บทที่ 86 โดย Ink Stone_Romance
บทที่ 86 เมื่อบทเพลงเศร้าบรรเลง (1)
เสียงดนตรีเอื่อยๆ ดังมาจากลำโพง ได้ยินคำเตือนของอี้เป่ยซี เซี่ยเช่อพยักหน้าอย่างเลื่อนลอย นั่งอีกสักพักก็หาข้ออ้างจากไปแล้ว อี้เป่ยซีก็คิดว่าเขาเพียงพูดเล่นเท่านั้น ไม่ได้ใส่ใจกับเรื่องนั้นอีก
หลังจากลั่วจื่อหานเก็บของเสร็จเรียบร้อยและนั่งลงบนโซฟา ฉู่ซ่งก็หาข้ออ้างจากไปแล้ว ในห้องเหลือเพียงพวกเขาสองคนอีกครั้ง
“คิดอะไรอยู่เหรอ?” นิ้วของอี้เป่ยซีหยุดอยู่บนรีโมทตลอดเวลา เปลี่ยนช่องโทรทัศน์ไม่หยุด รอบแล้วรอบเล่า เสียงที่ไม่ต่อเนื่องของแต่ละรายการถูกรวมเข้าด้วยกัน ทั้งตลกและเป็นความเหงาที่ว่างเปล่า ได้ยินคำพูดของคนข้างๆ เธอจึงมีปฏิกิริยาตอบสนอง ส่ายหัว วางรีโมทลงบนโต๊ะกาแฟ
“เปล่า” เธอมองข้ามไหล่ลั่วจื่อหานไปยังทิศทางอื่น “ทำไมรู้สึกว่าช่วงนี้นายผ่อนคลายจังเลย เหมือนจะอารมณ์ดีมากด้วย”
“อืม” ในดวงตาก็มีรอยยิ้มเช่นกัน แต่มันไม่เหมือนความตื่นเต้นที่เพิ่งพบเจอกับเรื่องที่มีความสุข ไม่เหมือนความยินดีที่เจอเรื่องน่าประหลาดใจ แต่กลับเป็นรอยยิ้มจางๆ ที่ส่งผ่านจากส่วนลึกไปยังดวงตาช้าๆ มันผ่านการสั่งสมประสบการณ์อันล้ำค่าเป็นเวลายาวนานและมีกำลังแพร่กระจายไปได้ถึงขั้นสุด
ไม่เหมือนกับอารมณ์ชนิดที่สามารถเปลี่ยนแปลงได้ตลอดเวลา ไม่เหมือนพฤติกรรมที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว แต่เหมือนถือกำเนิดออกมาจากกระดูกและแกะสลักลึกลงไปในเลือดเนื้อ
อี้เป่ยซีที่ห่อเหี่ยวก่อนหน้านี้ก็รู้สึกผ่อนคลายขึ้นมาบ้าง เธอปิดโทรทัศน์ด้านข้างที่ส่งเสียงเรื่อยเปื่อยไม่หยุด “ฉันจะไปทำการบ้านแล้ว”
“ได้ งั้นฉันก็จะกลับก่อนเหมือนกัน”
“เอ๊ะ วันนี้กลับเร็วจังเลย?”
ลั่วจื่อหานแตะปลายจมูกเธอเบาๆ “อืม เธอตั้งใจเรียนเถอะ” พยักหน้า ทั้งสองคนเดินไปในทิศทางที่แตกต่างกัน ประตูใหญ่กับประตูห้องนอนปิดลงพร้อมกัน ทำให้เกิดเสียงแผ่วเบา บ้านทั้งหลังสั่นสะเทือนเล็กน้อย
อี้เป่ยซีกวาดตาอ่านวิทยานิพนธ์ด้วยความรวดเร็ว ไม่นานก็เริ่มเบื่อ ความคิดล่องลอยไปยังสถานที่อื่นๆ แล้ว ตรอกซอยที่มีฝนพรำในเจียงหนาน หรือหมอกควันเปล่าเปลี่ยวยามพระอาทิตย์ตกดินในเขตแดนทางตอนเหนือ หรือว่าสายลมและหิมะในประเทศทางตอนเหนือ ไม่ว่ามันจะเป็นอะไร ก็ล้วนน่าสนใจกว่าวิทยานิพนธ์ที่ไร้ชีวิตมากมาย
เธอกำลังดื่มด่ำกับจินตนาการของตัวเอง เสียงโทรศัพท์มือถือดังขึ้นแผ่วเบา เกือบจะทำให้เธอตกใจจนตกจากเก้าอี้ เธอมองดูเวลา รู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย หยิบโทรศัพท์มือถือของตัวเองที่วางอยู่ข้างๆ ขึ้นมา
มู่ไป๋: หลิงซีอยู่ไหม?
อี้เป่ยซีเห็นข้อความเทพบุตรของตัวเอง สติทั้งหมดกลับเข้ามาหาเธอ เกือบจะกระโดดโลดเต้นอยู่บนเก้าอี้แล้ว เธอรีบส่งข้อความออกไปอย่างรวดเร็ว มองไปที่หน้าจอโทรศัพท์มือถือด้วยรอยยิ้มโง่ๆ
หึๆๆ เทพบุตรทักฉันมาก่อน ไม่รู้ว่ามีเรื่องอะไร หรือว่าอยากนัดเจอฉันนะ แต่ยังรู้สึกเขินๆ อยู่เลยน่ะ อี้เป่ยซีหัวเราะ แค่ก ไม่ได้ จะตอบตกลงง่ายๆ แบบนี้ไม่ได้ มันเป็นการแสดงให้เห็นว่าตัวเองไม่รักนวลสงวนตัว แล้วต้องปฏิเสธอย่างไรล่ะ น่าปวดหัวชะมัด
จะบอกว่าผู้ใหญ่ที่บ้านเธอไม่ชอบให้เธอไปเจอผู้ชาย หรือจะบอกว่าเธอมีสอบคราวหน้าค่อยว่ากัน?
ไม่ได้ เทพบุตรฉลาดขนาดนี้ จะต้องเดาออกแน่ๆ ว่าเธอกำลังปฏิเสธเขา
แต่ฉันก็อยากไปเหมือนกันจริงๆ นะ
เมื่อกระดานสนทนามีข้อความต่อไปเด้งขึ้นมา รอยยิ้มของอี้เป่ยซีจางหายไปจากใบหน้าชั่วขณะหนึ่ง เส้นในสมองส่งเสียงแตกร้าวดังเปรี๊ยะๆ ตามมาด้วยเสียงระเบิด
มู่ไป๋: เธอเริ่มเขียนเนื้อร้องแล้วยัง?
เธอคว้าเก้าอี้ของตัวเอง เทพบุตรนายไม่ต้องเข้าใจฉันขนาดนี้ก็ได้ ไม่ต้องตรงไปตรงมาขนาดนี้ก็ได้ ถามอ้อมๆ สักนิดไม่ได้หรือยังไง
มุ่ยปาก ครุ่นคิดถ้อยคำของตัวเองอย่างระมัดระวัง
เฮ้อ ตอนนี้เขียนได้พอประมาณแล้ว ไม่ได้ ถ้าหากเทพบุตรขอให้เธอเอาให้เขาดูจะทำยังไง
ไม่อย่างนั้นก็พูดความจริง แต่ว่า แบบนี้มันจะเป็นการแสดงให้เห็นว่าตัวเองไม่จริงจังกับเรื่องของเทพบุตรหรือเปล่า
อ๊า อี้เป่ยซี อี้เป่ยซี เพราะปกติเธอไม่ทำอะไรเลยเอาแต่เล่น จะพูดยังไงดี จะพูดยังไงดี
สุดท้ายก็ตัดสินใจสารภาพไปตามตรง ยังไม่ทันพิมพ์อักษรตัวแรกเสร็จ ทางนั้นก็ส่งข้อความมาแล้ว
มู่ไป๋: ยังไม่ได้เริ่มเขียนใช่ไหม?
หลิงซี: หึหึ เทพบุตรเก่งดุจเทพจริงๆ เลื่อมใส เลื่อมใส
มู่ไป๋: ไม่เป็นไร แค่วันนี้เห็นเพื่อนคนนึง จู่ๆ นึกขึ้นมาได้ก็เลยถามเธอเรื่องนี้ ไม่เป็นไร ฉันไม่รีบ เธอค่อยๆ เขียนเถอะ
หลิงซี: เพื่อน? เพื่อนคนสำคัญของเทพบุตรเหรอ?
มู่ไป๋: เคยเป็นเพื่อนคนสำคัญ ไม่คุยกับเธอแล้ว ทางนี้ยังมีงานต้องทำ ราตรีสวัสดิ์
อี้เป่ยซีมองดูเวลาอีกครั้ง เวลานี้จะมาราตรีสวัสดิ์อะไรกัน ชีวิตยามราตรียังไม่เริ่มต้นเลยนะ เธอยังคงตอบไปว่า ราตรีสวัสดิ์ รู้สึกหนักอึ้งในใจเล็กน้อย
ใครๆ ก็มีเรื่องของตัวเองสินะ เธอดูรูปโปรไฟล์ของมู่ไป๋ มันคือดอกกุหลาบช่อหนึ่ง แต่ว่าสิ่งที่ยึดครองรูปภาพทั้งหมดไม่ใช่กลีบกุหลาบ แต่เป็นก้านของมันที่เต็มไปด้วยหนามเล็กๆ
ทันใดนั้นประตูก็ถูกเปิดออก เธอโยนโทรศัพท์มือถือไปบนเตียง ปิดโน้ตบุ๊คเสียงดังเพี๊ยะ หยิบกระดาษขาวสองสามแผ่นออกมาเริ่มละเลงวาด กัดปากกาเหม่อลอยเป็นครั้งคราว แล้วก็เริ่มวาดอีกครั้ง
ในที่สุดกระดาษแผ่นหนึ่งวางเรียบอยู่บนโต๊ะ แต่ในดวงตากลับขมุกขมัวไปด้วยละอองน้ำ ปลายปากกาหยุดอยู่บนกระดาษ สั่นเทาเล็กน้อย ด้านแหลมของปลายปากกาตกลงบนมุมบนซ้ายของกระดาษและหยดน้ำหยดหนึ่งร่วงอยู่บนมุมล่างสุด ปลายปากกาเริ่มส่งเสียงครืดคราดบนกระดาษอีกครั้ง น้ำหยดนั้นกลืนกินใยกระดาษจากจุดเดิม แพร่กระจายเป็นวงกว้างทีละน้อยๆ
จู่ๆ เธอก็หยุดเขียน ขยำกระดาษเป็นลูกกลมๆ แล้วทิ้งลงบนพื้น และหยิบกระดาษใหม่อีกแผ่นออกมา ปากกาเคลื่อนไหวไปมาอย่างรวดเร็วอยู่บนกระดาษ การเขียนเหมือนกับแผ่นที่แล้ว ภาษาคล้ายกับแผ่นที่แล้ว ทุกอย่างเหมือนกับแผ่นที่แล้ว เมื่อเขียนถึงเรื่องการหลอกลวงก็เขียนต่อไปไม่ได้อีก ขยำกระดาษในมือแผ่นนี้เป็นลูกกลมๆ แล้วทิ้งไปอีกครั้ง
ทำอยู่ซ้ำๆ นับครั้งไม่ถ้วน ในที่สุดอี้เป่ยซีก็กลั้นไว้ไม่ไหว ปีนขึ้นไปบนเตียงร้องไห้
ในบางครั้ง พวกเรามักจะต้องการเขียนหรือพูดบางสิ่งบางอย่างที่สามารถสะท้อนจิตใจผู้อื่นและสัมผัสถึงอารมณ์ของผู้อื่นได้
ภูเขาน้ำแข็งมักจะบอกกับพวกเราอยู่เสมอว่า ตราบใดที่คุณมีเต็มร้อย คนอื่นก็จะรู้สึกได้เพียงสามสิบเปอร์เซ็นต์
คำพูดน่าเสียใจเหล่านั้น ล้วนถูกเขียนขึ้นด้วยเสียงและน้ำตาจากคนที่เคยทุกข์และสิ้นหวัง
ทุกๆ คำต่างกำลังหั่นตัวเองจนแหลกละเอียด
จากนั้นก็จะไม่มีคำพูดสวยหรูใดที่จะสามารถเล่นกับเส้นแห่งความรู้สึกของคุณได้อีกซ้ำๆ
เสียงดังหึ่งราวกับเสียงหายใจฮืดฮาดของคนที่เหนื่อยหอบ น้ำตาหยุดแล้ว อี้เป่ยซีนั่งลงที่โต๊ะ ผล็อยหลับไปโดยไม่รู้ตัว ถือแผ่นกระดาษที่ถูกขยำ แขวนมันอยู่บนท้องฟ้ายามค่ำคืนในความฝัน
ลืมตาขึ้นมาอีกที ตอนนี้เป็นเวลาหกโมงเช้าแล้ว เธอบิดขี้เกียจ เหยียบย่ำอยู่บนกองเศษกระดาษลูกกลมๆ เดินไปที่ห้องน้ำ
คนแรกที่เห็นเมื่อถึงมหาวิทยาลัย กลับเป็นคนที่ตัวเองไม่อยากเจอเลยสักนิด
เห็นได้ชัดว่าฉินรั่วเข่อก็เห็นเธอแล้ว บีบกระเป๋าตัวเองด้วยความตื่นตระหนกและอ่อนแอเล็กน้อย แต่ก็ยังรวบรวมความกล้าเดินไปหาอี้เป่ยซี
“เป่ยซี เธอรู้แล้วเหรอ?”
“ฉันนึกว่าเธอกับฉินเยวี่ยเข่ออยากให้ฉันรู้มากซะอีก”
รอยยิ้มบนใบหน้าของเธอแข็งทื่อ “เปล่านะ เรื่องมันไม่ได้เป็นแบบนั้น ทำให้เธอวุ่นวายฉันต้องขอโทษด้วย ถ้าหากเธอโมโหล่ะก็ เธอจะด่าฉันก็ได้ ตีฉันก็ไม่เป็นไร”
อี้เป่ยซีหัวเราะ “อย่าเลย ถึงฉันจะไม่อยากเป็นเด็กสาวผู้มีชื่อเสียงอะไรนั่น แต่ว่าฉันก็ไม่อยากเห็นตัวเองโผล่อยู่บนพาดหัวข่าวน่ายุ่งเหยิงอีกแล้ว เธออยากพูดอะไรกันแน่?”
“ฉันแค่อยากขอโทษ”
“อืม ฉันไม่รับ เอาเถอะ เธอไปให้ไกลๆ ได้แล้ว”
“เป่ยซี หรือว่า เธอจะชอบพี่ชายแท้ๆ ของตัวเองจริงๆ?”
อี้เป่ยซีเม้มปากไม่ได้พูดอะไร เดินไปหาเธออย่างหยิ่งผยอง ฉินรั่วเข่อกลัวจนถอยหลังไปหนึ่งก้าว เบี่ยงตัวไปทางขวา อี้เป่ยซียื่นมือ หยิบเครื่องบันทึกเสียงจากในกระเป๋าเธอออกมา “หืม ฉินรั่วเข่อ เสื้อผ้าบางไปหน่อยนะ พอลมพัดก็เห็นแล้วว่าข้างในมีอะไร วันนี้ฉันก็ยังได้รู้จักเธอใหม่อีกครั้ง”
“เป่ยซี ฉันไม่รู้ว่าใครเอามาใส่ในกระเป๋าเสื้อฉัน จริงๆ นะ เธอเชื่อฉันสิ” ดวงตาสีดำสดใสมีประกายน้ำตา อี้เป่ยซีเอาเครื่องบันทึกเสียงใส่ในมือเธอ ท่าทางสง่างาม
“ทางขวามีคนใช่ไหม” อี้เป่ยซีเงยหน้ามองไปทางขวา มีร่องรอยความดุร้ายในดวงตา “ละครจบแล้ว ฉันไปได้แล้วสินะ”
พูดจบก็ก้าวเท้าของตัวเองจากเธอไปทันที ฉินรั่วเข่อจับจ้องแผนหลังของเธอ ความไม่เต็มใจที่หนักอึ้งทั้งหมดพรั่งพรูออกมา เธอสูดหายใจลึก กำเครื่องบันทึกเสียงในมือแน่น
————