ตอนที่ 39-1 กลับจวนในคืนนั้น
หลี่มู่ชิงฟังจบก็เงียบลง
เซี่ยฟางหวาคิดว่าเรื่องมาถึงขั้นนี้ก็ได้รู้แจ้งแต่ละเรื่องมากแล้ว
มีคนใช้วิชาหนอนพิษจงสังหารหลูอี้เพื่อใส่ความหลี่อวิ๋น ทำให้ตระกูลหลูแห่งฟ่านหยางเอาความตระกูลหลี่แห่งจ้าวจวิ้น คนตระกูลหลูแห่งฟ่านหยางยืนกรานจะให้หลี่อวิ๋นชดใช้ด้วยชีวิต แต่บังเอิญว่าหลี่อวิ๋นแม้จะสูญเสียบิดาไปแล้ว แต่กลับมีฮูหยินหย่งคังโหวผู้เป็นอาแท้ๆ คอยให้การสนับสนุนเบื้องหลัง ปฏิบัติกับเขาไม่ได้ด้อยไปกว่าลูกชายตัวเองกระทั่งดีกว่าด้วยซ้ำ ฮูหยินหย่งคังโหวต้องวิ่งร้องขอความช่วยเหลือทุกแห่งหน ตระกูลชุยแห่งชิงเหอ จวนอิงชินอ๋อง รวมไปถึงจวนจงหย่งโหวต่างถูกม้วนเข้ามามีส่วนเกี่ยวข้อง
ขุนนางชันสูตรศพพิสูจน์สาเหตุการตายที่แท้จริงไม่ได้ นั่นเพราะไม่เคยสัมผัสวิชาคำสาปเผ่าภูตผีชนิดนี้มาก่อน พูดง่ายๆ คือผู้คนส่วนใหญ่ในใต้หล้าต่างเห็นเผ่าภูตผีมีอยู่แค่ในตำนาน ยิ่งวิชาคำสาปก็ยิ่งรู้จักน้อยมาก บางคนถึงขั้นไม่เคยได้ยินมาก่อน ขุนนางชันสูตรศพย่อมทำอันใดไม่ได้กับการตายด้วยสาเหตุประหลาดเช่นนี้ มีเพียงพยานหลักฐานที่ถูกคนพบเห็นกับตาว่าหลี่อวิ๋นเป็นผู้สังหารหลูอี้เท่านั้น
ฉินเจิงมองสาเหตุการตายของหลูอี้ออก เขายืนกรานว่าจะให้ผ่าพิสูจน์ศพ แต่กลับถูกคนตระกูลหลูแห่งฟ่านหยางขัดขวางอย่างถึงที่สุด ฉินอวี้ยังกระตุ้นคำสาปใจเดียวกันทำให้หมดสติไปพร้อมกับฉินเจิงซ้ำอีก ส่งผลให้ผ่าพิสูจน์ศพไม่ได้
หมอหลวงซุนกับนางต้องเดินทางมาที่ค่ายทหาร ทว่าหมอหลวงซุนที่ล่วงหน้ามาก่อนกลับถูกสังหาร คงจะอยากโยงมาถึงนางที่ตามมาทีหลังเพื่อถ่วงเวลานาง ขัดขวางไม่ให้นางมาที่ค่ายทหารได้ แต่ก็หยุดยั้งนางไม่ได้อยู่ดี เพราะหลี่มู่ชิงนำใต้เท้าหานมาด้วยจึงทำให้นางปลีกตัวออกมาได้ ด้วยเหตุนี้ผู้อยู่เบื้องหลังจึงได้แต่ต้องสร้างกลไกศิลายักษ์ระหว่างทาง ชักนำฝูงหมาป่ามาล้อมขัดขวาง ถ้าสังหารนางได้ก็ยิ่งดี แต่หากสังหารไม่ได้ก็ต้องถ่วงเวลานางให้ได้ ขอเพียงเวลาเลยผ่านไปแล้ว ศพก็จะกร่อนสลายหายไป เพื่อบรรลุเป้าหมายกลายเป็นศพที่พิสูจน์ไม่ได้
แผนทำร้ายต่อเนื่องนี้ฉวยโอกาสในวันที่ฝนกระหน่ำเทลงมาปานฟ้ารั่ว เรียกได้ว่าเชื่อมโยงเข้าด้วยกัน
เพียงแต่หลังนางคลี่คลายฝูงหมาป่าล้อมมาได้ ก็รีบตัดสินใจให้ชิงเกอทำการตรวจสอบค้นหาทุกกระเบียดนิ้วในรัศมีห้าสิบลี้ หนึ่งเพื่อจะได้เดินทางไปถึงค่ายทหารได้อย่างราบรื่นในอีกระยะทางที่เหลือ สองเพื่อหาเบาะแสของผู้อยู่เบื้องหลัง
ยามนี้นับว่าทำลายแผนร้ายของผู้อยู่เบื้องหลังได้แล้วจุดหนึ่ง พิสูจน์ได้ว่าหลูอี้ตายด้วยหนอนพิษจง ทั้งยังถูกวางพิษสลายศพด้วย
เช่นนั้นลำดับต่อไปน่าจะต้องหาหลักฐานเพิ่มเติม จะได้ตรวจสอบให้ละเอียดขึ้นอีก
“เพิ่งพูดไปหยกๆ ว่าเมืองหลวงเริ่มไม่สงบสุขแล้ว เพียงพริบตาก็ไม่สงบสุขแล้วจริงๆ” หลี่มู่ชิงถอนหายใจออกมา มองไปยังฉินเจิง “เจ้าทราบหรือไม่ว่าใครเป็นผู้อยู่เบื้องหลังเรื่องพวกนี้”
ฉินเจิงไม่พูดจา
“ใช่รัชทายาทหรือไม่” หลี่มู่ชิงเหลือบมอง
ฉินเจิงยังคงเงียบ
หลี่มู่ชิงมองไปยังเซี่ยฟางหวา ไม่ค่อยเข้าใจว่าฉินเจิงเป็นอะไรไป
“เรื่องนี้น่าจะไม่ใช่ฝีมือของฉินอวี้กระมัง ใช่หรือไม่” เซี่ยฟางหวาเหลือบมองฉินเจิง
ฉินเจิงเงยหน้าขึ้น มองทั้งสองแล้วเม้มปาก
“อู๋เฉวียนไม่เคยอยู่ห่างกายฝ่าบาท ครั้งนี้กลับมาค่ายใหญ่เขาตะวันตกพร้อมฉินอวี้ ไม่ใช่น่าแปลกใจมากหรือ” เซี่ยฟางหวายิ้ม “เจ้ากับฉินอวี้ถกเถียงกันว่าหากเปิดโปงรากฐานแผ่นดิน เช่นนั้นจะไม่เกี่ยวโยงไปถึงจวนอิงชินอ๋องหรือ ผู้ใดคิดอยากลงมือกับจวนอิงชินอ๋อง”
“ผู้ใดนึกจะลงมือกับจวนอิงชินอ๋องก็ลงมือได้หรือ” ฉินเจิงยิ้มเยาะ
“หากเป็นฝ่าบาทเล่า” เซี่ยฟางหวามองเขา
“ผู้ใดก็ตามที่คิดจะลงมือ รวมทั้งเสด็จอาด้วย ย่อมต้องถามความเห็นชอบจากคนของจวนอิงชินอ๋องก่อนเช่นกัน” ฉินเจิงตอบ
เซี่ยฟางหวาไม่เอ่ยคำใดอีกพลางก้มหน้าลง
หลี่มู่ชิงทอดถอนใจขึ้น “หากเรื่องนี้เป็นฝ่าบาทที่อยู่เบื้องหลัง มิน่ารัชทายาท…” เขาหยุดลง หันไปมองเซี่ยฟางหวา “ที่ตำหนักในค่ายก่อนหน้านี้ เจ้าบอกว่าฝ่าบาททรงแกล้งประชวร”
เซี่ยฟางหวาพยักหน้า
“เจ้ารู้ได้อย่างไร มองออกจากวิชาแพทย์หรือ” หลี่มู่ชิงถามเสียงต่ำ
“พระองค์ทรงประชวรจริง แต่ไม่ถึงขั้นกำเริบฉับพลันและรวดเร็วถึงขั้นที่ชราลงและกล้ามเนื้ออ่อนแรงจนมิอาจลงจากแท่นบรรทมได้ แม้ข้ายังไม่แน่ใจว่าพระองค์ทรงใช้อุบายใดปลอมอาการประชวรขึ้นจนแม้แต่ข้ายังมองไม่ออก แต่ข้ารู้เพียงแค่อาการประชวรของพระองค์ในตอนนี้เป็นการแสดงอย่างแน่นอน” เซี่ยฟางหวาอธิบาย “ข้าปัดถ้วยน้ำชาแตกระหว่างทำพิธียกน้ำชาที่วังหลวง หากประชวรจริง พระองค์จะไม่มีทางรู้ว่าข้าเป็นผู้ลงมือ เพราะตอนนั้นข้ากับฉินเจิงอยู่ใกล้กันมาก ฝ่ามือก็อยู่ใกล้กันมากเช่นกัน หากพระองค์ทรงประชวรจริงจนไร้เรี่ยวแรง เวลานั้นคงไม่พุ่งเป้ามาที่ข้าอย่างมั่นใจ อย่างไรก็ต้องพุ่งไปหาฉินเจิงก่อน”
“นี่ก็ไม่อาจยืนยันได้ว่าพระองค์แกล้งประชวร ถึงอย่างไรฝ่าบาทก็ทรงเพียบพร้อมด้วยทักษะบุ๋นบู๊ หากสายพระเนตรยังไม่ฝ้าฟางย่อมสังเกตเห็นเจ้าได้” หลี่มู่ชิงขมวดคิ้ว
“นี่เป็นประการแรก ประการที่สองข้าสังเกตจากสีหน้า ผู้เป็นแพทย์จะวินิจฉัยอาการจากสี่สิ่งคือการสังเกต ดมหรือฟัง ถามอาการ และจับชีพจร เหตุใดการสังเกตถึงจัดเป็นอันดับแรก ย่อมเป็นเพราะต้องสังเกตสีหน้าก่อน คนผู้หนึ่งป่วยจริงหรือไม่ย่อมแสดงออกทางสีหน้าสามส่วน แม้พระองค์ชราลงทุกวันคล้ายกับประชวรมาเป็นเวลานาน แต่ข้าสังเกตจากสีหน้าพระองค์แล้วก็ไม่เห็นอาการประชวรแต่อย่างใด” เซี่ยฟางหวาส่ายหน้า
“สิ่งนี้ค่อยมีเหตุผลหน่อย” หลี่มู่ชิงผงกศีรษะ
“ถึงอย่างไรข้าก็เคยแกล้งป่วยมาก่อน ทั้งยังกินยาเพื่อสร้างอาการป่วย” เซี่ยฟางหวากล่าวเพิ่ม “หากหลินไท่เฟยทรงหลบพระเนตรพระกรรณของฝ่าบาทพ้น นำห่อยามาให้ข้าพิสูจน์ หากพระองค์เหลือเวลาสองปี ครั้งนี้เหตุใดพระองค์ต้องทรงแกล้งประชวรด้วย หากหลินไท่เฟยทรงหลบพระเนตรพระกรรณของฝ่าบาทไม่พ้น พระนางนำห่อยามาให้ข้าพิสูจน์ หากฝ่าบาททรงทราบเรื่องนี้แต่ไม่ได้ขัดขวาง จงใจให้ทุกคนทราบอาการประชวรของพระองค์ แล้วยามนี้เหตุใดต้องแกล้งประชวรด้วย”
หลี่มู่ชิงมีสีหน้าเคร่งขรึมขึ้นมาทันที
“เมืองหลวงหนานฉินของเรายิ่งน่าสนใจขึ้นทุกวัน” เซี่ยฟางหวายิ้มกล่าว
หลี่มู่ชิงถอนหายใจออกมา หันไปมองฉินเจิง “เจ้าเงียบมาตลอดทาง รู้อะไรมาหรือไม่ หรือว่าอารมณ์ไม่ดีกันแน่”
ฉินเจิงชำเลืองมองหลี่มู่ชิง ก่อนพิงผนังรถแล้วหลับตาลง “เหนื่อยแล้ว”
เซี่ยฟางหวานึกได้ว่าวันนี้เขาเดินทางมาค่ายใหญ่เขาตะวันตกตั้งแต่เช้าตรู่ วันนี้ทั้งวันต้องเหนื่อยล้าเป็นแน่ นางจึงเอ่ยขึ้นเสียงเบา “เราไม่รบกวนเจ้าแล้ว ถ้าเจ้าเหนื่อยก็นอนพักสักครู่เถอะ”
ฉินเจิงพยักหน้า
เซี่ยฟางหวาไม่เอ่ยคำใดอีก
หลี่มู่ชิงเห็นเช่นนี้ก็ไม่เอ่ยคำใดอีกเช่นกัน
ซื่อฮว่า ซื่อม่อ และอวี้จั๋วนั่งเบียดกันอยู่ข้างหน้า สองคนถือโคมไฟขนาบ คนหนึ่งขับรถด้วยความระวัง
ฝนตกหนักมาก พื้นถนนทั้งเปียกทั้งลื่น ยิ่งเป็นทางภูเขาก็แทบมองไม่เห็นทาง กว่าม้าจะย่างแต่ละก้าวต้องตรวจสอบหยั่งเชิงเส้นทางก่อน การเดินทางเช่นนี้ย่อมช้ามากเป็นธรรมดา
เดินทางไปได้ระยะหนึ่ง อวี้จั๋วก็กระซิบบ่นขึ้น “ไม่รู้ว่าท่านพี่คิดอะไรอยู่ ฝนตกหนักถึงเพียงนี้ยังจะเดินทางกลับเมืองอีก พักที่ค่ายทหารก็ได้ไม่ใช่รึ หรือว่าค่ายทหารไม่มีที่พักให้เรา”
ซื่อฮว่ากับซื่อม่อไม่ส่งเสียงใด
“ถ้ามีคนลอบสังหารอีก เราจะผ่านไปได้หรือไม่” อวี้จั๋วกระซิบขึ้นอีก
ซื่อฮว่ากับซื่อม่อได้ยินเช่นนั้นก็ตื่นตัวทันที
เซี่ยฟางหวานั่งฟังอยู่ข้างใน กดน้ำเสียงทุ้มต่ำเอ่ยขึ้น “ไม่ต้องกังวล รีบเดินทางเถอะ คนลอบสังหารคงไม่ปรากฏตัวขึ้นอีก หากปรากฏตัวขึ้นก็ดีมาก ตอนนี้เราไม่ต้องรีบไปผ่าพิสูจน์ศพที่ค่ายทหารแล้ว ราตรียังอีกยาวไกล มีเวลาให้จับตัวผู้ลงมือได้เหลือเฟือ”
“จริงด้วย” อวี้จั๋วได้ยินเช่นนั้นก็กระตือรือร้นขึ้นมา
“ทางกลับเมืองหลวงไม่จำเป็นต้องเกิดการลอบสังหารเสมอไป” หลี่มู่ชิงกดน้ำเสียงต่ำลงเช่นกัน
เซี่ยฟางหวาไม่แสดงความเห็น
รถม้าเคลื่อนฝ่าสายฝนอย่างมั่นคงสงบนิ่งร่วมหนึ่งชั่วยามกว่าจะออกจากทางภูเขาได้ กลับเข้าสู่ถนนทางการ
ถนนทางการเคลื่อนตัวได้สะดวกกว่ามาก อวี้จั๋วสะบัดแส้ ม้าเหยียบลงบนแอ่งน้ำจนกระเซ็นขึ้นมา ทั้งรวดเร็วและมั่นคง
ครึ่งชั่วยามให้หลัง รถม้าก็มาถึงประตูเมืองอย่างราบรื่น
“ครั้งนี้ไม่มีการลอบสังหารเลย ตลอดทางราบรื่นเกินไปหรือไม่” อวี้จั๋วพึมพำขึ้น
ซื่อฮว่ากับซื่อม่อไม่พูดจา คิดในใจว่าหลังจากคุณหนูสั่งให้ชิงเกอไปตรวจสอบ ยังมีใครไม่กลัวตายกล้าลงมืออีกหรือ ทางที่ดีควรเก็บตัวเงียบ ยามนี้ไม่ลงมือนับว่าฉลาดแล้ว คงทราบว่าครั้งนี้ท่านอ๋องน้อยกับพระชายาน้อยกำลังรออยู่จึงไม่กล้าทำการผลีผลาม
เมื่อรถม้าเคลื่อนเข้าสู่ตัวเมือง หลี่มู่ชิงเอ่ยขึ้น “เอาล่ะ หยุดรถเถอะ ข้าจะลงตรงนี้”
“ไม่ต้องหยุด ไปส่งคุณชายหลี่กลับจวนก่อน” เซี่ยฟางหวาแย้ง
“แค่ถนนไม่กี่สาย ข้าขี่ม้ากลับไปก็พอแล้ว ถึงอย่างไรม้าก็วิ่งตามอยู่ข้างหลัง” หลี่มู่ชิงมองเซี่ยฟางหวาพลันยิ้มออกมา
“ในเมื่อแค่ถนนไม่กี่สาย หลังส่งเจ้ากลับจวนเสนาบดีฝ่ายขวาแล้วเราค่อยย้อนกลับจวนอิงชินอ๋องก็ไม่เป็นไร” เซี่ยฟางหวาตอบ
“ก็ได้” หลี่มู่ชิงไม่พูดมากความ
อวี้จั๋วเปลี่ยนเส้นทางอย่างเชื่อฟัง ขับรถม้าไปยังจวนเสนาบดีฝ่ายขวา ไม่นานก็มาถึงหน้าประตูจวน หลี่มู่ชิงเห็นว่าฉินเจิงยังคงหลับตาพักผ่อนอยู่ เขาจึงกล่าวบอกเซี่ยฟางหวาแทน “มีเรื่องใดก็เรียกข้าได้”
เซี่ยฟางหวาพยักหน้า
หลี่มู่ชิงลงจากรถม้า กลับเข้าไปในจวนเสนาบดีฝ่ายขวา