ตอนที่ 39.2

จารใจรัก

ตอนที่ 39-2 กลับจวนในคืนนั้น

 

 

 

อวี้จั๋วขับรถม้าไปยังจวนอิงชินอ๋อง หากแต่เมื่อเคลื่อนตัวไปได้พักหนึ่งฉินเจิงก็พลันลืมตาขึ้น เอ่ยบอกเซี่ยฟางหวา “ไปจวนหย่งคังโหวก่อน ส่งข่าวบอกฮูหยินโหวว่าหลี่อวิ๋นไม่เป็นไร”

 

 

           เซี่ยฟางหวาผงะมึนงง

 

 

           “เยี่ยนถิงไม่อยู่ในจวน ตอนนี้หย่งคังโหวอยู่ที่ค่ายทหาร ฝนตกหนักถึงเพียงนี้ หย่งคังโหวคงส่งข่าวกลับมาบอกไม่ได้ หากฮูหยินหย่งคังโหวเป็นอะไรขึ้นมาเพราะเป็นห่วงหลี่อวิ๋นคงต้องลำบากเจ้าช่วยชีวิตนางอีก” ฉินเจิงดึงนางเข้ามากอดพลางกล่าวเสียงเบา

 

 

           “เจ้าพูดถูก ไปจวนหย่งคังโหวก่อนเถอะ” เซี่ยฟางหวาพยักหน้าพลางพิงแผ่นอกเขา

 

 

           ฉินเจิงไม่พูดอะไรอีก

 

 

           อวี้จั๋วได้ยินก็รีบเลี้ยวรถม้าไปยังจวนหย่งคังโหวแทน

 

 

           เมื่อมาถึงจวนหย่งคังโหว เคาะประตูครู่หนึ่งก็มีคนออกมาต้อนรับ อวี้จั๋วเอ่ยขึ้น “ท่านอ๋องน้อยของเรามาส่งข่าวบอกฮูหยินโหว หลี่อวิ๋นไม่เป็นไร ขอให้นางสบายใจได้ คืนนี้ท่านโหวจะค้างที่ค่ายทหารด้วย”

 

 

           “ขอบพระคุณท่านอ๋องน้อย ฮูหยินของเรารอข่าวมาทั้งวันแล้ว จนถึงตอนนี้ยังไม่ได้พักผ่อน มีคำสั่งก่อนแล้วว่าหากคนของท่านโหวส่งข่าวกลับมาให้รีบแจ้งนางทันที ข้าจะรีบไปบอกฮูหยิน” คนเฝ้าประตูดีใจ รีบเอ่ยขึ้น

 

 

           อวี้จั๋วพยักหน้า จากนั้นก็ขับรถม้าออกจากจวนหย่งคังโหว

 

 

           เมื่อกลับมาถึงจวนอิงชินอ๋อง อวี้จั๋วจอดรถม้าแล้วลงไปเคาะประตู ทว่ามือของเขายังไม่ทันสัมผัสโดนบานประตู ประตูก็ถูกเปิดออกจากข้างในเสียก่อน สี่ซุ่นกางร่มยื่นศีรษะออกมาพร้อมอุทานว่า “ไอ้หยา” ก่อนกล่าวต่อ “พระชายาบอกว่าท่านอ๋องน้อยกับพระชายาน้อยจะต้องกลับจวนเป็นแน่ ข้ายังไม่เชื่อ ฝนตกหนักถึงเพียงนี้ อีกอย่างก็ดึกมากแล้วคงเดินทางไม่สะดวก นึกไม่ถึงเลยว่าพระชายาจะพูดถูก”

 

 

           ซื่อฮว่ากับซื่อม่อลงจากรถม้าแล้วเลิกม่านให้

 

 

           ฉินเจิงโอบเซี่ยฟางหวาลงจากรถม้า กางร่มเดินเข้าไปข้างใน

 

 

           สี่ซุ่นเดินตามอยู่ด้านข้างพลาง กล่าวขึ้นพลาง “ตอนนี้ท่านอ๋องกับพระชายายังไม่เข้านอน ยังรอท่านทั้งสองกลับมาก่อน สั่งบ่าวไว้ว่าหากท่านทั้งสองกลับมาแล้วให้ไปที่เรือนหลักก่อน”

 

 

           ฉินเจิงส่งเสียง “อืม” ตอบรับ

 

 

           ทั้งคู่เดินกางร่มมายังเรือนหลัก ข้างในยังจุดตะเกียงสว่างไสว อิงชินอ๋องกับพระชายานั่งรออยู่ในห้องรับรอง ทั้งคู่ต่างชะเง้อคอมองมาข้างนอก เห็นได้ชัดว่าทราบข่าวแล้ว

 

 

           “ฝนตกหนักถึงเพียงนี้ ท่านอ๋องน้อย พระชายาน้อย รีบเข้ามาเถิด” ชุนหลันเลิกม่านให้

 

 

           ฉินเจิงกับเซี่ยฟางหวาเข้าไปข้างใน พระชายาอิงชินอ๋องรีบลุกมาหา “เหตุใดถึงเพิ่งกลับมาป่านนี้”

 

 

           ฉินเจิงวางร่มลง ไม่เอ่ยคำใด

 

 

           เซี่ยฟางหวากำลังจะตอบแทน แต่เห็นว่าฉินเจิงเปียกไปครึ่งหนึ่งเพราะใช้ตัวบังฝนให้นางก็รีบเอ่ยถาม “ท่านแม่ ที่นี่มีเสื้อผ้าของเขาหรือไม่ ให้เขาเปลี่ยนเสื้อผ้าก่อนเถอะ ประเดี๋ยวจะเป็นหวัดเอา”

 

 

           “มี!” พระชายาอิงชินอ๋องรีบบอก “ชุนหลัน ไปนำเสื้อผ้าเขามา”

 

 

           “ไม่ต้องหรอก” ฉินเจิงยกมือห้ามแล้วเอ่ยขึ้น “ประเดี๋ยวก็กลับเรือนแล้ว”

 

 

           “เจ้าไปเปลี่ยนเสื้อผ้าก่อน ข้าต้องถามเรื่องที่เกิดขึ้นวันนี้ให้ชัดเจน” พระชายาอิงชินอ๋องขึงตามอง

 

 

           “เจ้าไปเปลี่ยนเสื้อผ้าเถอะ ข้าจะบอกท่านพ่อกับท่านแม่เอง” เซี่ยฟางหวาดันหลังเขา

 

 

           ฉินเจิงยืนนิ่ง เซี่ยฟางหวาจ้องเขา ฉินเจิงถูกนางจ้องพักหนึ่งก็ยอมเดินเข้าไปข้างใน

 

 

           พระชายาอิงชินอ๋องเห็นว่าเซี่ยฟางหวาตัวแห้งสนิทจึงดึงนางนั่งลง จากนั้นก็รินน้ำให้นางด้วยตัวเอง “เหนื่อยหรือไม่ ถ้าเหนื่อย…”

 

 

           “ขอบคุณท่านแม่ ข้าไม่เหนื่อย” เซี่ยฟางหวาส่ายหน้าแล้วดื่มน้ำอึกหนึ่ง พบว่าทั้งสองต่างมองมาที่ตน นางวางแก้วน้ำลง จากนั้นก็เล่าเรื่องที่เกิดขึ้นหลังก้าวออกจากจวนในวันนี้อย่างละเอียด

 

 

           ฉินเจิงเดินกลับออกมาอย่างว่องไว หย่อนกายนั่งข้างเซี่ยฟางหวา ชุนหลันรีบรินน้ำชาให้เขา

 

 

           ฉินเจิงยกน้ำชาขึ้นดื่ม ฟังเซี่ยฟางหวาเล่าว่ามีคนวางกลไกศิลายักษ์ลอบทำร้ายนาง พระชายาอิงชินอ๋องเดือดจัด สีหน้าเขาเผยความเยือกเย็น

 

 

           เมื่อเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นจบลง เซี่ยฟางหวาก็หยุดพูด “เรื่องที่ข้าเผชิญมาก็มีเท่านี้” พูดจบก็หันมามอง

 

 

ฉินเจิง “ส่วนเขาไปถึงค่ายใหญ่เขาตะวันตกเมื่อเช้าแล้วเกิดอะไรขึ้นบ้างนั้น ข้าก็ไม่ทราบเช่นกัน”

 

 

           พระชายาอิงชินอ๋องกุมมือเซี่ยฟางหวา ทั้งพินิจมองนางตั้งแต่หัวจดเท้า เมื่อเห็นว่านางปลอดภัยดีก็ถอนหายใจโล่งอก “ใครกันแน่ นึกไม่ถึงเลยว่าจะโหดเ**้ยมเช่นนี้ หากเจ้าหลบหินยักษ์นั่นไม่ทันจะไม่ถูกทับตายเอาหรือ ยังมีฝูงหมาป่ามากขนาดนั้นอีกเล่ามาจากที่ใดกันแน่ ใครเป็นผู้บงการฝูงหมาป่ากัน”

 

 

           “ข้าส่งคนไปสืบแล้ว ถ้ามีความคืบหน้าต้องกลับมารายงานแน่นอน” เซี่ยฟางหวาส่ายหน้า

 

 

           พระชายาอิงชินอ๋องพยักหน้ารับ ปล่อยมือนางแล้วหันมามองฉินเจิง “เจ้าเล่ามา”

 

 

           ฉินเจิงกล่าวเสียงเรียบ “ไม่มีอะไร ข้าไปถึงค่ายทหารตอนเช้า ตอนไปถึง ฉินอวี้ก็ตามมาสมทบ เราไปสอบสวนหลี่อวิ๋นก่อน เขาไม่ยอมรับว่าสังหารหลูอี้ เพียงบอกว่าเดิมทีเขานอนอยู่ในห้องตามปกติ ไม่รู้ตัวว่ามาอยู่ที่ลานฝึกซ้อมได้อย่างไร พอเขาได้สติกลับคืนมาก็มีคนตะโกนบอกว่าเขาสังหารคนแล้ว จากนั้นก็พบว่าหลูอี้นอนเป็นศพอยู่ตรงหน้าเขา ต่อมาเขาก็ถูกคุมขัง นอกเหนือจากนั้นก็ไม่รู้อะไรอีกเลย ขุนนางชันสูตรศพมาพิสูจน์ศพ แต่ก็ตรวจหาสาเหตุการตายไม่ได้ จากนั้นมีขุนนางชันสูตรศพคนหนึ่งแนะว่าให้ผ่าพิสูจน์ศพ แต่ผู้อาวุโสตระกูลหลูแห่งฟ่านหยางมาถึงก็ทำเหมือนเป็นบิดาเขาอย่างไรอย่างนั้น ขัดขวางสุดกำลัง เสนาบดีฝ่ายซ้ายก็ไม่เห็นด้วย ต่อมา…” เขาหยุดชั่วครู่ “หวาเอ๋อร์ไปถึง เรื่องหลังจากนั้นพวกท่านก็ทราบแล้ว”

 

 

           “เจ้าเล่าง่ายนัก” พระชายาถลึงตามอง ก่อนหันไปมองอิงชินอ๋อง

 

 

           “นี่คือเมืองหลวงหนานฉิน ค่ายใหญ่เขาตะวันตกที่มีกองทัพสามแสนนาย เหตุใดถึงได้เกิดเรื่องใหญ่ขนาดนี้ขึ้นได้ ก่อคดีเกี่ยวโยงไปถึงชีวิตผู้คนมากถึงเพียงนี้” อิงชินอ๋องถอนหายใจออกมา

 

 

           “ท่านอ๋อง ท่านคงไม่คิดว่าเมืองหลวงหนานฉินเป็นผืนน้ำที่นิ่งสงบอีกใช่ไหม” พระชายามองเขา

 

 

           “รัชทายาทไม่ให้เจ้ากลับมา เจ้าบอกว่าหากเขายอมมอบคดีนี้ให้เจ้ามีอำนาจจัดการแทนถึงจะยอมอยู่ที่ค่าย ตอนนี้เจ้ากลับมา แสดงว่ารัชทายาทไม่ยินยอม” อิงชินอ๋องคลึงหน้าผากก่อนกล่าวกับฉินเจิง

 

 

           “เข้าจะกล้ารึ ไม่แน่ว่าเบื้องหลังอาจเป็นฝีมือเขาก็เป็นได้ ลองคิดดูสิ แม้ฝนตกหนักถึงเพียงนี้ แต่หากเป็นคนไร้ความสามารถ ใครจะกล้าก่อคดีใหญ่ต่อเนื่องแบบนี้” พระชายาอิงชินอ๋องแค่นหัวเราะ

 

 

           “เจ้าบอกว่ารัชทายาท?” อิงชินอ๋องตกใจ

 

 

           พระชายาอิงชินอ๋องไม่ตอบ

 

 

           อิงชินอ๋องครุ่นคิดพักหนึ่งก่อนส่ายหน้า “ข้าเห็นรัชทายาทเติบโตมาเหมือนกัน ความจริงเด็กคนนี้มีความคิดตรงไปตรงมามากนัก”

 

 

           “ตรงไปตรงมา?” พระชายาอิงชินอ๋องแค่นหัวเราะ “คงมีแต่ท่านที่คิดเช่นนั้นกระมัง อย่าลืมว่าตอนนี้เหตุใดท่านถึงต้องกลับจวนมาแกล้งป่วย ไม่ใช่เพราะเขาหรอกหรือ เขาไหนเลยจะมีความคิดตรงไปตรงมา”

 

 

           “ทุกสิ่งไม่อาจดูได้แค่ภายนอก” อิงชินอ๋องส่ายหน้า มองไปยังฉินเจิง “เจ้าว่าเรื่องนี้ควรจัดการอย่างไร”

 

 

           “คดีใหญ่ถึงเพียงนี้ ถึงแม้กรมอาญากับศาลต้าหลี่ร่วมมือกันจะคลี่คลายได้หรือไม่ แม้คลี่คลายได้ แต่จะมีคนกล้าสืบสาวลงรายละเอียดหรือไม่” ฉินเจิงหัวเราะเสียงเย็น ก่อนดึงเซี่ยฟางหวาลุกขึ้นยืน “ท่านสองคนรีบพักผ่อนเถอะ เราเองก็เหนื่อยแล้วจะกลับไปพักผ่อนเหมือนกัน ส่วนเรื่องคดีนี้ ท่านพ่อป่วยอยู่ ไม่มีกำลังพอจะจัดการ ส่วนข้าน่ะหรือ ตอนนี้ยังไม่ถือว่าเป็นคนในค่ายทหาร ยังตัวเปล่าไม่มีภาระหน้าที่ ก่อนที่จะยุ่งจนตัวตาย ตอนนี้คงพักผ่อนได้เต็มที่สองวัน”

 

 

           เขาพูดจบก็จูงมือเซี่ยฟางหวาเดินกางร่มออกไป

 

 

           พระชายาอิงชินอ๋องตะโกนไล่หลัง เขาไม่แม้แต่จะหันกลับมามอง เซี่ยฟางหวาถูกเขาลากออกไปจึงได้แต่เดินตามเขาไปด้วย

 

 

           “เจ้าเด็กเลวนี่ พูดอะไรของเขา” อิงชินอ๋องมองฉินเจิงฝ่าสายฝนกลับไปด้วยความโกรธ ชั่วพริบตาก็ไม่เห็นแผ่นหลังแล้ว เขาจึงได้แต่ถลึงตามอง

 

 

           “ลูกชายข้าก็พูดถูก ช่างเถอะ เรากลับไปนอนดีกว่า เหนื่อยจะแย่อยู่แล้ว” พระชายาอิงชินอ๋องหันกลับไปยังเข้าห้องชั้นใน

 

 

           อิงชินอ๋องถลึงตามองม่านประตูที่ยังไหวอยู่พักหนึ่ง ก่อนถอนหายใจออกมาแล้วตามเข้าไปข้างใน

 

 

           ซื่อฮว่า ซื่อม่อ และอวี้จั๋วถือโคมไฟนำทาง ฉินเจิงกับเซี่ยฟางหวาเดินอยู่ข้างหลัง ตลอดทางไม่มีใครเอ่ยคำใดขึ้นมาจนกระทั่งมาถึงเรือนลั่วเหมย

 

 

           เมื่อมาถึงทางเข้า พวกผิ่นจู๋ก็ออกมาต้อนรับ “คุณหนู พอทราบว่าท่านทั้งสองกลับมาแล้วจึงต้มน้ำขิงเตรียมไว้ให้ พร้อมทั้งต้มน้ำอุ่นสำหรับอาบด้วย ท่านกับท่านอ๋องน้อยอาบน้ำขจัดความหนาวแล้วก็ดื่มน้ำขิงแล้วค่อยเข้านอนเถิด จะได้ไม่เป็นหวัดเอา”

 

 

           เซี่ยฟางหวาพยักหน้า เดินเข้าไปในห้องพร้อมฉินเจิง