บทที่ 78 พบกันกลางทาง โดย Ink Stone_Romance
รถม้าแล่นโขยกเขยกไปบนถนนอันหนาวเหน็บสายหนึ่ง ภาพของบ้านเรืองถูกทิ้งเอาไว้ด้านหลัง เสียงดังอึกทึกค่อยๆ หายไปตั้งแต่เมื่อหนึ่งเค่อก่อน พวกเขาห่างจากเมืองหลวงมากขึ้นเรื่อยๆ
รถม้าคันนี้เงียบเหลือเกิน ทั้งสามคนไม่มีใครพูดอะไรกัน อวี๋ซงเหนื่อจนผล็อยหลับไป ส่วนอวี๋หวั่นและอวี๋เฟิงยังมิได้หลับ
นับตั้งแต่บนสนทนาก่อนหน้านี้จบลง อวี๋หวั่นก็มิได้กล่าวอะไรอีก อวี๋เฟิงสัมผัสได้ถึงบรรยากาศที่เปลี่ยนไป
กล่าวตามจริง เขาเองก็ชอบเด็กๆ เหล่านั้น แต่พวกเขามิใช่คนธรรมดาสามัญ ครอบครัวของอวี๋เฟิงไหนเลยจะผูกสัมพันธ์กับพวกเขาได้ อีกอย่าง แม่นางเหยียนผู้นั้นก็ดูเหมือนจะมิใช่คนที่น่าคบหาเท่าไรนัก อวี๋หวั่นเองก็บอกปัดนางไปแล้วถึงสองครั้ง หากนางรู้ว่าพวกเขาสนิทสนมกับบุตรของนางเพียงใด ก็ไม่อาจรู้ได้ว่านางจะเข้าใจผิดว่าพวกเขามีนัยยะแอบแฝงหรือไม่
“อาหวั่น…”
ทว่าเขายังมิทันพูดจบ สายตาเย็นเยียบของอวี๋หวั่นก็หันมาทางเขา!
แต่ไหนแต่ไรมาอวี๋เฟิงไม่เคยเห็นสายตาอันคมกริบเช่นนี้ของอวี๋หวั่น หัวใจของเขาแทบตกไปอยู่ที่ตาตุ่ม ขณะที่กำลังจะเอ่ยปากถามอวี๋หวั่นว่าเป็นอะไร ก็รู้สึกชาไปทั้งร่าง จากนั้นดวงตาทั้งสองข้างของเขาก็ปิดลง แล้วเขาสลบไปบนรถม้า
ในช่วงเวลาเดียวกันนั้นเอง ร่างของอวี๋ซงก็ทรุดดฮวบลงไปเช่นกัน
ด้านนอกรถม้าก็มีเสียงขลุกขลักดังขึ้น เห็นได้ชัดว่าสารถีรถม้าคันนี้ก็สลบไปแล้ว
สายบังเหียนถูกดึงในฉับพลัน จนทำให้ม้าส่งเสียงร้องออกมา จากนั้นรถม้าก็หยุดลง
ทั้งหมดนี้ล้วนเกิดขึ้นภายในชั่วพริบตาเดียว
“ใครน่ะ?” อวี๋หวั่นถามอย่างระแวดระวัง
เสียงฝีเท้าของบุรุษผู้หนึ่งค่อยๆ ใกล้เข้ามา และมาหยุดอยู่ห่างจากรถม้าเพียงไม่กี่ก้าว
ทั้งสารถีและพี่ชายทั้งสองของเธอต่างสลบไป มีเพียงเธอคนเดียวที่ยังตื่นอยู่ คนผู้นี้ดูแล้วน่าจะมาตามหาเธอ
อีกฝ่ายเคลื่อนไหวได้อย่างรวดเร็ว หากเธอจะหลบก็คงหลบไม่พ้น ในเมื่อเป็นเช่นนี้ อวี๋หวั่นก็ทำได้เพียงเปิดม่านออกไปอย่างสง่าผ่าเผย เมื่อเปิดม่านออกไป ก็เห็นสีฟ้าอ่อนที่ดูคุ้นตา
“เป็นท่าน?”
อีกฝ่ายสวมงอบ สวมอาภรณ์สีฟ้า ด้านหลังสะพายกระบี่ยาวซึ่งถูกห่อเอาไว้ หากมิใช่บุรุษหนุ่มที่อวี๋หวั่นเคยพบในวัดร้างแล้วจะเป็นใครได้เล่า?
“อวี้จื่อกุย?” อวี๋หวั่นลองเอ่ยนามของอีกฝ่ายเพื่อหยั่งเชิง
“เจ้ารู้หรือว่าข้าเป็นใคร” อวี๋จื่อกุยเอ่ยถามอย่างเยือกเย็น
อวี๋หวั่นมีสีหน้าราบเรียบ “ข้าไม่รู้ได้ด้วยหรือ? ศัตรูของท่านไปถึงบ้านข้า หากมิใช่เพราะข้าโชคดี ตอนนี้เกรงว่าคงจะไม่ได้มาพบหน้าท่านจอมยุทธ์อวี้เช่นนี้หรอก”
“พวกเขามิใช่ศัตรูของข้า” อวี้จื่อกุยกล่าว
นี่คือประเด็นหลักหรือ? ข้าถูกตามฆ่ากลางดึกก็เพราะท่าน! ท่านจะไม่ถามข้าสักหน่อยหรือว่าตอนนี้เป็นอย่างไรบ้าง? ข้าหนีออกมาได้อย่างไร?
“เจ้าหนีออกมาได้อย่างไร” อวี้จื่อกุยถามขึ้นจริงๆ
“ข้าขอไม่ตอบ” อวี๋หวั่นกล่าวด้วยสีหน้าไร้อารมณ์
เงาของงอบบดบังใบหน้าของอวี้จื่อกุย ทำให้มิอาจมองเห็นสีหน้าของเขาได้ อวี๋หวั่นมิได้ตอบคำถาม เขาก็ไม่ได้ซักไซ้ต่อ แต่กลับเอ่ยขึ้นว่า “เชียนจีเก๋อถูกล้างบาง มิอาจสืบรู้ได้ว่าเป็นฝีมือใคร”
อวี๋หวั่นชะงักไป จัดการหมดเลยหรือ? เยี่ยนจิ่วเฉาทำสำเร็จ?
ช่างบังเอิญนัก หากกล่าวว่าเยี่ยนจิ่วเฉามิได้ทำ อวี๋หวั่นก็คงไม่เชื่อ
เพียงแต่ว่า เขาจัดการจนไร้ร่องรอยและหลักฐานใดๆ เช่นนี้ ต้องใช้วิธีประหลาดอะไรกัน?
อวี้จื่อกุยมิได้นำเรื่องนี้มาเชื่อมโยงกับอวี๋หวั่นแต่อย่างใด เขาเอ่ยขึ้นว่า “นำถุงผ้าไหมมาให้ข้าได้แล้ว”
“ถุงผ้าไหมอะไร” อวี๋หวั่นถาม
“วันนั้นที่วัดร้าง ข้าให้ถุงผ้าไหมไว้กับเจ้า” อวี๋จื่อกุยกล่าว
ดวงตาสวยดั่งเมล็ดซิ่งของอวี๋หวั่นถลึงใส่เขา “ท่านให้ถุงผ้าไหมกับข้าจริงๆ รึ?”
“อืม ให้ไปแล้ว” อวี้จื่อกุยตอบอย่างเถรตรง
อวี๋หวั่นกล่าวด้วยโทสะ “คนแซ่อวี้ รู้หรือไม่ว่าเจ้าทำให้ข้าเกือบตาย?! ข้านึกว่าเชียนจีเก๋อกล่าวโทษข้ามั่วๆ เสียแล้ว! แต่ที่จริง…เจ้านั่นแหละที่นำปัญหามาให้ข้า! ข้ายังจะคิดว่าเจ้าหวังดีอยู่ได้อย่างไร! ที่ช่วยข้าจัดการกับโจร แล้วยังให้ของข้ากินอีก สุดท้ายแล้วมันก็ย้อนกลับมาเป็นผลร้ายกับข้าเอง!”
อวี๋หวั่นโกรธยิ่งกว่าเดิม เธอคว้าตะเกียงน้ำมันแล้วเขวี้ยงใส่เขา
อวี้จื่อกุยเอียงหลบตะเกียงของอวี๋หวั่น
อวี๋หวั่นยกเก้าอี้ขึ้นมา แล้วเขวี้ยงใส่งอบของเขา
เขาจับเอาไว้ด้วยมือเดียว ร่างของเขาเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็ว แล้วก็ขึ้นมาบนรถม้า อวี๋หวั่นรู้สึกได้ถึงพลังของเขาที่ล้อมอยู่รอบกายของเธอ “ถุงผ้าไหม เอามาให้ข้า”
“ข้าไม่มี!” อวี๋หวั่นกล่าวด้วยน้ำเสียงเย็นเยียบ
“ข้าจะพูดอีกครั้ง เอาถุงผ้าไหมมาให้ข้า”
“ไม่มีก็คือไม่มี จะให้พูดกี่ครั้งก็คือไม่มี!”
เธอไม่มีจริงๆ วันนั้นวิ่งหนีไปเป็นสิบหลี่ ผีสางเทวดาตนใดจะรู้ว่าถุงผ้าไหมนั่นตกอยู่ที่ใด
และต่อให้ถุงผ้าไหมอยู่ที่เธอ เธอก็ไม่ยอมให้เขาเด็ดขาด!
อวี๋จื่อกุยกล่าวเสียงต่ำ “เจ้าเก็บถุงนั้นไว้ ก็จะไม่เป็นผลดีต่อตัวเจ้าเอง”
อวี๋หวั่นแค่นหัวเราะ “ทีนี้ก็รู้แล้วใช่ไหมว่ามันไม่เป็นผลดีกับข้า? ตอนนั้นที่ใช้ให้ข้านำถุงผ้าไหมออกมา เหตุใดไม่พูดเล่า?”
อวี๋จื่อกุยชะงักไป “ครานี้นับว่าข้าติดค้างเจ้า คืนถุงผ้าไหมมาให้ข้า”
แววตาของอวี๋หวั่นสั่นคลอนเบาๆ “เช่นนั้นเจ้ามานี่”
อวี้จื่อกุยเป็นดังที่บุรุษชุดดำกล่าวจริงๆ เขาไม่ชอบเข้าใกล้ผู้ใด เขาลังเลอยู่คู่หนึ่งแล้วจึงเดินเข้าไปใกล้วอวี๋หวั่น
ทันใดนั้นเอง อวี๋หวั่นก็เขวี้ยงถุงเกลือเกล็ดหิมะใส่เขาอย่างแรง จังหวะที่อวี้จื่อกุยหลับตา เธอก็ถีบเข้าที่ท้องของเขา!
อวี้จื่อกุยมิได้ทันได้ป้องกันตัว ก็ถูกถีบตกลงจากรถม้าเสียแล้ว
อวี๋หวั่นรีบจับสารถีใส่เข้าไปในรถ แล้วจึงไปนั่งในที่ของเขา จากนั้นก็สะบัดสายบังเหียน
รถม้าควบอย่างบ้าคลั่งไปบนถนนอันเงียบสงบสายหนึ่ง ทว่าน่าเสียดาย วิ่งไปได้ไม่เท่าไร อวี้จื่อกุยก็ตามมาทัน
ทันทีที่อวี้จื่อกุยกำลังจะใช้วิชาตัวเบาไล่ตามอวี๋หวั่น ก็มีเงาสายหนึ่งโฉบมาจากหลังคาบ้านที่อยู่ด้านข้าง ตรงเข้าตวัดกระบี่ใส่อวี้จื่อกุย!
มือข้างซ้ายของเขาก็มิได้ปล่อยว่าง คว้าอวี๋หวั่นอย่างเบามือแล้วโยนเธอเข้าไปในรถม้าที่กำลังเคลื่อนเข้ามาใกล้
ภายในรถนั้นม้าคันนี้ช่างอบอุ่น มีกลิ่นหอมอ่อนๆ เคล้ากับกลิ่นจางๆ ของยาสมุนไพร
อวี๋หวั่นรู้สึกว่าตนเองตกลงมาบนขายาวๆ คู่หนึ่ง
เธอกระพริบตาปริบๆ แล้วจึงเงยหน้าขึ้น
ใบหน้าอันงดงามของเยี่ยนจิ่วเฉาก็เข้ามาในระยะสายตายของเธอโดยมิทันตั้งตัว
ไม่ว่าจะมองกี่ครั้ง ก็รู้สึกราวกับรู้จักกันมาก่อน
เธอมองเยี่ยนจิ่วเฉา เยี่ยนจิ่วเฉาก็มองเธอด้วยสายตาอันเย่อหยิ่งมิสนผู้ใด
อวี๋หวั่นกระแอม แล้วนั่งลงดีๆ
ผู้ที่ช่วยอวี๋หวั่นเมื่อครู่ก็คืออิ่งสือซัน ฝีมือของอิ่งศือซันและอวี้จื่อกุยสูสีกัน ยากที่จะรู้ผลแพ้ชนะ
“เจ้าเป็นใคร”
“เจ้าคิดว่าคุณชายบ้านข้าเป็นใคร!”
“คุณชาย?” อวี้จื่อกุยแค่นหัวเราะ “ใช่สวะอันดับหนึ่งแห่งเมืองเยี่ยนหรือไม่เล่า?”
“เจ้าเรียกใครว่าสวะ?”
อวี้จื่อกุยกล่าว “ไม่ใช่หรืออย่างไร? อายุเจ็ดขวบยังไม่เป็นวิชายุทธ์ สู้เด็กทารกยังมิได้ด้วยซ้ำ หากมิใช่สวะแล้วจะเป็นสิ่งใด?”
อิ่งสือซันโกรธจัด เขาพุ่งไปฟันเข้าที่แขนข้างซ้ายของอวี้จื่อกุย
อวี๋หวั่นไม่รู้ว่าเยี่ยนจิ่วเฉาสู้ไม่ได้แม้แต่เด็กจริงหรือไม่ ทว่าเขามิใช่คนไร้ความสามารถอย่างแน่นอน เพราะคนไร้ความสามารถไม่มีทางจัดการกับเชียนจีเก๋อได้ภายในเวลาชั่วข้ามคืน
อวี๋หวั่นมองไปยังเยี่ยนจิ่วเฉา เยี่ยนจิ่วเฉามีสีหน้าสงบนิ่ง ประหนึ่งมิได้ยินสิ่งที่อวี้จื่อกุยกล่าวแม้แต่น้อย
“ข้าขอเตือนเจ้า อยู่ให้ห่างจากเยี่ยนจิ่วเฉาสักหน่อย! หากเจ้าคิดจะพึ่งพาเขา ข้าว่าเจ้าตื่นเสียก่อนจะดีกว่า! เขาบอกเจ้าหรือยัง ว่าเขาไม่อาจมีชีวิต…”
อวี้จื่อกุยยังไม่ทันพูดจบ เยี่ยนจิ่วเฉาก็ยื่นมือออกมาด้วยนัยน์ตาเย็นเยียบ คว้าเข้าที่ด้านหลังศีรษะของอวี๋หวั่น แล้วถึงเธอเข้าไปในอ้อมกอด
อวี๋หวั่นอยู่มาสองร่าง ไม่เคยใกล้ชิดกับผู้ชายถึงเพียงนี้ ขณะที่เธอกำลังจะดันเขาออกไป ก็พบว่าเขากดมืออีกข้างเบาๆ ทันใดนั้นเอง ก็มีเสียง ‘สวบ’ ดังขึ้น เกาทัณฑ์เย็นเฉียบดอกหนึ่งพุ่งออกมาจากด้านหลังของเธอ!
อวี๋หวั่นค่อยๆ หดมือกลับอย่างว่าง่าย…
อวี๋จื่อกุยถูกยิง ได้รับบาดเจ็บสาหัสและหลบหนีไป
อิ่งสือซันตามมาทัน
ไม่มีเสียงสู้รบดังมาจากด้านนอกอีก โดยรอบพลันเงียบสงัด
อวี๋หวั่นไม่รู้ว่าเขาจะยิงเกาทัณฑ์ดอกที่สองหรือไม่ จึงซุกอยู่ในอ้อมอกของเขา มิได้ขยับตัว
จวบจนโดยรอบปราศจากเสียงสู้รบแล้ว เขาก็ยังมิได้ปล่อยมือจากอวี๋หวั่น อวี๋หวั่นเองก็มิได้ผลักเขาออกไป
และไม่รู้ว่าผ่านไปนานเท่าไร อวี๋หวั่นคล้ายกับจะผล็อยหลับในอ้อมกอดของเขา เธอจึงกล่าวด้วยเสียงอันแผ่วเบาว่า “ข้าลุกขึ้นได้หรือยัง?”
เยี่ยนจิ่วเฉาค่อยๆ คลายมือออก
นั่งอยู่ในท่านี้นานเหลือเกิน ขาของอวี๋หวั่นเกิดเป็นเหน็บขึ้นมา เธอจึงต้องใช้พลังทั้งหมดดึงตัวเองลุกขึ้น
แต่เมื่อดันตัวเองขึ้นมาแล้วกลับรู้สึกแปลกๆ
ดูเหมือนว่าอวี๋หวั่นจะกดลงไปในตำแหน่งที่ไม่ควรกดเสียแล้ว…
………………………………………………