บันทึกมงกุฎขนนก (นิยายแปล)

บทที่ 8 คือชิ้นส่วนที่ดี

หัวหน้าคิดถึงเรื่องยุ่งวุ่นวายนี้ นางส่ายหัวอย่างอับจนปัญา แต่ว่าก็รับมาทำแล้ว เพียงไม่มีเหตุผลที่จะไม่ดูแล

ในห้วงความนึกคิดหัวหน้าหลัวก็เดินเข้าไปด้านในแล้ว มีสาวใช้ตามติดอยู่ที่ด้านหลัง เมื่อเห็นว่าหัวหน้าหลัวเลี้ยวไปทางขาว อดไม่ได้ที่จะเอ่ยถามอย่างแปลกใจ “หัวหน้า ท่านไปไปที่จัตุรัสบนหรอกหรือ?”

หัวหน้าหลัวเดินตรงตลอดเพื่อมุ่งไปสู่เฉลียงด้านบนของส่วนจัตุรัสล่าง นางกระพริบตาเล็กน้อย “ที่จัตุรัสบนนั้นไม่มีอะไรน่าดู”

ฝ่ายศิลปะแบ่งเป็นจัตุรัสบนและล่าง ซึ่งเป็นสิ่งที่รู้จักไปทั่วว่าฝีมือศิลปะของช่างฝีมือส่วนจัตุรัสบนนั้นดีเลิศกว่าช่างของส่วนจัตุรัสล่าง

หากแต่เมื่อหัวหน้าหลัวมาถึงที่ฝ่ายศิลปะในภายหลังก็พบว่า ที่ช่างฝีมือฝ่ายจัตุรัสบนดีเลิศกว่าผู้อื่นมิใช่เฉพาะด้านศิลปะเท่านั้น แต่เรื่องนี้มีเบื้องหน้าเบื้องหลังทั้งคนที่อยู่เบื้องหน้าและผู้ที่อยู่เบื้องหลังอีก ไม่ว่าจะเป็นความสลับซับซ้อนของสายเลือด การแต่งงาน หรือแม้แต่ความเป็นพวกเดียวกัน

สำหรับส่วนจัตุรัสล่างนั้น เหตุเพราะเดิมทีนางเกือบจะไม่ได้คาดหวังอะไรสูงนัก แต่ก็ไม่ได้ถึงขั้นหมดหวัง หากแต่ยังคงเหลือความปรารถนาอยู่บ้าง

ฝ่ายศิลปะนี้มักจะได้ติดต่อสัมผัสกับบรรดาพระสนมเชื้อพระวงศ์ชั้นสูงหรือแม้แต่ทายาทของผู้สูงศักดิ์ ดังนั้นฝ่ายศิลปะจึงมักเป็นผู้หญิง

ช่างฝีมือในโถงห้องฝีมือส่วนมากนั่งหมอบวางท่อนแขนบนโต๊ะกำลังฟั่นเชือกเพื่อทำเครื่องประดับทอง มีส่วนน้อยที่วิ่งเข้าๆออกๆ กระสวยผ้าที่สามารถเคลื่อนที่ไปมาอยู่ระหว่างโต๊ะ ไว้สำหรับหยิบใช้วัสดุที่ตนเองต้องการ

ช่างฝีมือที่อยู่ข้างหน้าเมื่อเห็นหัวหน้าหลัว เร่งรีบย่อตัวทำความเคารพ หากเมื่อหัวหน้าหลัวหยุดยืนอยู่ที่โต๊ะของใคร ช่างฝีมือนั้นจะต้องทำความเคารพอย่างอ่อนน้อมพร้อมรายงานว่าต่อหัวหน้าหลัวว่านางกำลังทำสิ่งใดอยู่

“เรียนท่านหัวหน้า กล่องไหมนี้คือกำไลข้อเท้าทองสิบชิ้นที่ฮูหยินของท่านอิงกั๋วกงจองได้สั่งทำไว้(อิงกั๋วกง เป็นตำแหน่งขุนนางชั้น ๑ ในสมัยโบราณ เทียบกับข้าราชการระดับ ๑๑ /๑๒ ในปัจจุบัน หรือเทียบกับเจ้ากระทรวง)

“อืม” หัวหน้าหลัวพยักหน้าเบาๆ เดินไปอีกสองก้าวก็หยุดลงอีก ช่างฝีมือข้างกายอายุราวสิบห้าสิบหกปี เห็นได้อย่างชัดเจนว่าเพิ่งเข้ามาที่สำนักหนิงกวงหยวนได้ไม่นาน เมื่อหัวหน้าหลัวพูดด้วยก็ติดอ่างแสดงความตื่นเต้นเป็นอย่างมาก “เรียน เรียนท่านหัวหน้า อันนี้คือองค์หญิงอี้ฟู๋ต้องการ เป็นปิ่นยาวที่ด้านบนเป็นรูปดอกลิ้นจี่ และแหวนหินโมราเลี่ยมทอง”

หัวหน้าหลัวหยิบปิ่นยาวขึ้นมองแวบหนึ่ง จัตุรัสล่างแห่งนี้ยังมีคนที่มีความสามารถอย่างแท้จริงอยู่หลายคนจริงๆ ปิ่นยาวหัวดอกลิ้นจี่นี้เห็นได้บ่อย หากแต่การสลักนั้นต้องสิ้นเปลืองฝีมือไม่น้อย หาได้ยากที่นางจะเอ่ยปากชมเชย “ปิ่นยาวหัวลิ้นจี่นี้เหมือนจริงราวมีชีวิต การแกะสลักของเจ้า ฝีมือไม่เลวเลย”

เมื่อถูกชมช่างฝีมือนั้นใจเต้นรัว มีความสุขจนแทบจะเป็นลมลงไป ทั้งร่างเต็มไปด้วยความฮึกเหิมในการทำงานหัวหน้าเพิ่งจะวางปิ่นนั้นคืนลงในผ้าต่วนสีแดงบนโต๊ะ ก็ได้ยินด้านทิศเหนือของโถงห้องฝีมือมีเสียงวิพากษ์วิจารณ์แว่วมา นางชายตามองไป ก็พบช่างฝีมืออายุน้อยสี่ห้าคนกำลังรวมกลุ่มกันอยู่ ไม่รู้ว่ากำลังพูดคุยสนทนาเรื่องอะไรกัน

หัวหน้ารีบเดินไปด้านหน้าของคนกลุ่มนั้น ช่างฝีมือหลายคนที่กำลังพูดคุยหัวเราะเมื่อเห็นว่าหัวหน้าหลัวมาถึงห้องโถงฝีมือแล้ว รอยยิ้มราวถูกแช่แข็ง ใบหน้าปรากฏความเก้อเขินและความตื่นตระหนก ทั้งยังกลัวว่าหัวหน้าหลัวจะเข้าใจผิดว่าพวกนางแอบเกียจคร้าน แล้วจะลงโทษพวกนาง

“งานของพวกเจ้าเสร็จแล้ว?” หัวหน้าหลัวค่อนข้างเข้มงวด แล้วก็เห็นแวบหนึ่งว่ามีช่างฝีมือคนหนึ่งแอบเอาของสิ่งเล็กๆ ซ่อนไว้ที่ด้านหลัง ฉับพลันนั้นนางรู้สึกไม่พอใจ ยื่นมือออกมา “นำออกมา!”

ช่างฝีมือคนนั้นค่อยคลายฝ่ามือออกเป็นเพราะใช้มือจับมีดแกะสลักมาเป็นเวลานานทำให้นิ้วโป้งและนิ้วชี้หยาบหนากว่านิ้วอื่นๆ

หัวหน้าหลัวเม้มริมฝีปากแววตาเบี่ยงไปมองหญ้าถักรูปผีเสื้อคู่ที่กำลังเคล้าน้ำเต้าน้อยบนปิ่นห้อย (步摇=ปิ่นปักผมชนิดหนึ่งที่ตรงหัวปิ่นมักทำเป็นสายห้อยลงมา)

“อืม?” หัวหน้าหลัวตาเป็นประกายหญ้าวัชพืชที่ไม่สะดุดตาเหล่านั้นสามารถนำมาถักเป็นลวดลายอันปราณีตได้ถึงขนาดนี้

“เจ้าถักหรือ?” สำนักหนิงกวงหยวนกำลังขาดแคลนช่างฝีมือที่ทั้งมัพรสวรรค์และขยันจริงจังหัวหน้าหลัวจึงเสียดายผู้มีฝีมือนางรับปิ่นพู่ห้อยพิจารณาซ้ายขวาอย่างละเอียดแล้วจึงอ้าปากพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนไม่น้อย “เจ้าถนัดใช้เครื่องประดับหญ้าทำเป็นแบบอย่างนั้นหรือ? ”

โดยปกติแล้วช่างฝีมือตอนที่เริ่มออกแบบลวดลายมักจะวาดโครงร่างบนกระดาษซวนจื่อนางเองก็เป็นเช่นนี้

ช่างฝีมือไม่กล้าแอบอ้างฝีมือเพราะนางเองก็ไม่มีความสามารถในการถักเครื่องประดับหญ้าจึงโบกมือเป็นระวิง” เรียนท่านหัวหน้าปิ่นพู่ห้อยข้าไม่ได้เป็นคนถักเป็นเมื่อวันก่อนข้าไปที่ร้านๆหนึ่งตรงถนนพานโหลวเห็นแล้วชอบจึงขอหยิบมาสามอันเมื่อวานที่ท่านชมเชยปิ่นปักผมรูปดอกบัวมีรูปแบบแปลกใหม่นั้นก็เป็นแบบที่ข้าฝึกมาจากเครื่องประดับหญ้าใช่แล้วข้ายังมีกิ๊บปิ่นปักผมที่เป็นรูปเรือท่องเที่ยวน่าเสียดายว่าต้องแกะสลักให้ละเอียดนุ่มนวลอย่างนั้นมันยากเกินไปข้าทำไม่ได้”

ช่างฝีมือดูซื่อสัตย์จริงใจบอกกล่าวเรื่องจริงออกมาทั้งหมดทั้งยังนำภาพวาดเรือคู่ออกมาจากกระเป๋าด้วยตัวเอง

” นี่รูปแบบงดงามมาก” หัวหน้าหลัวตื่นตะลึงนางเองล้วนไม่เคยคิดที่จะใช้รูปเรือประดับมาทำเป็นกิ๊บปักผมมาก่อนเลยเมื่อมองที่เรือประดับตรงหน้าต่างสี่เหลี่ยมยังมีรูปคนตัวเล็กๆสองคนอีกด้วย

“นี้เป็นร้านเครื่องประดับร้านไหนบนถนนพานโหลว” หัวหน้าหลัวเก็บกิ๊บปักผมรูปเรือประดับน้อยชิ้นนั้นซ่อนไว้ในแขนเสื้อกว้าง “ในเมื่อเจ้าไม่ใช้ให้ข้าก็แล้วกัน”

“ท่านหัวหน้าแม้ว่าจะจะนำไป” ช่างฝีมือดีใจกล่าว “เครื่องประดับหญ้านี้มิใช่มาจากร้านเครื่องประดับแต่เป็นของร้านสมุนไพรหอมร้านหนึ่งของถนนพานโหล”

“ร้านสมุนไพรหอม?” หัวหน้าหลัวเลิกคิ้ว “ร้านสมุนไพรหอมเหตุใดถึงมีเครื่องประดับหญ้ากันเล่า”

” จริงๆนะข้ากำลังคิดว่าอีกสองสามวันเป็นวันหยุดจะไปที่ร้านนั้นเพื่อซื้อสมุนไพรหอมแล้วนำกิ๊บปักผมมาอีก” ช่างฝีมือน้อยเบิ่งตาใบหน้าฉายความตรงไปตรงมา” ได้ยินคนงานของร้านสมุนไพรหอมกล่าวว่าเครื่องประดับหญ้าเป็นเด็กสาวจากอำเภอกวงหยางที่นอกเมืองเป็นผู้ถักทุกหลายวันจึงจะส่งเข้ามา”

” ร้านสมุนไพรหอมบนถนนพานโหลว? ” หัวหน้าหลัวคิดแล้วคิดอีก” คงเป็นศาลาสุคนธรสแล้วล่ะ”

ห้องของนางก็มีกลิ่นหอมอ่อนๆปกติกระโปรงที่นางใส่ก็จะใช้น้ำมันหอมระเหยหากแต่ในเมืองหลวงมีร้านสมุนไพรหอมไม่ถึงสามร้านห้าร้านศาลาสุคนธรสตรงถนนพานโหลวนางเองเคยไปก็หลายครั้งนับดูแล้วนางเองก็เป็นแขกประจำของศาลาสุคนธรสเช่นกัน

ช่างฝีมือน้อยรีบพยักหน้ารับ

หัวหน้าหลัวอารมณ์สั่นไหวถนนพานโหลวอยู่ห่างจากถนนฟานโหลวไม่ไกลนักนางเองมีช่วงหนึ่งที่ไม่ได้ไปเยือนศาลาสุคนธรสเพื่อซื้อสมุนไพรหอมไม่สู้ว่าไปชมดูด้วยตาตนเองจะดีกว่าเครื่องประดับหญ้าของสาวน้อยฝีมือดีมากไม่แน่ว่านี่จะเป็นวัตถุชิ้นงามที่จะต้องรับเข้ามาอยู่ในสำนักหนิงกวงหยวน

หัวหน้าหลัวหมุนกายกำชับสาวใช้ให้ไปที่ลานด้านหน้าเพื่อตระเตรียมรถม้า

เมื่อหัวหน้าหลัวเดินทางถึงศาลาสุคนธรสก็รีบโผเข้าไปหากแต่เลือกได้ไม่กี่ชิ้นเท่านั้นจึงได้แต่ทักท่ายเถ้าแกอันเพียงไม่กี่ประโยคจึงโดยสารรถม้ากลับสำนักหนิงกวงหยวน

อีกทางหนึ่งฮวาหว่านเร่งรถลากลับหมู่บ้านยวินเซียวเมื่อถึงถนนหลวงก็หยุดรถลานางแลดูดวงอาทิตย์คาดคะเนว่าพี่ชายกำลังเลิกเรียนพอดีรอเพียงแค่ชั่วครู่เท่านั้นก็จะได้โดยสารรถลากลับบ้านพร้อมกัน

ฮวาหว่านก่อนที่จะออกจากเมืองหลวงได้ซื้ออาหารลามาด้วยนางจึงป้อนให้มันกินจนอิ่มแล้วจึงฉวยโอกาสเด็ดหญ้าขนอ่อนแบะดอกไม้ดอกเล็กๆที่ยังไม่ได้ถูกหนอนแทะกินอย่างรวดเร็วนางก็ถักปิ่นหญ้ารูปลูกบอลที่ด้านบนมีขนอ่อนๆได้หลายอัน

ฮวาหว่านหยิบปิ่นผมนั้นทดลองปักเทียบบนศีรษะเด็กสาวน้อยอายุสิบสองสิบสามปียังคงรักสวยรักงามน่าเสียดายที่วันนี้นางหวีผมมวยสูงแบบเด็กผู้ชายจึงไม่ค่อยเหมาะกับการปักปิ่นผม

ฉับพลันนั้นทีมือมาเตะที่มวยผมของนางขู่จนนางต้องรีบหมุนตัวกลับเมื่อว่าเป็นหลี่จงเหรินนั่นเองจึงถอนใจโล่งอก

ฮวาหว่านลูบหน้าอกบ่นฮุบ “พี่ชายเหตุใดท่านไม่ส่งเสียงเล่า”

“ข้าตะโกนแล้วเป็นเจ้าที่จิตใจจดจ่อจึงไม่ได้ยินเองนะ”

“จริงเหรอ?” ฮวาหว่านเกาศรีษะอย่างงงงวยแต่ว่าในเมื่อพี่ชายบิกว่าตะโกนเรียกแล้วนั่นก็คือเรียกแล้วนางก็ไม่ต้องคิดอะไรให้มากมาย

หลี่จงเหรินลูบไปที่มวยผมของฮวาหว่านแล้วจึงค่อยวางมือลง ” สวยมาก”

เป็นประโยคที่กล่าวอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ยฮวาหว่านหลงคิดว่าหลี่จงเหรินชมเชยปิ่นปักผมในมือของนางภาคภูมิใจจนหยิบขึ้นมากวัดแกว่ง “ข้าก็มีความสามารถอยู่บ้างข้าสามารถใช้เงินจากเครื่องประดับหญ้านี้ให้พี่ชายใช้แทน…..”

ฮวาหว่านรู้สึกตัวว่าจะหลุดปากจึงรีบปิดปากทันที

หลี่จงเหรินถามอย่างสงสัย “ให้แทนข้าทำอะไร?”

“พี่ชายไม่มีอะไรพวกเรารีบกลับบ้านกันเถอะนะ” ฮวาหว่านสะกิดลาดำแทนนางไม่สามารถพูดออกมาได้หรอกว่าเงินที่ได้จากการขายเครื่องประดับหญ้าจะเอาไว้เป็นค่าสินสอดของเขาไม่เช่นนั้นพี่ชายต้องไม่เห็นด้วยอย่างแน่นอน