาเห็นชายในชุดกันฝนมีฟองน้ำลายอยู่เต็มปาก พึมพำบางอย่างที่ฟังไม่รู้เรื่อง พวกเขาทั้งหมดก็ตัวสั่นอย่างควบคุมไม่ได้
“พวกคุณก็เห็นกับตา เป็นเขาที่ดื้อจะตามผมเข้าไปในลิฟท์ ผมก็ต้องป้องกันตัวเอง” เฉินเกอลากชายในชุดกันฝนและกระเป๋าของเขาไปยังกองขยะใกล้ ๆ ทางเข้าและซ่อนเขาเอาไว้กับถุงขยะพวกนั้น
“พวกเราจะทำอย่างไรต่อไป?” ผู้โดยสารไม่เข้าใจความคิดของเฉินเกอเลยสักนิด
“ในเมื่อพวกเราก็ถูกเผยตัวไปแล้ว ก็ได้เวลาที่จะต้องปรับกลยุทธต่างไปแล้ว” เฉินเกอลากค้อนเดินไปยังพุ่มไม้ไม่ไกลนัก “ตามผมมา”
สายลมเย็น ๆ ลูบผ่านหลังคอพวกเขา เฉินเกอนั้นไม่ผ่อนฝีเท้าลงเลยทั้งที่เข้าไปในพุ่มไม้ เสียงดังเสียวสันหลังก้องอยู่ที่ด้านในพุ่มไม้– มีคนกำลังทำงานวุ่นวายอยู่
เฉินเกอที่เปื้อนเลือดไปทั้งตัวเดินช้าลง และในที่สุดก็มองเห็นฆาตกรที่ในพุ่มไม้
ผู้ชายคนนี้ดูน่ากลัวกว่าชายในชุดกันฝน ร่างกายของเขาเต็มไปด้วยจุดสีเทามากมาย มันเหมือนเขากำลังป่วยโรคผิวหนังสักชนิดหนึ่ง แต่เมื่อมองใกล้ ๆ เฉินเกอก็พบว่าจุดพวกนั้นดูคล้ายกับที่ปรากฏบนซากศพมาก
“ผิวสีเทา?” มองจุดสีเทาบนร่างฆาตกรแล้วเขาก็นึกถึงสัตว์ประหลายบางตนและคนที่เขาพบที่เมืองหลี่ว่านนี่ พวกเขาล้วนมีความคล้ายกันบนร่างกาย– ผิวของพวกเขานั้นเป็นสีเทาอย่างไม่เป็นธรรมชาติ
คนเหล่านี้ดูเหมือนจะอยู่ในเมืองหลี่ว่านนานเกินไปและถูกปนเปื้อนจากโลกด้านหลังประตูที่เมืองหลี่ว่าน ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงที่ประหลาดกับร่างกายของพวกเขา
“จุดสีเทา ๆ พวกนี้ขยับได้” หลังจากใช้ดวงตาหยินหยาง เฉินเกอก็เห็นว่าจุดสีเทา ๆ ปรากฏขึ้นตามความต้องการของมันเอง พวกมันดูเหมือนกำลังทำเหมือนว่าร่างกายของมนุษย์นั้นเป็นเตียงอันอบอุ่นให้เติบโตและงอกงาม “พวกมันน่าจะเป็นอารมณ์ด้านลมที่สั่งสมไว้ด้านหลังประตู อารมณ์เหล่านี้นั้นฝังตัวเองเอาไว้กับคนเหล่านี้ ทำให้จิตใจของพวกเขานั้นเกินจะควบคุมได้”
อารมณ์ด้านลบผลักดันให้คนธรรมดาเป็นบ้าไปอย่างช้า ๆ และสิ่งที่น่ากลัวกว่านั้นก็คือมนุษย์ผู้นั้นเปลี่ยนไปเป็นภาชนะบรรจุอารมณ์เหล่านี้ทั้งเป็น พวกเขาใช้ผิวหนังของตนเป็นอาหารแก่จุดสีเทา และเมื่อดำเนินไปเช่นนี้ ทั้งร่างก็จะถูกจุดสีเทายึดครองไป
พอเข้ามาที่โลกด้านหลังประตู เฉินเกอก็เข้าใจความน่ากลัวของโลก ถ้าเขาไม่สามารถต่อต้านอารมณ์ด้านลบได้ ในที่สุดเขาก็จะตกอยู่ภายใต้อิทธิพลของอารมณ์ด้านลบเหล่านี้ กลายเป็นตุ๊กตาชักใยของพวกมันและเปลี่ยนไปเป็นผู้อาศัยด้านหลังประตู
“จากข้อมูลที่ได้จากประตู เงานั่นส่งผู้โดยสารที่สิ้นหวังมากมายเข้าไปที่โลกด้านหลังประตู ฆาตกรตรงหน้าฉันคนนี้น่าจะเป็นหนึ่งในคนพวกนั้น”
คนเหล่านั้นกำความหวังสุดท้ายมาที่เมืองนี้ ไม่คิดเลยว่าสิ่งที่รอพวกเขาอยู่นั้นเป็นหุบเหวที่ยังสิ้นหวังยิ่งกว่า เงานั่นไม่เคยต้องการช่วยพวกเขาอยู่ตั้งแต่แรก– เขาเพียงแค่เห็นคนโชคร้ายเหล่านี้เป็นสารอาหารเลี้ยงดูโลกที่ด้านหลังประตู
ผู้ชายในพุ่มไม้สังเกตเห็นเฉินเกอเช่นกัน แต่อาจจะเพราะว่าเขาเห็นค้อนที่เฉินเกอถืออยู่ เขาไม่ได้ทำอะไรวู่วาม เขาอาจจะเหี้ยมโหด แต่ว่าเขาไม่โง่ เขาสัมผัสได้ถึงความน่ากลัวอย่างอธิบายไม่ได้จากร่างฟางหยวน
“ว้าว มีคนซ่อนอยู่ในนี้จริง ๆ ด้วย แกรู้เรื่องนี้ได้ยังไงเนี่ย?” มือกรรไกรตามหลังเฉินเกอมา ในด้านของรูปลักษณ์ เขาอาจจะไม่ด้อยไปกว่าชายในพุ่มไม้เลย อย่างน้อยที่สุด สิ่งแรกที่เขามีก็คือความน่ากลัว เขากำกรรไกรในมือแน่น และยังทำตามคำแนะนำของเฉินเกอและจับกรรไกรที่ตรงกลาง ไม่ใช่ที่ปลายด้านหนึ่ง
“บ้าชะมัด! นี่มันเกินไปแล้ว!” ชายขี้เมาแค่โผล่หัวออกมาดูก่อนที่จะขดตัวหลบด้านหลังหมอ
“คุณเลิกหลบหลังผมทุกครั้งได้ไหม?” ผ้าพันคอปิดใบหน้าของเขา แต่ก็ยังมองเห็นคิ้วของเขาขมวดเข้าหากัน การจู่ ๆ ก็โผล่มาของคนสี่คนทำให้ฆาตกรอึ้งงันไป เขาไม่เคยเจอแบบนี้มาก่อน– เขารู้สึกเหมือนเป็นสัตว์ในสวนสัตว์ให้คนจ้องมอง เขาสูดลมหายใจลึก ๆ และเอื้อมมือไปหาอุปกรณ์ที่เขาใช้ตัดชิ้นส่วนร่างกายก่อนหน้านี้เงียบ ๆ ดวงตาของเขาเต็มไปด้วยความคิดผิดบาป ถ้าเขามีโอกาส เขาจะไม่ลังเลเลยที่จะสังหารคนกลุ่มนี้ตรงหน้าเขา
“ไม่ต้องห่วง ผมแค่อยากถามคำถามคุณสองสามคำเท่านั้น และจะขอความช่วยเหลือจากคุณ” เฉินเกอโยนเจ้าแมวขาวไปข้าง ๆ และกดปุ่มเครื่องเล่นเทป ถึงแม้ว่าชายตรงหน้าพวกเขาจะเป็นคนเป็น ๆ บางทีเขาอาจจะอยู่ที่นี่นานเกินไป ร่างกายของเขานั้นปนเปื้อนด้วยอารมณ์ด้านลบอย่างรุนแรง ทำให้เขาดูเหมือนเป็นสัตว์ประหลาดแล้วตอนนี้
“คุณอยู่ที่นี่นานแค่ไหนแล้ว? และมีคนอย่างคุณที่อาศัยอยู่ในเมืองเล็ก ๆ นี้มากแค่ไหน? คุณเคยเห็นคนที่มีหน้าที่ดูแลเมืองนี้ไหม?” เฉินเกอกำลังจะถามคำถามที่สี่ตอนที่ชายคนนี้ฉวยโอกาสที่เฉินเกอกะพริบตาโถมร่างเข้าใส่เขา เขายกอาวุธในมือขึ้น เล็งไปที่ลำคอของเฉินเกอ
ความเร็วของเขานั้นเร็วกว่าคนธรรมดา ต้องขอบคุณที่เฉินเกอเตรียมการสำหรับการลอบทำร้ายเอาไว้ เขามีปฏิกริยารวดเร็วและใช้ค้อนขวางการโจมตีเอาไว้ แต่ว่า ค้อนหนักมาก และมันก็ไม่ได้ใช้การได้ง่าย โดยเฉพาะอย่างยิ่งระหว่างเวลาที่ต้องการความรวดเร็ว ในที่สุดเฉินเกอก็ทำได้แค่ยกด้ามของมันขึ้นขวางการโจมตี
แต่เฉินเกอก็ต้องประหลาดใจ ตอนที่เขาถูกโจมตี มือกรรไกรที่ข้าง ๆ เขานั้นไม่ได้ถอยไปเพราะความกลัวแต่ยกอาวุธในมือขึ้นช่วยเฉินเกอหยุดการโจมตีเอาไว้
“ทำได้ดี แต่ว่าคุณก็ยังช้าเกินไป” เฉินเกอกระโดดถอยหลังเพิ่มระยะห่างระหว่างพวกเขา จากนั้นเขาก็จับค้อนด้วยสองมือแล้วตวัดมันใส่ฆาตกรในพุ่มไม้ ในด้านรูปลักษณ์ ฝ่ายเฉินเกอย่อมชนะ “ผมแค่อยากถามคำถามคุณไม่กี่ข้อ และคุณก็จะเอาชีวิตผมซะแล้ว?”
ทั้งสองคนวิ่งเข้าไปในพุ่มไม้ เฉินเกอถือค้อนเอาไว้ไล่ตามฆาตกรวิ่งวนไปรอบอพาร์ทเม้นท์สามรอบก่อนที่ฝ่ายหลังจะล้มลงด้วยความหมดแรงและถูกเฉินเกอจับตัวไว้
“คุณยังอ่อนแอเกินกว่าจะแข่งกับผมในด้านความอึด” ร่างกายของเฉินเกอนั้นฝึกฝนมาอย่างดี แน่นอนว่า ก็เป็นเพราะพวกผีที่เขาต้องหนีอยู่ทุกวี่วัน เดินไปที่จุดทิ้งขยะ เฉินเกอเจอเชือกเอามามัดฆาตกรเอาไว้ “ระวังด้วย เกือบจะได้เวลาที่พวกเราต้องเผชิญหน้ากับอันตรายแท้จริงแล้ว”
“เดี๋ยวนะ ฆาตกรบ้าคลั่งพวกนี้ยังไม่ใช่อันตรายแท้จริง?” ชายขี้เมาไม่อยากอยู่ที่นี่อีกต่อไปแล้ว เขามีความรู้สึกว่า ยิ่งอยู่ที่นี่นาน เขาก็จะยิ่งบ้าคลั่งไปกว่าเดิม
“คุณเพิ่งเห็นแค่เล็กน้อยเท่านั้น” เฉินเกอทุบชายในชุดกันฝนที่จุดทิ้งขยะอีกสองสามครั้ง
“อย่ามองผมแบบนั้น ยังมีคนอื่น ๆ ในเมืองหลี่ว่านที่มือเปื้อนเลือดเต็มไปหมด ที่ผมทำอย่างนี้ก็เพราะว่าผมกลัวว่าพวกเขาจะเปิดโปงพวกเราหลังจากพวกเขาตื่นขึ้นมา ถึงแม้ว่าฆาตกรส่วนใหญ่จะลงมือคนเดียว แต่ระวังไว้ก่อนก็ไม่เห็นเป็นไร” จากนั้นเฉินเกอก็ดึงฆาตกรจากในพุ่มไม้แล้วผลักเขาเข้าไปในอพาร์ทเม้นท์ “พวกคุณรอผมอยู่ที่ชั้นล่าง พอผมให้สัญญาณพวกคุณวิ่ง ก็ให้วิ่งหนีออกไปจากอพาร์ทเม้นท์”
“นั่นฟังดูไม่เหมือนแผนการที่ดีเลยนะ” ชายขี้เมาอยากจะขอรายละเอียดจากเฉินเกอมากกว่านี้ แต่ว่าเฉินเกอเริ่มเดินขึ้นบันไดไปแล้ว
เขาดึงฆาตกรไปยังประตูบ้านเสี่ยวปู้ เห็นภาพอันคุ้นเคย เฉินเกอก็มีความรู้สึกแปลก ๆ ว่าโลกในเกมนั้นซ้อนทับกับโลกจริง
“ฉันจะเข้าไปดูก่อน ถ้าไม่มีเงื่อนงำที่เป็นประโยชน์ ฉันก็จะต้องหาวิธีล่อวิญญาณสีเลือดจากข้างบ้านเสี่ยวปู้ออกมา”