บันทึกมงกุฎขนนก (นิยายแปล)
บทที่ 5 ความลำบาก
แน่นอนว่าฮูหยินย่อมไม่มองเครื่องประดับหญ้า แต่ที่ดึงดูสายตาของนางคือกิ๊บหญ้า และปิ่นหญ้าที่มีรูปร่างโดดเด่น ก่อนหน้านี้นางกับฮูหยินอันผิงไปชมอัลบั้มภาพเครื่องประดับที่สำนักหนิงกวนหยวน ส่วนใหญ่แล้วเครื่องประดับเหล่านั้นเป็นรูปแบบเก่า ไม่ง่ายเลยที่จะถูกใจสักชิ้นที่พอดูมีราคาและลวดลายแปลกใหม่อยู่บ้าง แต่ทว่าเครื่องประดับชิ้นนั้นกลับถูกสนมผินจองไว้เสียแล้ว นางไหนเลยจะกล้าต้องการอีก (สนมเอกตำแหน่งผิน เป็นพระชายาชั้นกลางของฮ่องเต้)
ฮูหยินใช้ผ้าเช็ดหน้าผ้าไหมผืนงามพันนิ้วมือไปมา ก่อนหยิบกิ๊บหญ้าอันหนึ่งขึ้นพิเคราะห์ ในใจก็ขบคิด ในเมื่อเครื่องประดับของสำนักหนิงกวงหยวนไม่เป็นที่ถูกใจนัก เหตุใดไม่ใช้เครื่องประดับหญ้าเหล่านี้เป็นตัวอย่างแล้วสั่งช่างฝีมือในถนนพานโหลวประดิษฐ์ให้สักชิ้นสองชิ้นกันนะ อย่างเช่นวันนี้นางยังสวมใส่เครื่องประดับที่มีเพียงชิ้นเดียวและไม่มีใครในเมืองนี้จะเหมือน
เมื่อตกลงใจได้ ฮูหยินก็หันไปกล่าวกับเถ้าแก่ช้าๆ “การค้าของศาลาสุคนธรสของท่านดีเสียขนาดนั้น ยังไปแย่งค้าขายเครื่องประดับอีก แต่ก็ไม่รู้ว่ากิ๊บหญ้าตัวนี้ต้องการขายราคาเท่าไหร่กัน”
เถ้าแก่อันยิ้มรับ “ในเมืองหลวงนี้มีสำนักหนิงกวงหยวน ร้านค้าขายเครื่องประดับบนถนนพานโหลวก็มีตั้งสองสามร้าน ใครเลยอยากที่จะเปิดร้านขายเครื่องประดับได้อีกกันเล่าขอรับ ฮูหยินเว่ยท่านเจตนาหัวเราะเยาะข้าน้อยเสียแล้ว เครื่องประดับหญ้าน้หากว่าฮูหยินท่านถูกใจแล้วล่ะก็ แม้ว่าจะหยิบไป แม้สักเหรียญข้าน้อยก็ไม่กล้ารับไว้”
“เฮ้อ อย่างนั้นข้าก็ไม่เกรงใจแล้ว” ฮูหยินเปล่งเสียงหัวเราะจนผ้าเช็ดโบกสะบัดไปมา
ฮวาหว่านที่อยู่ด้านข้างไม่เอ่ยคำอันใด เพียงแค่เคลื่อนฝีเท้าเข้ามา ใช้สองมือประคองผ้าคลุมส่งไปยังเบื้องสายตาของฮูหยิน
“เด็กสาวคนนี้เฉลียวฉลาดนัก”
ฮูหยินชมเชยฮวาหว่านประโยคหนึ่ง แล้วจึงหรี่ตาเลือกกิ๊บหญ้าขึ้นมาสามชิ้นยังมีปิ่นปักผมอีกสองอัน ก่อนสั่งให้สาวใช้ที่ด้านหลังรับไปเก็บไว้
ภายหลังที่เถ้าแก่อันส่งฮูหยินแล้ว ก็หันกลับไปทักทายคนทั้งสามต่อ
เมื่อมีเริ่มต้นก็ต้องจะมีทางออก เถ้าแก่อันไม่ลังเลอีกต่อไป เอ่ยปากตรงไปตรงมา “สาวน้อยเครื่องประดับหญ้าของเจ้าสวยงามมาก ชิ้นละสามเหรียญข้าขอรับไว้”
เถ้าแก่สายตาแหลมคม เห็นว่าภายใต้ผ้าคลุมยังมีกิ๊บหญ้าอีกชิ้นที่บนยอดประดับไว้ด้วยเป็ดแมนดารินคู่ที่กำลังหยอกล้อดอกบัวน้ำ จึงชี้มือกว่า “อันนี้ทำได้ซับซ้อนนัก อยากให้ราคาค่าแรงเจ้ามากขึ้นอีกหน่อย ข้าคำนวณแล้วห้าเหรียญให้เจ้าแล้วกัน”
เถ้าแก่คำนวณจำนวนของเครื่องประดับหญ้า นับเงินหนึ่งร้อยเหรียญส่งให้ฮวาหว่าน“ร้านของข้าลูกค้ามาก เครื่องประดับหญ้าสามสิบอันเกรงว่ามอบให้ลูกค้าสองสามวันก็หมดแล้ว วันหลังทำให้เยอะขึ้นอีกหน่อย อีกสองวันก็ค่อยส่งมาอีก แต่ว่าพอทำจำนวนมากขึ้น คุณภาพก็ต้องดีเหมือนเดิมนะ”
“ขอบคุณค่ะเถ้าแก่ ท่านเองเมื่อไว้ใจ ปากเครื่องประดับทำได้ไม่ดี เถ้าแก่ท่านสามารถไม่รับไว้หรือจะส่งคืนให้ข้าก็ยังได้” ฮวาหว่านยิ้มหวานขณะที่รับเงินหนึ่งร้อยเหรียญ นางสามารถช่วยพี่ชายรวบรวมเงินค่าสินสอดได้จำนวนหนึ่งแล้ว คิดว่าพอกลับไปท่านป้าเก๋อซื่อจะต้องดีใจเป็นแน่ จะได้ไม่ก่นว่านางกับท่านลุงอีก
หาได้ยากที่เถ้าแก่อันจะหัวเราะออกมา แถมยังสอบถามถึงกิจการค้าขายที่นอกร้านอีก
คนทั้งสามออกจากศาลาสุคนธรส ฮวาหว่านกำลังจะให้เงินโม่ฟู๋สิบเหรียญ แต่โม่ฟู๋ไม่ไร้ยางอายที่จะกล้ารับเงินที่เด็กสาวอุตส่าห์หามาด้วยความยากลำบากไว้เพียงกำชับให้ฮวาหว่านส่งเครื่องประดับหญ้ามาให้มากๆ หน่อย แล้วจึงค่อยอำลาสองพี่น้อง
ฮวาหว่านเป็นเพื่อนหลี่จงเหรินไปซื้อสมุดเขียนอักษรเซวี่ยนจื่อ และยังช่วยหลี่จงเหรินเลือกพู่กันขนอ่อนสีเขียวใบไผ่ “ท่านพี่ พู่กันแท่งนี้ขนละเอียดอ่อนและเล็กแหลม เมื่อสะบัดแล้วคมชัดนัก ต้องเขียนได้อย่างรวดเร็ว เหมาะสำหรับใช้ฝึกเขียนตัวอักษร(กระดาษเซวี่ยนจื่อ เป็นกระดาษที่มีคุณภาพสูง ผลิตจากเมืองเซวียนเฉิน มณฑลอันฮุย)
ฮวาหว่านเติบโตในร้านเครื่องเขียนตั้งแต่เล็ก มีความรู้ในเรื่องสี่สิ่งวิเศษในห้องอักษรเป็นอย่างดี ขณะที่นางจับพู่กันแท่งนี้ในใจก็คิดคำนวณไว้แล้ว เงินไม่กี่สิบเหรียญสามารถซื้อพู่กันคุณภาพดีขนาดนี้ ช่างไม่ง่ายเลย (4 สิ่งวิเศษในห้องอักษร ได้แก่ 毛笔พู่กัน墨 หมึก 纸กระดาษ และ 砚ที่ฝนหมึก)
หลี่จงเหรินเชื่อมั่นในฮวาหว่าน เมื่อจ่ายเงินแล้วจึงพาฮวาหว่านโดยสารรถลาออกจากเมืองหลวงกลับหมู่บ้านหยุนเซียว ระหว่างทางมีหลายครั้งที่เขาอยากพูดคุยเกี่ยวกับประเพณีและความเป็นอยู่ของคนในเมืองหลวง แต่ก็กลับเงียบขรึม
จวนจะผ่านประตูหนานซุน ฮวาหว่านลงจากรถลาซื้อขนมน้ำตาลรูปคนมาสามอัน ของนาง พี่ชาย และเซียงลี่คนละอัน
ขณะที่ส่งขนมน้ำตาลปั้นรูปคนให้หลี่จงเหรินนั้น ฮวาหว่านหมุนศีรษะมองไปยังหลี่จงเหริน “พี่ชายเมื่อครู่ท่าอยากกล่าวอะไร”
ดวงตาคู่นั้นของฮวาหว่านดำราวสีของหมึกครั่ง หากเปล่งประกายส่องสว่างเป็นพิเศษ เหมือนดั่งบึงน้ำอันลึกล้ำ เมื่อมองอย่างพินิจพิจารณา เป็นเรื่องง่ายมากที่จะถูกดึงดูดไปในหลุมพรางอันลึกล้ำนั้น
หลี่จงเหรินสบตากับฮวาหว่าน สายตาพลันมองไปยังฝ่ามือเล็กละเอียดของฮวาหว่าน
ฮวาหว่านกำมือเบาๆ เพื่ออำพรางรอยแผลบนฝ่ามือและอุ้งนิ้ว
“น้องสาว อย่าทำเครื่องประดับหญ้าไปส่งในเมืองอีกเลย มือของเจ้าล้วนแตกเป็นแผลหมดแล้ว” ขณะที่หลี่จงเหรินเอ่ยคำนั้นใบหน้าก็แดงก่ำ รู้สึกละอายใจเป็นอย่างมาก
เพิ่งจะผ่านเที่ยงวันแสงอาทิตย์แผดกล้า ฮวาหว่านได้แต่โกหกพี่ชาย
ฮวาหว่านไม่รู้สึกอันใดกับบาดแผลบนฝ่ามือ “อาการไม่หนักอะไร ผ่านไปสักพักพอเนื้ออ่อนงอกออกมาแล้วก็ไม่เป็นแผลแล้ว จริงๆ แล้วต้องถามว่าเป็นเหตุเพราะปกติข้าคงทำงานน้อยเกินไป ในบ้านคนที่ลำบากจริงๆ คือท่านอาสะใภ้ต่างหาก ที่ท้องนาก็ยุ่งนัก ในบ้านยังต้องดูแลพวกเรา ข้าเองก็ช่วยอะไรไม่ได้มาก”
หลี่จงเหรินค่อยๆ ถอนใจ “น้องสาว ข้าวางแผนจะสอบเข้าไท่เซวีย (สำนักศึกษาชั้นหนึ่งของเมืองหลวง) หากสอบเข้าได้ ภายหลังก็ไม่จำเป็นต้องจ่ายเงินให้กับท่าอาจารย์แล้ว โดยเฉพาะในไท่เซวียมีโรงอาหาร ทุกเดือนข้ายังได้รับเงินอีกหนึ่งพันเหรียญ เมื่อถึงเวลานั้นที่บ้านก็ไม่มีภาระอันใดแล้ว เจ้ากับท่านแม่ก็ไม่ต้องลำบากอย่างนี้แล้วด้วย”
ที่ไท่เซวียแห่งนั้นเป็นสถานศึกษาเฉพาะสำหรับชนชั้นสูงเท่านั้น หากว่าผลการเรียนที่ไท่เซวียอยู่ในระดับดี ก็ไม่ต้องสอบระดับต้นของราชสำนักกับสอบพิธีการของกรมพิธีกรรมอีกด้วย สามารถเข้าไปเป็นขุนนางในราชสำนักโดยตรงทันที ทว่าเป็นเพราะเหตุนี้ คิดที่จะสอบเข้าไท่เซวียจึงไม่ใช่เรื่องง่ายเลย อีกอย่าง นอกจากจะสอบเข้ายากแล้ว เมื่อเข้าไปแล้วยังถูกควบคุมอย่างเคร่งครัด การเรียนก็เข้มงวด หากเรียนไม่ทันผู้อื่น ก็จะต้องถูกขับไล่ออกไป
หากแต่บิดาของฮวาหว่านเคยเรียนในไท่เซวียอยู่สองปี
ฮวาหว่านเบิ่งตา “พี่ชายขยันศึกษา เชื่อว่าท่านจะต้องสอบเข้าไท่เซวียได้เป็นแน่ ในอนาคตจะต้องได้ถวายการรับใช้ในราชสำนัก”
“อืม ข้าต้องขยันอยู่แล้ว” หลี่จงเหริน หลี่จงเหรินเหม่อมองไปที่ไกลออกไป ละอองอากาศคดเคี้ยวทอดตัวยางขึ้นสู่ด้านบน ก่อนค่อยๆ หลอมรวมกับท้องฟ้าเป็นสีฟ้าสดเส้นเดียวกัน
เมื่อกลับถึงหมู่บ้านยวินเซียวก็บ่ายมากแล้ว ฮวาหว่านมองจากที่ไกลๆ ก็เห็นท่านลุงหลี่ชางม่าวยืนมองมาตรงทางแยกของหมู่บ้าน
หลี่ชางม่าวยกมือขึ้นกวักไปทางรถลาลาที่พวกเขาโดยสาร
หลี่ชางม่าวรับห่อผ้าคลุมจากคนทั้งสอง และจูงรถลา “นึกว่าเจ้าสองคนเห็นว่าเมืองหลวงครึกครื้น เลยคิดว่าคงอยากจะเที่ยวเล่นในเมืองหลวงอีกสักหน่อย ไม่คิดว่าจะกลับมาเร็วอย่างนี้”
“พวกเราไม่ใช่เด็กเล็กแล้ว แล้วก็ไม่ใช่เครื่องแรกที่เข้าไปในเมือง เหตุใดต้องคิดว่าที่นั่นแปลกใหม่ด้วย” หลี่จงเหรินเบะปาก
“เจ้าตัวแสบ พอช่วงบ่าล่ำสัน ก็กล้าที่จะกระด้างกระเดื่องกับบิดาแล้ว ไปเถอะ รีบกลับ เกรงว่ามารดาเจ้าคงรอจนร้อนรนแล้ว” หลี่ชางม่าวตบศีรษะหลี่จงเหรินเบาๆ ฮวาหว่านที่เดินตามมาด้านหลังปิดปากหัวเราะ
เมื่อกลับเข้าบ้าน ฮวาหว่าก็นำเงินเก้าสิบหยวนที่เหลือจากซื้อน้ำตาลปั้นรูปคนส่งให้นางเก๋อซื่อ นาเก๋อซื่อตะลึง ชำเลืองมองหลี่ชางม่าวและหลี่จงเหรินต่างก็มองมาที่นางพร้อมโบกไม้โบกมือ นางแค่นเสียงเย็นชา รับเงินจากมือของฮวาหว่านโดยตรง
ฮวาหว่านขยี้ปลายจมูก อารมณ์ดีสุดๆ แถมตอนอาหารเย็นยังกินซาลาเปาไส้หน่อไม้เพิ่มอีกหนึ่งก้อน
ตอนกลางคืนขณะที่ฮวาหว่านกำลังผึ่งเยื่อในของต้นหญ้าและหญ้าเหมาที่เพิ่งเก็บมาใหม่มานั้น และจะใช้กระดาษน้ำมันห่อขนมน้ำตาลปั้นรูปคนไปมอบให้เซียงลี่ในวันพรุ่งนี้พิงไว้ตรงบานหน้าต่าง ด้านนอกพลันมีเสียงพูดเบาๆ ของหลี่ชางม่างและนางเก๋อซื่อดังแว่วเข้ามา หากแต่ได้ยินไม่ชัดเจน ฮวาหว่านไม่คิดอะไรมากเจาะกลางพรมหญ้าจนทะลุ
“เหตุใดเจ้าถึงรับเงินที่เด็กน้อยลำบากลำบนหามา พรุ่งนี้ยังคงนำไปคืนซะ” หลี่ชางม่าวเดินหมุนเป็นวงอยู่ที่ด้านนอก โกรธจนต้องนั่งบนเก้าอี้ม้าตัวเล็ก
นางเก๋อซื่อเองก็ไม่ได้มีท่าทางที่ดีนัก ถลึงตามอง “เจ้าผีบ้า เจ้าคิดว่าข้าโลภอยากได้เงินของเด็นนั่นหรือ ไม่ต้องพูดถึงแค่เก้าสิบเหรียญเลย ต่อให้เป็นเก้าสิบเหรียญเงิน ไม่ใช่เงินของข้า ข้าก็ไม่รับ”
สีหน้าหลี่ชางม่าวเปลี่ยนเป็นดีขึ้น ปกติน้ำเสียงของภรรยามักหยาบกระด้าง แต่แท้จริงแล้วไม่ใช้คนโลภมากอยากได้เงินของผู้อื่นราวเป็นคนไร้ค่า จึงแค่ถามด้วยความสงสัย “อย่างนั้น เหตุใดเจ้าจึงรับไว้”
“ไม่รับแล้วจะให้ทำอย่างไร นางตัวคนเดียว เป็นเด็กสาวอายุแค่สิบสองปี พกเงินติดตัวไว้ตั้งมากมายทำอะไร ข้าไม่เพียงแต่เก็บสะสมให้แทนนาง ภายหลังนาจะได้มีสินสอดติดตัว อย่างนี้นางถึงจะอยู่ที่นี่ได้อย่างสงบสุข ต่อไปจะได้มีที่พึ่งพิง” นางเก๋อซื่อเหตุเพราะว่าสามีไม่เชื่อใจ เหมือนจะมีลมขึ้น พานไม่ยินยอมสบตาหลี่ชางม่าว
“เป็นอย่างนี้นี่เอง” หลี่ชางม่าวถอนหายใจ พบว่าภรรยาโกรธขึ้นมาจริงๆ จึงรีบหยอกล้อ “เอาล่ะเอาล่ะ เป็นข้าเองที่ผิด ต้องขออภัยต่อภรรยาดีหรือไม่”
“หลีกไป” นางเก๋อซื่อหมุนตัวหนี หากกล่าว “ก่อนหน้านี้สะใภ้จางเอาขี้ผึ้งหอมมาให้ส่วนหนึ่ง ข้าจะเอาไปให้เด็กน้อยนั่น มือเล็กๆ ของนางจะได้ไม่สากหนาไปกว่ามือของข้า ……