บทที่ 79 เอ็นดู โดย Ink Stone_Romance

ขนาดเท่านี้ เกินไปแล้ว…

อวี๋หวั่นหน้าแดงก่ำ

ช่วงเวลาที่น่ากระอักกระอ่วนเช่นนี้ ไฉนความสนใจของเธอจึงไปอยู่ที่จุดนั้นได้เล่า?

ประสบการณ์ได้บอกกับเธอว่า วิธีการที่ถูกต้องในการลดความกระอักกระอ่วนก็คือการแสร้งว่าไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น เพราะฉะนั้น และเพื่อที่จะแสดงให้เห็นว่าอวี๋หวั่นไม่รู้ว่าตนเองกดอยู่บนอะไร เธอจึงพยุงตัวเองขึ้นมาอย่างสง่าผ่าเผย

เมื่อลุกขึ้นมาได้ เธอก็เชิดคางขึ้นอย่างสง่างามประหนึ่งสตรีสูงศักดิ์ แล้วเดินลงจากรถม้าไปด้วยความเยือกเย็น

คุณชายเยี่ยนซึ่งถูกเอาเปรียบมาหลายต่อหลายครั้ง ใช้งานเสร็จแล้วก็ถูกโยนทิ้งขว้าง “…”

ใบหน้าของเยี่ยนจิ่วเฉาเป็นสีดำราวกับถ่าน

ในตอนแรกที่ตกลงมาบนตักของเขานั้นดูเหมือนกับกระต่ายเชื่องๆ  คิดว่านางอยากจะเอาชีวิตรอดเสียอีก!

อวี๋หวั่นเดินออกไปอย่างมิได้แยแส ดูเย็นชายิ่งนัก

เธอมิได้นั่งรถม้าที่เธอนั่งมาก่อนหน้านี้ เพราะเมื่อเธอวิ่งผ่านตรอก แล้วอ้อมไปยังถนนอีกเส้นหนึ่ง จนมาถึงหน้าร้านขายข้าวซึ่งรถม้าถูกอวี้จื่อกุยบังคับให้หยุดลง เธอก็พบว่าล้อข้างหนึ่งของรถม้าได้อันตรธานไปแล้ว

เคยได้ยินเรื่องขโมยเงิน ลักพาตัวคน ขโมยทรัพย์สินมีค่า แต่ไม่เคยได้ยินเรื่องขโมยล้อรถเลย!

อวี๋หวั่นหรี่ตา

โชคดีที่รถม้าของตระกูลนี้คุณภาพดี มีล้อรถสำรองติดไว้ด้วย

เมื่อประกอบล้อรถข้างนี้สร็จ ล้อข้างขวาก็หายไปอีกแล้ว!

อวี๋หวั่นสูดหายใจลึกๆ หนึ่งครั้ง แล้วท่องบทสวดมนต์เพื่อสงบจิตสงบใจ เธอเดินไปหยิบล้อไม้อีกวงหนึ่ง แล้วจึประกอบล้อข้างซ้าย

ปรากฏว่าล้อทั้งสองยังอยู่ แต่ม้าได้หายไปแล้ว!

กลางดึกปราศจากผู้คน นอกจากลมเหนือที่โหมกระหน่ำ ก็มิได้ยินเสียงอื่นใด

อวี๋หวั่นพอจะเดาได้ว่าผู้ใดเป็นคนทำ อย่างไรเสียผู้ที่มีวิชายุทธ์และจะมาหาเรื่องเธอ นอกจากคนผู้นั้นแล้วจะเป็นใครไปได้

ก่อนหน้านี้ช่วยชีวิตเธอ ตอนนี้เริ่มทิ้งขว้างเธอ มิน่าเล่าไป๋ถังจึงกล่าวว่าเขาอารมณ์แปรปรวน อย่าได้ผิดใจกับเขาเลย

มาคิดดูแล้ว บนรถม้าเมื่อครู่ก็จับโดนของเขาไป ให้เขาระบายโทสะสักหน่อยย่อมไม่เป็นไร

อวี๋หวั่นไปหายใจเข้าลึกๆ อีกครั้งหนึ่ง พยายามข่มความโกรธของตน ค่อยๆ ลุกขึ้น แล้วนำอุปกรณ์เก็บเข้าไปในกล่อง ถอดถุงมือผ้าป่านออก แล้วหันหลังเดินไปยังรถม้าของเยี่ยนจิ่วเฉา

“ล้อรึ? ล้ออันใดกัน? ล้อของเจ้าหายไปแล้วเกี่ยวอะไรกับข้า?”

“อะไร? ม้าก็หายไปรึ?”

“สตรีอย่างเจ้าประหลาดเสียจริง อยากนั่งรถม้าของข้าก็บอกกันดีๆ ไฉนต้องมาใช้อุบายเช่นนี้ ข้ามิใช่คนที่เสียดายรถม้าเพียงคันเดียวหรอก!”

คืนนั้น อวี๋หวั่นโดยสารรถม้าของคุณชายเยี่ยนกลับหมู่บ้าน

เส้นทางนี้ใช้เวลาเพียงครึ่งชั่วยาม แต่เยี่ยนจิ่วเฉากลับสั่งให้อิ่งลิ่วทำให้รถม้าแล่นช้าลง ใช้เวลาถึงหนึ่งชั่วยามกว่าจะถึงหมู่บ้าน แม้แต่อวี๋เฟิงและอวี๋ซงก็ถูกอิ่งซือซันพาส่งกลับบ้าน และเข้านอนไปตั้งนานแล้ว

อวี๋หวั่นกำหมัดเสียงดังกร็อบ

เยี่ยนจิ่วเฉามองเธออย่างยียวน

อวี๋หวั่นคลายกำปั้นลง  เธอลุกขึ้นยืน กล่าวขอบคุณด้วยสี(ขบ)หน้า(เขี้ยว)เรียบ(เคี้ยว)เฉย(ฟัน) แล้วเดินลงไปโดยไม่แม้แต่หันหลังมามอง

เมื่อเห็นว่าอวี๋หวั่นเข้าบ้านไปแล้ว เยี่ยนจิ่วเฉาก็ปิดม่านลง เขาส่งเสียง ‘ชิ’ อย่างยียวน “ช่วยนางไว้ยังไม่พอ ยังต้องให้ข้ามาส่งด้วย และเมื่อข้ามาส่ง การเดินทางครั้งนี้ย่อมต้องน่าจดจำกว่ามิใช่หรือ”

อิ่งสือซันที่มิกล้ามองตรงๆ “…”

อิ่งลิ่วอดไม่ได้ที่จะทุบกำแพง “…”

ระหว่างทางกลับเมืองหลวง เยี่ยนจิ่วเฉาอา(โอ้)เจียน(อวด)ไปตลอดทาง หากมิได้ได้ยินกับหู อิ่งสือซันและอิ่งลิ่วไม่มีทางเชื่อเด็ดขาดว่าคุณชายบ้านพวกเขาจะเจ้าคารมถึงเพียงนี้ เพียงแต่ว่าสองประโยคเมื่อครู่ เขานำมาคุยโวไปตลอดทาง กล่าวเกินจริงประหนึ่งแม่นางอวี๋ขาดเขาแล้วจะอยู่ไม่ได้

“…พวกเจ้าว่านางคิดอย่างไร”

“คุณชาย! ถึงจวนแล้วขอรับ! ข้าขอตัวไปดูคุณชายน้อยก่อน!”

อิ่งสือซานวิ่งหนีไปอย่างรวดเร็ว

เยี่ยนจิ่วเฉาตวัดสายตาไปยังองครักษ์อีกคนหนึ่ง “อิ่งลิ่ว เจ้าว่าอย่างไร”

“คุณชาย ข้าคล้ายกับจะได้ยินว่าลุงวั่นเรียกข้า! อาจจะเกิดเรื่องขึ้นกับคุณชายน้อย ข้าไปดูก่อน!”

อิ่งลิ่วก็เผ่นหนีไปอีกคน!

เยี่ยนจิ่วเฉาถอนหายใจเฮือกใหญ่ เขาหันหน้าไปมองรถม้าซึ่งเทียมม้าสองตัว ไหนเลยจะรู้ว่า ยังมิทันได้กล่าวอันใด ม้าก็ร้อง ‘ฮี่ๆๆ’ สะบัดสายบังเหียน แล้วรีบวิ่งหนีเข้าคอกไป!

แม้แต่ม้ายังทนฟังต่อไม่ไหว…

……

เยี่ยนจิ่วเฉาเดินเข้าไปในลานบ้านอย่างอารมณ์ดี แต่เด็กน้อยสามคนมิได้โชคดีเช่นเขา

ทั้งสามคนรออยู่ที่บันไดท่ามกลางความหนาวเหน็บ จวบจนราตรีเข้าปกคลุมก็ยังรออยู่ รถม้าผ่านหน้าประตูไปคันแล้วคันเล่า ทุกครั้งที่มีรถม้าเคลื่อนผ่าน พวกเขาก็จะวิ่งเตาะแตะไป แต่กลับพบกว่าเป็นเพียงรถม้าของคนแปลกหน้าที่แล่นผ่านไปเท่านั้น

สุดท้ายแล้ว ทั้งสามคนก็จามออกมา ลุงวันจึงจำต้องกัดฟันใช้วิธีให้องครักษณ์อุ้มเด็กทั้งสามกลับห้องไป

หลังจากที่กลับมาถึงห้อง ทั้งสามไม่กิน ไม่ดื่ม ไม่นอน เอาแต่ยืนคอตกด้วยสีหน้าเศร้าสร้อยอยู่ที่มุมห้อง

เมื่อเยี่ยนจิ่วเฉาเดินเข้าไปยังลานบ้าน ก็สัมผัสได้ถึงความผิดปกติ ที่ผ่านมา ในช่วงเวลานี้จะได้ยินเสียงเด็กๆ เล่นกันโหวกเหวก ทั้งยังได้ยินเสียงคร่ำครวญของบ่าว ทว่าวันนี้ออกจะเงียบเกินไปเสียหน่อย

“เป็นอะไร” เยี่ยนจิ่วเฉาเปิดประตูห้องเข้าไป ก็เห็นทั้งสามคนยืนรวมกันเป็นก้อน เขาจึงเดินเข้าไปหา

เด็กน้อยทั้งสามได้ยินเสียงของเขา จึงค่อยๆ หันมา ด้วยน้ำตาคลอเบ้า

เยี่ยนจิ่วเฉาไม่เคยเห็นเด็กทั้งสามเสียใจเช่นนี้มาก่อน

เยี่ยนจิ่วเฉาเรียกลุงวั่น “เกิดอะไรขึ้น”

ลุงวั่นเล่าเรื่องให้เขาฟังอย่างละเอียด “…จะว่าไปแม่นางอวี๋ก็ยุ่งสายตัวแทบขาด ธุระสำคัญติดพัน จึงมิได้แวะมาเยี่ยมคุณชายน้อย ”

เยี่ยนจิ่วเฉาเลิกคิ้ว “เหอะ ธุระสำคัญ? นางจะมีธุระสำคัญอันใด? มาพบข้าหรือ?”

ลุงวั่นซึ่งมิทันได้ระวังตัว เผลอไปฟังเรื่องความรักของคุณชายเยี่ยน  “…”

เยี่ยนจิ่วเฉาอุ้มเด็กน้อยทั้งสามไปนอนบนเตียง และไม่รู้ว่าเขาพูดว่าอย่างไร เด็กทั้งสามคนจึงเข้านอนอย่างว่าง่าย ทั้งยังอนุญาตให้เขานอนกับพวกเขาและหอมแก้มเขาสามครั้งด้วย

…………………………………………..