บันทึกมงกุฎขนนก (นิยายแปล)
บทที่ 6 ไม่มีเหตุผล
วันไหนที่ไม่จำเป็นต้องเข้าเมืองฮวาหว่านจะยังคงไปสำนักปราชญ์ที่อำเภอกวงหยางเพื่อไปส่งอาหารกลางวันเช่นเดิมหากแต่ช่วงเวลาที่รอพักเที่ยงจะไปหมอบนั่งที่ใต้หน้าต่างอีกแต่นางจะสะพายตะกร้าใบเล็กไปเก็บดอกไม้ดอกหญ้ามาถักเพื่อจะได้สามารถส่งของให้กับศาลาสุคนธรสแลกเป็นเงินขึ้นอีกมากหน่อย
เว้นสามวันห้าวันฮวาหว่านจะเข้าเมืองหลวงสักครั้งและเพราะว่าหลี่จงเหรินไม่สามารถไปเป็นเพื่อนนางได้ทุกครั้งเซียงลี่เด็กสาวบ้านโม่เองกลับอยากไปเปิดหูเปิดมากนางรู้สึกว่าการเข้าไปในเมืองไม่เพียงแต่จะได้เห็นความครึกครื้นแต่ยังได้ไปหาบิดาอีกด้วยน่าเสียดายที่สะใภ้โม่ไม่เห็นด้วยคิดว่าฮวาหว่านเด็กสาวอายุสิบสองปีแค่จะดูแลตัวเองก็ไม่ง่ายแล้วจึงไม่ควรเพิ่มความลำบากให้กับนางอีก
บ้านสกุลหลี่เองก็เช่นกันเพิ่งจะได้สัมผัสอีกด้านที่ดื้อรั้นหัวแข็งของฮวาหว่านเพียงแต่ไม่สามารถไปเป็นเพื่อนนางได้ดังนั้นนางจึงแต่งตัวเป็นเด็กหนุ่มน้อยขี่ลาไปส่งเครื่องประดับที่ศาลาสุคนธรสตามลำพัง
ไปๆกลับๆอยู่หลายครั้งอย่างรวดเร็วเวลาก็ผ่านไปหนึ่งเดือนแล้วนางเก๋อซื่อคำนวณเงินที่ฮวาหว่านทำเครื่องประดับหญ้าไปขายคาดไม่ถึงว่าจะได้ถึงห้าร้อยกว่าเหรียญดังนั้นเมื่อคิดแล้วรอจนฮวาหว่านอายุครบสิบห้าปีก็สามารถพึ่งพิงพรสวรรค์ของตัวเองและมีเงินสินสอดของฝ่ายหญิงแล้ว
ทุกครั้งที่ฮว่าหว่านกลับมาจากในเมืองหลวงจะไม่ลืมมอบของเล่นหายากให้แก่นางเก๋อซื่ออย่างเช่นยาลูกกลอนสองเม็ดที่ศาลาสุคนธรสมอบให้หรือชาอบดอกไม้ครั้งก่อนยังนำขวดเครื่องเคลือบงดงามที่ใช้ปักกุหลาบพันธุ์เลื้อยมาให้นางเก๋อซื่อรู้สึกตื่นใจและชื่นชมอยู่หลายวัน
นางเก๋อซื่อรู้ดีว่าฮวาหว่านเมื่อเทียบกับเด็กสาวรุ่นราวคราวเดียวกันยังเฉลียวฉลาดกว่ามากซึ่งไม่ใช่คำยกยอแต่อย่างใดปกติที่นางมักจู้จี้กับฮวาหว่านบ่อยๆจึงเพราลงเป็นอย่างมาก
วันนี้ฮวาหว่านจะต้องเข้าเมืองเพื่อไปส่งเครื่องประดับหญ้าอีกครั้งดังนั้นจึงตื่นขึ้นมาแต่เช้าหลี่จงเหรินกลับยังไม่ไปสำนักปราชญ์เพราะว่าฮวาหว่านไปส่งข้าวกลางวันให้ไม่ได้เขาจึงห่ออาหารไปเองดีที่อากาศไม่ร้อนนักจึงไม่ต้องกังวลว่าขนมเปี๊ยะจะเย็นไปเสียก่อน
ฮวาหว่านทางหนึ่งฟังเสียงไก่หลูฮัวที่ด้านนอกกำลังคุ้ยเขี่ยหาอาหารส่งเสียงดังกุ๊กๆอีกด้านหนึ่งตาดำแป๋วแหววก็หวีเส้นผมเหมือนเด็กผู้ชายที่มัดผมสูงเป็นมวยแล้วผูกด้วยผ้าชินเล็กที่ด้านบนบนร่างก็สวมไว้ด้วยเสื้อตัวสั้นสีเลือดหมูที่หลี่จงเหรินให้ไว้ที่เอวบางยังคาดไว้ด้วยเชือกป่านมองครั้งแรกยังดูเป็นหนุ่มน้อยหน้าหยกกว่าหลี่จงเหรินเสียอีก (ไก่หลูฮัว“芦花鸡”เป็นไก่พื้นเมืองของจีนในมณฑลชานตงมีลักษณะอ้วนกลมส่วนใหญ่มีสีดำแซมด้วยจุดสีขาว)
ฮวาหว่านออกมายังลานบ้านเห็นว่าหลี่จงเหรินยังอยู่จึงชะงักชั่วครู่ถามด้วยความประหลาดใจ“พี่ชายอีกประเดี๋ยวท่านก็จะไปสำนักปราชญ์สายแล้วนะ”
แม้ว่าสำนักปราชญ์ของอำเภอจะไม่เคร่งครัดเท่ากับสำนักไท่หยวนแห่งนั้นหากแต่ไปสายเข้าบ่อยๆก็คงต้องถูกท่านอาจารย์ใช้ไม้บรรทัดตีจนมีรอยเจ็บสีแดงๆที่ฝ่ามือเป็นแน่ฮวาหว่านคิดแล้วยังรู้สึกเจ็บมากแน่
“บิดาบอกแล้วให้เจ้ากับช้าโดยสารรถลาไปถึงเส้นทางหลวงใกล้ๆอำเภอกวงหยางจางตรงนั้นสายแค่สิบห้านาทีและก็ไม่ถึงกับไปสายด้วย”
ขณะพูดหลี่จงเหรินก็ยื่นส่งห่อกระดาษน้ำมันให้ฮวาหว่าน“นี้คือขนมเปี๊ยะนึ่งที่ท่านแม่เตรียมไว้ให้แต่ว่าตอนกลางวันเจ้าควรไปกินก๋วยเตี๋ยวโป๋ทัวทังในเมืองดีกว่าจะได้รู้สึกสบายขึ้นอีกหน่อย” (โป๋ทัวทัง“馎饦汤”เป็นอาหารท้องถิ่นแถบอำเภอซานหลีลักษณะคล้ายราเมงของญี่ปุ่นที่ใส่เนื้อไก่เส้นบะหมี่แบนและผักชนิดต่างๆในน้ำซุบเต้าเจี๊ยว)
“อืมก็ดี!” ฮวาหว่านโก่งคิ้วยิ้มรับและรับห่อกระดาษน้ำมันไปเก็บอย่างระมัดระวัง
หลี่จงเหรินยักไหล่อย่างจนใจแม้ว่าฮวาหว่านจะรับปากอย่างเปิดเผยแต่ไรมาก็ไม่เคยฟังความคิดเห็นของเขา
นางเกอซื่อได้ยินเสียงคนทั้งสองจึงชะโงกตัวออกมาจากห้องครัว“พวกเจ้ายังไม่รับไปอีกยังมาคุยนอกเรื่องนอกราวกันอยู่อีกทำไมกันใช่แล้วเจ้าหว่านสองวันนี้โม่ฟู๋กลับหมู่บ้านมาเตรียมสินค้าพื้นเมืองเจ้าเข้าเมืองหลวงไม่มีคนดูแลระวังตัวซะด้วยอย่าทะเล่อทะล่าไม่ดูตาม้าตาเรือเข้าล่ะ”
“ท่านป้าโปรดวางใจ”ฮวาหว่านชำนาญเรื่องกระโดดขึ้นหลังลาอยู่แล้วแถมยังหยิบฉวยรับหนังสือจากหลี่จงเหริน
ฮวาหว่านไปร้านขายสมุนไพรหอมหลายครั้งแล้วคุ้นเคยกับคนในศาลาสุคนธรสเป็นอย่างดี
ครั้งนี้พอเข้าไปที่ร้านกำลังจะทักทายกันกลับเห็นว่าเขากำลังนั่งหมอบคิ้วขมวดแน่นมือก็จับหูเกาแก้มที่ด้านข้างยื่นไว้ด้วยหนุ่มน้อยอายุแก่กว่าฮวาหว่าน
เด็กชายสวมเสื้อคอกลมแขนเสื้อยาวสีเหลืองแบบจีนโบราณรูปร่างอ้วนกลมในมือยังถือขนมแป้งกรอบชุบน้ำผึ้งที่กำลังยัดเข้าไปในปากสองแก้มที่อวบอูมด้วยไขมันกระเพื่อมไปมาตามการขยับปาก
ฮวาหว่านเห็นคนงานในร้านนั้นยังไม่สังเกตเห็นนางจึงลังเลว่าควรจะไปทักทายตรงหน้าหรือไม่ก็เห็นว่าหนุ่มอ้วนกินขนมปังกรอบน้ำผึ้งแค่สองคำก็หมดเกลี้ยงแถมใช้ขาข้างที่ว่างอยู่เตะไปที่หลังของคนงานผู้นั้นโดยแรงคนงานคราง“ไอโยว”เจ็บปวดจนต้องผ่อนลมหายใจแรง
หนุ่มอ้วนยังไม่ยอมเลิกราเตะซ้ำไปอีกครั้งดุร้ายโดยไม่มีสาเหตุ“เจ้าเป็นคนคอยเก็บเงินไม่ใช่หรือเหตุใดคำถามง่ายๆเหล่านี้ถึงคิดไม่ออกรีบเร็วเข้าไม่อยากนั้นข้าจะยันเข้าออกไป”
ฮวาหว่านรีบเดินไปข้างหน้าถลึงตามองหนุ่มน้อยผู้นั้นพูดด้วยอย่างไม่อ่อนโยน“พูดกันดีๆก็ได้เหตุใดท่านถึงทำร้ายคนกันเล่า”เมื่อพูดจบแล้วจึงหันไปมองคนในร้านคนนั้น“พี่ฉวนเซินท่านเป็นไรหรือไม่”
คนงานเงยศีรษะขึ้น“แม่นางฮวาเจ้ามาแล้วหรือ”เขาอยากจะลุกขึ้นแต่ถูกขวางกั้นด้วยหนุ่มน้อยร่างอ้วนที่ข้างกายลังเลจนไม่กล้าขยับตัว
เด็กร่างอ้วนถูกฮวาหว่านถลึงตาใส่ในใจพลันเกิดกองเพลิงสุมขั้นจนแก้มกระตุกเป็นเส้นตรงทั้งยังเห็นว่าฮวาหว่านแต่งตัวซอมซ่อไหนเลยจะเกรงอกเกรงใจ“ข้ากำลังจัดการคนของข้าเจ้าเป็นตัวอะไรถึงกล้ามาชี้ไม้ชี้มือแส่เข้ามา”
หนุ่มน้อยร่างอ้วนน้ำเสียงหยาบคายหากแต่ว่ากันตามเหตุผลแล้วฮวาหว่านเองก็ไม่ได้อ่อนแอเลยสักนิดนางยิ่งชันสันหลังตั้งตรงขึ้นอีก
คนงานใบหน้าอับจนหนทางเกรงว่าฮวาหว่านจะยั่วยุจนถูกหนุ่มน้อยร่างอ้วนทำร้ายจนขาดทุนรีบกล่าวคำเตือน“ไม่เป็นไรหรอกไม่เป็นไรจริงๆข้าไม่เจ็บเลยสักนิดแม่นางฮวามาส่งเครื่องประดับหญ้าใช่หรือไม่ข้าจะรีบไปตรวจนับ”
“ไม่อนุญาตให้ไป”หนุ่มอ้วนตะคอกเสียงดัง“เจ้ายังไม่ตอบคำถามนี้ออกมาห้ามไปไหนทั้งสิ้น”
“แต่ …แต่ว่าคุณชายน้อยข้าน้อยทำไม่ได้จริงๆ”
หนุ่มอ้วนแค่นเสียงอย่างเย็นชามองดูแล้วอารมณ์ที่ปะทุออกมาทั้งไม่ยอมผ่อนผันและก็ไม่มีเหตุผล
แท้จริงแล้วเจ้าอ้วนคนนี้คือลูกชายของเถ้าแก่อันนั่นเอง
ฮวาหว่านก้าวมาข้างหน้าอีกก้าวเข้าใกล้ด้านหน้าของตู้มองแล้วมองอีกก็เห็นกระดาษซวนจื่อแผ่นหนึ่งมีลายมือโย้เย้เขียนคำถามตัวเลขว่า“นายพลนับทหารสามนายเป็นหนึ่งกลุ่มยังเหลืออีกสองนายห้านายเป็นหนึ่งกลุ่มยังเหลืออีกสามนายเจ็ดนายเป็นหนึ่งกลุ่มยังเหลืออีกสองนายคำถามคือมีทหารทั้งหมดเท่าไหร่”
เจ้าอ้วนน้อยบังคับให้คนงานไขปัญหานี้ให้ได้ฮวาหว่านแม้ว่าจะไม่ค่อยเข้าใจคณิตศาสตร์มากนักแต่กับคำถามนี้นางกลับทราบคำตอบเมื่อก่อนที่บิดานางเตรียมตัวที่จะสอบเคอจี่นางเคยอยู่ที่ข้างกายบิดาจึงถือโอกาสสอนเลขคณิตที่น่าสนใจอยู่บ้าง
“ข้ารู้คำตอบก็คือยี่สิบสามคน”ฮวาหว่านไพร่มือไปด้านหลังอย่างภาคภูมิใจ
ใบหน้าของคนงานที่กำลังเลอะเลือนมึนงงกำลังมองไปที่ฮวาหว่านเจ้าอ้วนน้อยยิ่งเหยียดหยามขึ้นอีก“เจ้าจะไปเข้าใจอะไรได้อย่ามาพูดจาเหลวไหลเพื่อประจบขอรางวัลเลย”
ฮวาหว่านเห็นท่าไม่ดีหากจะให้นางพูดอย่างมีเหตุมีผลย่อมไม่สำเร็จแน่นอน
ฮวาหว่านเอียงศีรษะครุ่นคิดพลันเกิดความคิดเฉียบแหลมขึ้นนางเปิดกระเป๋าหยิบกิ๊บหญ้าถักออกมายี่สิบสามอันใช้วิธีการที่ง่ายที่สุดไขปัญหาข้อนี้โดยการวางกิ๊บหญ้าถักตามโจทย์ทั้งสามข้อออกเป็นสามกลุ่มตามจำนวนทหารอย่างนี้จึงพิสูจน์ได้ว่านางพูดถูก
“คุณชายน้อยถูกต้องจริงๆ”คนงานถอนหายใจกล่าวอย่างดีใจ
“เฮอะ”เจ้าอ้วนน้อยไม่เพียงแต่เพราะว่าฮวาหว่านคิดคำตอบออกมาแล้วจะดีใจกลับโกรธเคืองมากขึ้นไปอีกพอเหลือบตามองกิ๊บหญ้าถักที่ฮวาหว่านวางบนตู้เพื่อที่จะระบายอารมณ์เขากลับขว้างของเหล่านั้นกระแทกพื้นอย่างแรง
ฮวาหว่านอุทานออกมาได้คำหนึ่งก็รีบก้มหลังเก็บแต่ข้อมือเจ้าอ้วนน้อยแข็งแรงมากกิ๊บหญ้าถักที่อยู่ในมือเขาถูกขว้างทิ้งจนเสียรูปทรง
ฮวาหว่านทั้งเจ็บปวดใจทั้งโกรธเคืองใบหน้าแดงก่ำชี้มือไปทางเจ้าอ้วนอย่างไม่พอใจกล่าว“เหตุใดเจ้าจึงขว้างกิ๊บหญ้าถักของข้า”
“เฮอะของเล่นไร้ราคาค่างวดพวกนี้ข้าอยากจะทิ้งอย่างไรก็ได้ข้ายังอยากจะเอามันไปเผาเล่นอีกนะ”
คนงานที่ด้านหลังร้อนรนขึ้นมาลนลานช่วยฮวาหว่านเก็บกิ๊บหญ้าถักอารมณ์ของคุณชายน้อยของบ้านนี้เขาเข้าเองเป็นอย่างดีเขาเองยังกังวลว่าคุณชายน้อยจะเอากิ๊บหญ้าถักไปเผาไฟเข้าจริงๆ
ประจวบเหมาะที่เถ้าแก่อันเข้ามาในร้านพอทันเห็นเจ้าอ้วนน้อยกำลังแย่งชิงกระเป๋าของฮว่าหว่านตวาดด้วยเสียงดังสนั่น“จูเอ๋อร์หยุดมือ”