บันทึกมงกุฎขนนก (นิยายแปล)

บทที่ 7 สำนักหนิงกวงหยวน

ชื่อของเจ้าอ้วนน้อยเรียกว่าอันจูเมื่อเห็นเถ้าแก่อันมาแล้วเขาไม่เพียงแต่ไม่หวาดกลัวกลับวิ่งเข้าไปด้านข้างของเถ้าแก่อันชี้นิ้วมายังฮวาหว่านเด็กเลวร้ายนี้ยังเอ่ยคำฟ้อง“บิดานางด่าข้า”

“เหลวไหลพออยู่ที่ด้านนอกได้ยินหมดแล้วแยกแยะออกว่าสาวน้อยนี้ช่วยเจ้าไขปัญหาเลขได้แต่เจ้าไม่เพียงแต่ซาบซึ้งในบุญคุณกลับโกรธเคืองความจริงแล้วไม่ควรเลยจริงๆยังไม่รีบไปขอโทษนางอีก“เถ้าแก่อันเวลาเมื่อยู่ต่อหน้าผู้สูงศักดิ์มิอาจไม่ก้มหัวหากเวลาปกติสามารถแยกแยะถูกผิดได้อย่างชัดเจนทีเดียวครั้งนี้ต้องสั่งสอนเด็กหัวดื้อเพื่อความถูกต้องสักครึ่งก็ไม่คลุมเครือถึงแม้ฝีปากร้ายกาจแต่ว่าในแววตากลับแฝงความรักความเอ็นดูอย่างปิดไม่มิด

“ข้าไม่ต้องการ! อันจูสะบัดมือเถ้าแก่อันที่วางบนบ่าทันที ยังคงพ่นหายใจด้วยความโกรธเคืองขณะที่มองฮวาหว่าน ส่วนฮวาหว่านนั้นจดจ้องแต่กิ๊บถักดอกหญ้าในมือที่ถูกทำลายจนเสียหาย สองตาแดงก่ำ

เถ้าแก่อันส่ายหัวอย่างอับจนปัญญา อันจูเป็นบุตรชายเพียงคนเดียว ถูกตามใจจนเสียคน แต่ก่อนอยู่ที่สำนักเรียนก็ก่อแต่ความวุ่นวาย เหล่าอาจารย์จึงเกลียดชังที่ไม่สามารถขับไล่เขาให้ออกจากสำนักเรียนได้ แต่หลายวันมานี้ที่บ้านอาจารย์เกิดเรื่อง จึงให้ปิดสำนักเรียนพักผ่อนห้าวัน ก็กลับทำให้บิดาคนนี้กลุ้มใจอีก

“สาวน้อยฮวา เรื่องเป็นข้าที่ผิดเอง กิ๊บถักหญ้าหลายอันนี้ถือว่าเป็นเรื่องของข้าแล้วกัน” เถ้าแก่อันค่อนข้างเกรงใจฮวาหว่าน บรรดาเครื่องประดับหญ้าของฮวาหว่านเป็นที่ถูกอกถูกใจของแขกในร้านมากจริงๆ ผู้สูงศักดิ์เหล่านั้นมักจะเลือกรูปแบบที่แปลกใหม่สั่งให้ร้านเครื่องประดับประดิษฐ์ลอกเลียนแบบเป็นกิ๊บปักผมทองคำแทน อีกอย่างร้านเล็กร้านน้อยในเมืองหลวงต่างก็ต้องการเครื่องประดับสีสันสดใหม่แวววาวมีชีวิตชีวาสะดุดตา แบบที่ประดับด้วยดอกโบตั๋นกำลังบานบนตัวกิ๊บปักผม หรือว่าตกแต่งด้วยพู่ระย้า ก็งดงามมากเลยทีเดียว

ฮวาหว่านกัดฟันไม่เอ่ยคำ กิ๊บถักหญ้าคืออันจูเป็นคนทำเสียหาย ควรอยู่แล้วที่ทางร้านจะต้องชดใช้ค่าเสียหาย เพียงแต่นางปวดใจกับความเหนื่อยยากของตนเอง

เถ้าแก่อันหยิบเงินแท่งเล็กให้ฮวาหว่าน “สาวน้อยฮวา สองวันนี้เจ้าทำรูปแบบที่โดดเด่นแปลกใหม่ที่ไม่เหมือนใครสักหลายอันได้หรือไม่ ไม่จำเป็นต้องเยอะ สักห้าหกอันก็ได้ วันมะรืนส่งมาให้ข้า ข้าจะให้เจ้าอันละยี่สิบเหรียญ

เดิมทีเฉินฮูหยินของจวนท่านอันผิงโหว ได้เห็นกิ๊บปักผมอันใหม่ของเว่ยฮูหยินแห่งจวนก่วนหยวนโป๋เมื่อสอบถามแบ้วจึงได้รู้ว่าได้ต้นแบบมาจากศาลาสุคนธรส(ตำแหน่งโหว ‘候’เทียบเท่ากับตำแหน่ง “พระยา” หรือข้าราชการระดับ 9/10 ในปัจจุบัน ส่วนตำแหน่งโป๋ ‘伯’เทียบเท่ากับตำแหน่ง “พระ” หรือข้าราชการระดับ 7/8 ในปัจจุบัน)

เมื่อวานเฉินฮูหยินมาที่ร้านเพื่อซื้อยาล้ำค่าไปหลายตลับ แล้วจึงกล่าโดยตรงว่าต้องการกิ๊บหญ้าปักผม จนใจที่เมื่อวานเครื่องประดับหญ้าเหลืออยู่ไม่กี่อัน เฉินฮูหยินเลยไม่ได้เลือกหยิบไปสักชิ้น จึงผิดหวังมาก เถ้าแก่อันจึงขอให้เฉินฮูหยินมา ใหม่ในอีกสองสามวัน ทั้งยังสัญญาอย่างแน่นและรับประกันอีกว่าเมื่อถึงเวลาที่นัดจะต้องมีรูปแบบแปลกใหม่ให้นางเลือกเป็นจำนวนมาก ฮูหยินของจวนอันผิงโหวจึงค่อยจากไปด้วยความพอใจ

เดิมทีคิดว่าวันนี้เมื่อฮวาหว่านนำกิ๊บหญ้าถักแบบใหม่มาให้ เขาจะได้ไปรายงานให้ฮูหยินจวนอันผิงโหวทราบ คิดไม่ถึงว่าลูกชายสุดที่รักกลับสร้างความวุ่นวายให้กลัดกลุ้มใจ

ฮวาหว่านขยี้ตาพยักหน้ารับ “อืม เถ้าแก่อัน อย่างนั้นวันหลังข้าค่อยมาส่งเครื่องประดับหญ้า”

ฮวาหว่านเดินออกจากศาลาสุคนธรส เถ้าแก่อันเลยตำหนิอันจูสองประโยค เพื่อให้อันจูจดจำไว้ให้เป็นนิสัย เขายังลงโทษไม่อนุญาตให้บุตรชายกินขนมหลังอาหารกลางวันอีกด้วย

เพราะว่าโดนตัดสิทธิ์การกินในใจของอันจูจึงแค้นเคืองฮวาหว่านอย่างล้ำลึก ถลึงตาดูภาพเบื้องหลังของฮวาหว่านที่กำลังจากไปครู่หนึ่ง ขบคิดว่าความแค้นนี้จะชำระอย่างไร

ฮวาหว่านจูงลาดำ เดิมทีควรที่จะกลับอำเภอยวินเซียว แต่เพราะว่าถูกเจ้าอ้วนของศาลาสุคนธรสอาละวาดจนในใจอึดอัดคับข้อง นางจึงจูงลาดำเดินปลดปล่อยอารมณ์กลัดกลุ้มไปตามถนนเสียเลย

ร้านค้าเครื่องกระเบื้องหรือแม้แต่โรงโสเภณีที่กำลังขับร้องเพลงแถวถนนพานโหลวยังไม่ดึงดูดให้ฮวาหว่านเกิดความสนใจได้ นางได้แต่เดินผ่านไป และใช้เงินห้าเหรียญซื้ออาหารให้ลาดำตัวน้อยกินเท่านั้น

โดยไม่รู้ตัวฮวาหว่านเดินทางถึงถนนใหญ่ตรงเป่าคังเหมิน ซึ่งตรงเป่าคังเหมินนี้ผ่านเหตุการณ์ไฟไหม้มาได้ครึ่งปีแล้ว

เมื่อฤดูใบไม้ผลิเกิดหิมะ ทางการได้สั่งคนให้ชำระสะสางซากปรักหักพังทั้งหมด เดิมที่ร้านตรงฝั่งตะวันออกทั้งหมดต่างก็จะได้รับเงินแท่งจำนวนหนึ่งจากทางการ แต่ทว่าบิดาของฮวาหว่านเป็นเพียงผู้เช่าเท่านั้น ด้วยสาเหตุนี้ทางการจึงได้แต่ให้เงินค่าทำศพบิดามารดาเท่านั้น

ตอนที่ท่านลุงรับฮวาหว่านไปนั้น นอกจากเสื้อนวมซ่อมซอบนร่าง และบิดามารดาที่เสียชีวิตอย่างอนาถในกองเพลิงแล้ว จะเหลือก็เพียงภาพวาดที่เขียนด้วยพู่กันเล็กๆน้อยๆ ไม่มีอะไรอื่นอีกเลย

ฮวาหว่านยืนอยู่เงียบๆที่ตำแหน่งเดิมของร้านเครื่องเขียน บิดามารดาของนางที่เสียชีวิตยังคงกลบฝังอยู่ในก้นบึ้งในหัวใจนาง เพียงแค่คิดถึงก็สะอื้นไห้ ตอนกลางคืนในความฝันยามดึกสงัดยากนักที่จะตื่น

นางรู้ดีว่าท่านลุง ท่านป้าจะไม่สนใจเลี้ยงดูนางก็ได้ ปล่อยให้นางแตกดับไปตามชะตากรรม หากวันนี้กลับดูแลนาง เหตุเพราะจากความมีคุณธรรมของท่านลุงและท่านป้า และจากสายใยของครอบครัว ดังนั้นแต่ไหนแต่ไรมานางจึงเก็บปากเก็บคำไม่ถนัดการเจรจาพูดคุยทว่ากลับเป็นสาวน้อยที่ชอบแย้มยิ้ม สงบเสงี่ยมและไม่เป็นภาระเพิ่มให้กับผู้อื่น

วันนี้อาจเป็นเพราะว่าเห็นเถ้าแก่อันให้ความรักเอ็นดูอันจู จึงทำความคิดถึงบิดามารดา?เก็บลึกในก้นบึ้งหัวใจปะทุออกมา จนอยากที่จะปิดบัง

ฮวาหว่านเชิดจมูกขึ้น บิดามารดาใจร้ายนัก ยังพูดว่ารักนาง ทะนุถนอมนาง ตอนนั้นกลับไม่พานางไปด้วยกันนะ…..

“เปิดทาง! เปิดทาง! มองไม่เห็นหรือว่าตรงนี้กำลังทำงานกันอยู่”

ช่างที่ได้รับการว่าจ้างสร้างบ้านทางตะวันออกแบกท่อนไม้ผ่านมา พอดีกับที่ฮวาหว่านขวางทางอยู่ เสียงหยาบกระด้างทำให้ฮวาหว่านสะดุ้งตื่นจากห้วงความคิด

นายช่างแขนใหญ่ล่ำบึ้กคนนั้นแสดงความไม่พอใจออกมาอย่างชัดเจนงานหยาบและลำบากย่อมทำให้อารมณ์ของเขาดุร้ายเป็นธรรมดาถึงแม้ว่าฮวาหว่านจะเปิดทางให้แล้วก็ตามปากก็พร่ำกร่นด่าไม่หยุด “โง่งมอยู่ได้ตั้งนานสองนานโง่แล้วยังจะจูงลามากีดขวางบิดาเจ้าอีกถ้าได้เงินแล้วบิดาเจ้าจะไปซื้อเหล้ามาเผาซะเลย!”

ตอนแรกที่ถูกขู่ให้ตกใจฮวาหว่านยังรู้จักปวดหัวอยู่บ้างแถมยังถูกคำหยาบคายตะคอกใส่อีกเป็นชุดหน้าจึงซีดขาวแถมยังคิดว่าคนหยาบกระด้างจะแย่งชิงลาของนางอีกจึงกระตุกเชือกบังเหียนลาอย่างแรงปล่อยให้มันวิ่งไปจนสุดฝีเท้า

เพราะว่าวิ่งเตลิดไม่รู้ทิศทางตอนหลังจึงต้องอ้อมไปอีกสองถนนถึงจะได้ออกจากเมือง

เมื่อผ่านถนนพานโหลวฮวาหว่านเห็นแผ่นป้ายสีทองของสำนักหนิงกวงหยวนที่แขวนไว้นางกะพริบตาด้วยความอิจฉาก่อนกัดขนมเปี้ยะนึ่งที่กำไว้ในมืออย่างเงียบๆก่อนเร่งรีบขี่ลาออกนอกเมือง

ขณะที่ฮวาหว่านเพิ่งจะผ่านไปศาลาหินอ่อนในหนิงกวงหยวนนั่งไว้ด้วยหัวหน้าฝ่ายศิลปะคนใหม่ที่เพิ่งมาเมื่อครึ่งปีก่อนซึ่งเชี่ยวชาญงานศิลปะของหนิงกวงหยวน

หัวหน้าหลัวมือหนึ่งถือกระดาษภาพวาดรูปกิ๊บประดับผมที่เป็นรูปประสมประเสของกลุ่มเมฆหกก้อนส่วนอีกมือกำลังเคาะนิ้วที่วางบนโต๊ะหินที่ประดับด้วยแผ่นทองคำเปลวรูปดอกเหมย

ศาลาสี่เสานี้ไม่สามารถกั้นแสงแดดยามสายที่ส่องเข้ามาได้หัวหน้าหลัวถูกแดดเผาจนกระวนกระวายคิ้วขมวดแน่นขึ้นเริ่อยๆ (辰时=เวลาช่วง 7-9โมงเข้า)

เด็กรับใช้ที่ผูกมวยผมสองข้างกล่าวอย่างระมัดระวัง “ท่านหัวหน้าชาเย็นหมดแล้วข้าไปเปลี่ยนให้ท่านใหม่”

“ไม่ต้อง” หัวหน้าหลัวปัดเสื้อผ้าต่วนที่มีปลายแขนกว้างลุกขึ้นกล่าว “กลับสำนัก”

ที่หัวหน้าหลัววิตกกังวลไม่ใช่กิ๊บปักผมทองบนกระดาษยวี่ซวน (玉宣纸=กระดาษสมัยโบราณ)

แม้ว่าเมฆเคลื่อนหงส์ทองของกิ๊บปักผมทองจะใช้เทคนิคซับซ้อนและผู้สั่งทำมีฐานะสูงส่งแต่ว่านางวางแผนจะประดิษฐ์ด้วยตัวเองอาศัยฝีมือทางศิลปะของนางแล้วกิ๊บปักผมทองลายเมฆเคลื่อนหงส์ทองนี้เป็นอันไม่ต้องพูดถึง

สิ่งที่หัวหน้าหลัวกลุ้มใจคือสภาพการเงินของสำนักหนิงกวงหยวนในปัจจุบันมากกว่า

คำเชื้อเชิญของผู้ว่าการเส้ากับหกสำนักใหญ่ให้นางมาเป็นหัวหน้าฝ่ายศิลปะของที่แห่งนี้ดังนั้นผู้ว่าการเมืองชิงโจวจึงเชิญนางมายังเมืองหลวง

ภายหลังที่นางเข้าสำนักแล้วจึงทราบว่าหนิงกวงหยวนนอกจากมีฝ่ายงานศิลปะแล้วยังมีฝ่ายหลอมโลหะและแกะสลักหินสองฝ่ายทั้งสามฝ่ายขึ้นกับฝ่ายศิลปะที่เป็นหัวหน้าเหลืออีกสองฝ่ายจะฟังคำสั่งของฝ่ายศิลปะที่จะชี้แนะว่าต้องดำเนินการเรื่องใดบ้าง

ช่างฝีมือส่วนมากในหนิงกวงหยวนนอกจากจำนวนน้อยที่เป็นแบบนางแล้วก็จะถูกคัดเลือกจากร้านค้าเรื่องประดับอัญมณีจากที่ต่างๆโดยผู้ว่าการเส้าแต่ส่วนใหญ่แล้วจะมาจากสำนักศึกษาช่างฝีมือของราชสำนัก

เหตุที่ผู้ว่าการเส้าไปเชื้อเชิญนางมาเป็นพิเศษนั้นสาเหตุก็เนื่องมาจากเหล่าช่างฝีมือในสำนักหนิงกวงหยวนส่วนใหญ่ฝีมิอไม่เป็นดั่งที่ใจต้องการจะมีเพียงแค่ไม่กี่คนเท่านั้นที่ฝีมือล้ำเลิศราวเทพเซียนส่วนพวกที่ฝีมือพอใช้ได้ก็มีเพียงแค่ไม่กี่คน

ช่างฝีมือของสำนักหนิงกวงหยวนที่คู่ควรช่างเป็นช่างทองอันดับหนึ่งนั้นเล่าเกรงว่าจะมีไม่ถึงห้าคน