บทที่ 87 โดย Ink Stone_Romance

บทที่ 87 เมื่อบทเพลงเศร้าบรรเลง (2)

             แวะไปกินอาหารเช้าที่โรงอาหารมหาวิทยาลัยก่อน อี้เป่ยซีกัดซาลาเปา ด้วยคิ้วที่ขมวดกันเล็กน้อย

ให้ตายเถอะ กินข้าวที่ลั่วจื่อหานทำมากเกินไป อาหารที่โรงอาหารมันช่าง… ช่างเถอะ มันก็เลยเป็นแค่โรงอาหารไง เธอกัดไปหนึ่งคำเคี้ยวช้าๆ ราวกับคนข้างๆ ไม่มีตัวตน

ถ้าลั่วจื่อหานทำอาหารเช้าด้วยก็ดีสิ แล้วก็ข้าวเที่ยงด้วย ฮือ ทำไมเขาถึงทำอาหารอร่อยแบบนี้?

            อี้เป่ยซีกินโจ๊กคำสุดท้าย เดินไปยังห้องเรียนด้วยความเอื่อยเฉื่อย นั่งลงที่นั่งของตัวเองด้วยความพออกพอใจมาก ขัดกับบรรยากาศที่อึกทึกครึกโครมของห้องเรียน โดยสิ้นเชิง เธอหยิบหนังสือออกมา เท้าศีรษะมองไปยังเวทีบรรยาย

ผ่านไปครึ่งคาบเรียนแล้ว ที่นั่งสองที่ข้างอี้เป่ยซียังคงว่างเปล่า เธอรู้สึกแปลกใจเล็กน้อย แต่ว่าไม่ได้เอามาใส่ใจ

            นั่งจนหมดคาบ เธอจึงตัดสินใจออกมาผ่อนคลายสักหน่อย ลุกขึ้นยืนก็เดินออกไปข้างนอก ระหว่างทางกลับห้องเรียน เห็นกระดาษแผ่นหนึ่งเข้าโดยไม่ได้ตั้งใจ มันถูกขยำจนยับยู่ยี่ แต่จงใจเผยชื่อออกมาด้านนอก

            ฉินรั่วเข่อ วิธีนี้ช่างอ่อนหัดเกินไปแล้ว

เธอดูถูกเล็กน้อยแต่ต้องยอมรับว่ากลอ่อนหัดประเภทนี้ได้ผลดีมากทีเดียว ในเมื่อเธออยากจะเล่น เธอจะเล่นเป็นเพื่อนเธอสักหน่อยก็ดีเหมือนกัน แต่ไม่รู้ว่ากระดาษแผ่นนี้มันคืออะไรกันแน่

นิ้วที่เรียวยาวและผอมบางค่อยๆ เปิดใบผลตรวจออก เมื่อเห็นข้อมูลจำเพาะข้างใน เสียงระเบิดในหัวดังขึ้น โลกที่อยู่ตรงหน้าล่มสลายท่ามกลางเสียงดังกึกก้องนั้น ผู้คนรอบข้างที่ได้ยินเสียงกระดิ่งของชั้นเรียนวิ่งผ่านเธอไปอย่างรีบร้อน

            เธอประคองกำแพง ค่อยๆ เดินเลียบไปอีกทาง ไม่ ไม่จริงมั้ง อี้เป่ยซีขยี้ตา ยังคงสามารถเห็นผลการตรวจเหล่านั้น

ฉินรั่วเข่อท้อง?

เธอดูวันที่ที่อยู่ข้างบน ปีที่แล้ว ปีที่แล้ว ใช่แล้ว ปีที่แล้ว แล้วมันเกี่ยวอะไรด้วย ปีที่แล้วก็ไม่ใช่ปีนี้้ เรื่องก็น่าจะผ่านไปตั้งนานแล้ว อีกอย่าง ทำไมถึงรู้สึกว่าเป็นของพี่เป่ยเฉิน

ต่อให้วิธีแบบนี้มันเน่าเฟะ เธอจะบอกได้อย่างไรว่าเป็นของพี่เป่ยเฉิน แล้วจะบอกได้อย่างไรว่ารายงานนี้เป็นของจริง

            ไร้สมอง อี้เป่ยซีส่ายหัว ต้องการฉีกกระดาษในมือทิ้งแต่ถูกฉินรั่วเข่อที่ปรี่เข้ามาแย่งไป ปกป้องมันอยู่ข้างกายตัวเองดุจสิ่งของล้ำค่า ราวกับกระดาษแผ่นนั้นคือลูกของเธอ ขณะที่อี้เป่ยซีเหลือบขึ้นมามองเธอนั้น น้ำตาหยดหนึ่งก็ร่วงลงมาจากดวงตาพอดิบพอดี

“ฉันรู้สึกว่าเธอเอาอย่างน้องสาวเธอมากเกินไป ฉันแนะนำให้พวกเธอปลูกสมองสักอัน พวกเธอใครคนใดคนหนึ่งมีก็พอแล้ว”

ฉินรั่วเข่อรีดเรียบกระดาษแผ่นนั้น เก็บไว้ “ขอบคุณ ขอโทษทีที่ทำให้เธอเห็นซะแล้ว”

“ของแบบนี้จะเอาแค่ไหนก็ได้ เธอยังอยากได้อีกไหม ฉันจะให้เธอลังนึงก็ได้ พอให้เธอทิ้งได้หลายปีเลย”

“ของพวกนั้นก็ไม่ใช่ของจริง มีแค่ใบนี้ที่เป็นของฉัน เป่ยซี ฉันรู้ว่าฉันทำบางอย่างผิดไป เธอ…”

อี้เป่ยซีโบกมือ “เงียบเถอะ เรื่องนี้มันพัฒนามาได้ยังไงฉันไม่รู้ แล้วก็ไม่อยากรู้ว่าเธอใช้วิธีอะไร ยิ่งไม่อยากได้ยินคำสำนึกผิดอะไรของเธอต่อหน้าฉัน เพียงแค่ ฉินรั่วเข่อ แม้ว่าจะทำเพื่อเป้าหมายที่สวยงาม มาก แต่ก็จะใช้วิธีต่ำๆ ไม่ได้ ไม่อย่างนัันเธอจะรับผลแย่ๆ ที่ตามมาไม่ไหวหรอก”

“หรือว่าเธอไม่อยากรู้เหรอว่าเกิดอะไรขึ้นระหว่างฉันกับพี่ชายเธอ? ไม่อยากรู้เหรอว่าทำไมปากกาหมึกซึมที่เขาพกติดตัวถึงมาอยู่ในมือฉัน ทำไมถึงเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้น” เสียงของฉินรั่วเข่อดังมาก ได้ยินชัดเป็นพิเศษในทางเดินที่ว่างเปล่า แม้แต่ข่มเสียงของอาจารย์ที่กำลังบรรยายอยู่ในห้องเรียนข้างๆ

“ไม่อยากรู้ข่าวอะไรจากคนที่ไม่ชอบ ไม่มีความหมาย รุ่นพี่ ถ้าเธอไม่มีธุระแล้วฉันยังมีเรียน ลาก่อน”

“เรื่องพวกนี้พี่ชายเธอจะเล่าให้เธอฟังได้ยังไง อี้เป่ยซี ฉันรอให้เธอมาหาฉัน”

“พิลึก”

“ชื่อของกองทุนคือฉินฉู่สินะ เป็นชื่อที่เพราะมากจริงๆ ฉินรั่วเข่อ ฉู่เซี่ย”

            อี้เป่ยเฉินหยุดเดินครู่หนึ่ง จากนั้นก็เดินต่อไปข้างหน้า นั่งลงที่เดิมของตัวเองราวกับว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้น จดจ้องมือของอาจารย์ ที่ฉวัดเฉวียนอยู่บนกระดานดำ ในใจกระสับกระส่าย ราวกับว่าอ่านเนื้อหาบนกระดานดำไม่เข้าใจอย่างไรอย่างนั้น

            เธอไม่มีความจำเป็นต้องเข้าใจเรื่องนี้ ตอนนี้ก็คลี่คลายแล้ว เหลือเพียงแค่คิดบัญชีกับคนพวกนั้นก็เท่านั้นเอง ทำไมจะต้องไปเข้าใจสาเหตุที่เกิดข่าวอื้อฉาวขึ้นด้วย?

            น่าขำ ฟังตัวละครหญิงจากข่าวอื้อฉาวเล่าเรื่องนี้งั้นเหรอ? ไม่แน่ว่าความจริงอาจถูกบิดเบือนจนกลายเป็นอะไรไปแล้ว ถามเธอสู้ไปถามพี่เป่ยเฉินยังจะดีกว่า

            พี่เป่ยเฉินก็อาจจะปิดบังด้วย… ชิ อี้เป่ยซี เธอคิดแบบนี้ก็เท่ากับว่าไม่เชื่อใจพี่เป่ยเฉินนะ

ความจริงไม่มีความหมาย ผลลัพธ์ในตอนสุดท้ายก็ออกมาแล้วไม่ใช่เหรอ เธอจะกังวลใจขนาดนี้เพื่ออะไร

ปากเป็นของฉินรั่วเข่อ เธออยากจะพูดอะไรก็ได้ เธอจะควบคุมเธอได้เหรอ?

ครุ่นคิด ความยุ่งเหยิงปรากฏอยู่บนหนังสือ ซ่อนเร้นตัวอักษรดั้งเดิม เดิมทีก็ดูไม่ค่อยรู้เรื่องอยู่แล้ว เธอฟุบลงบนโต๊ะอย่างหมดกำลังใจ ไม่ได้ไปหาพี่เป่ยเฉินนานแล้ว ถ้าอย่างนั้นบ่ายนี้ไปหาเขาที่บริษัทก็แล้วกัน

เจอหน้าแล้วจะอึดอัดหรือเปล่า มักจะรู้สึกอยู่เสมอว่าเขากำลังหลีกเลี่ยงอะไรบางอย่าง? อี้เป่ยซีหยิบปากกาหมึกซึมด้ามหนึ่งออกมาจากกระเป๋า ใช่ ปากกาหมึกซึมของพี่เป่ยเฉินอยู่ที่เธอ ไปคืนปากกาเถอะ ไม่อย่างนั้นเดี๋ยวก็ลืมอีก นี่คือเรื่องใหญ่เชียวนะ

            เธอที่หาข้ออ้างได้แล้วพยักหน้า บังคับตัวเองให้ฟังเนื้อหาที่อาจารย์ บรรยายอย่างตั้งใจ รอจนเวลาที่นาฬิกาบนกำแพงเวียนมาถึงเลขสิบสอง

            เธอเรียกรถ นั่งไปถึงใต้ตึกเยี่ยถัง ทักทายพี่สาวเลขาที่อยู่หน้าเคาน์เตอร์ อย่างสนิทสนม ย่องขึ้นชั้นบน มองลอดประตูออฟฟิศ เข้าไปก็สามารถเห็นท่าทางของอี้เป่ยเฉินที่กำลังจมอยู่ในความคิดอยู่หน้าโต๊ะเลือนลาง บางครั้งก็ขมวดคิ้ว บางครั้งก็ยืดเส้นยืดสาย

“เป่ยซี เธอมาแล้วเหรอ” เจี้ยยังคงถือเอกสารอยู่ในมือ กำลังจะเตรียมตัวเข้าไปก็ถูกอี้เป่ยซีดึงเอาไว้

“พี่เจี้ย พี่ไปทำงานอื่นเถอะ ฉันจะช่วยไปส่งให้พี่”

“ก็ดี”

            อี้เป่ยซีเดินเข้าไปหาอี้เป่ยเฉินแผ่วเบา วางเอกสารลงบนโต๊ะของเขา อาจเป็นเพราะจริงจังเกินไป จึงไม่ได้สังเกตเห็นว่าในออฟฟิศมีคนเพิ่มขึ้นมาหนึ่งคน เธอโน้มตัวเล็กน้อย สายตาจ้องเขม็งอยู่ที่อี้เป่ยเฉิน

“เอาล่ะ รู้แล้วว่าเธอมาแล้ว” อี้เป่ยเฉินปิดเอกสาร มองเธอด้วยความเอ็นดู “เป็นอะไรไป?”

“เปล่านี่” อี้เป่ยเฉินเดินไปยังข้างหน้าต่าง ราวกับหัวหน้าที่กำลังตรวจงาน เหมือนกับว่านึกอะไรได้ เดินไปข้าง ๆ อี้เป่ยเฉินอย่างรวดเร็ว “พี่เป่ยเฉิน ล่าสุดพี่ทำอะไรหายหรือเปล่า?”

“อะไรเหรอ?”

เธอมองปากกาบนโต๊ะของอี้เป่ยเฉิน สไตล์เหมือนกับด้ามที่อยู่ในกระเป๋าของเธอไม่มีผิดเพี้ยน  ฝีมือแบบเดียวกัน แม้แต่ตัวอักษรที่คดเคี้ยวก็เหมือนกัน อาจเป็นเพราะเหตุผลบางอย่างในใจ อี้เป่ยซีรู้สึกว่านั่นไม่ใช่ตัวอักษรที่เธอแกะสลัก ไม่ใช่จริงๆ

            ความน่าเกลียดในตัวอักษรที่เธอแกะสลักล้วนแสดงออกมาทีละเส้นๆ อย่างเป็นธรรมชาติมาก แต่ว่าตอนนี้ชื่อบนปากกาหมึกซึมนั้นน่าเกลียดอย่างจงใจ ราวกับว่าตั้งใจอำพรางตัวเองเป็นหญิงสาวตงซือจากซีซือ แม้ว่าฝีมือการแต่งหน้าจะเก่งสักแค่ไหน คนอื่นก็ดูออก

            ยิ่งไปกว่านั้นตงซือคนนั้นเป็นลูกของเธอ

            “อืม งั้นก็ไม่มีอะไรแล้ว” อี้เป่ยซีถึงเข้าใจว่าที่แท้เรื่องนี้เริ่มมาตั้งนานแล้ว เด็กสาวที่อ่อนแอคนนั้นต้องการจะบอกเรื่องนี้กับเธอตั้งนานแล้ว เพียงแต่คิดไม่ถึงว่าเธอจะไม่ใส่ใจกับการหายตัวไปถึงเพียงนี้ ละเลยในสิ่งที่ตัวเองคิดว่าเป็นเรื่องเล็กน้อย

            อี้เป่ยซีรู้สึกตื่นตระหนกเล็กน้อย เธอหยิบปากกาจากกล่องปากกาขึ้นมาด้ามหนึ่ง “ปากกาด้ามนี้สวยจังเลย ให้ฉันเถอะ”

            “เสี่ยวซีชอบก็เอาไปเถอะ”

            “พี่เป่ยเฉินใจดีขนาดนี้เลยเหรอ ไม่รู้ว่าพี่เป่ยเฉินจะเอาปากกาที่เสี่ยวซีให้พี่ไปให้คนอื่นสุ่มสี่สุ่มห้าด้วยหรือเปล่า” เธอมุ่ยปาก แสร้งทำเป็นโมโห

            “จะเป็นไปได้ยังไง”

        “นอกเสียจากว่าพี่เป่ยเฉินจะเลี้ยงมื้อใหญ่ฉัน ไม่งั้นฉันไม่เชื่อหรอก” รอยยิ้มที่เจือปนความขี้เล่นทำลายความกังวลใจของอี้เป่ยเฉิน เขาพยักหน้า ดึงมือของอี้เป่ยซีออกไปจากออฟฟิศแล้ว

————