ผิ่นจู๋นำคนยกถังไม้ขนาดใหญ่สองใบเข้ามาหลังฉินเจิงกับเซี่ยฟางหวาเข้าไปในห้องแล้ว ข้างในบรรจุน้ำอุ่น บนผิวน้ำโรยด้วยกลีบดอกไม้ เมื่อวางถังไม้หลังฉากกั้นเรียบร้อยแล้ว ผิ่นเหยียนก็ยกน้ำขิงเข้ามาวางบนโต๊ะสองถ้วย
เมื่อทำงานทุกอย่างเสร็จสิ้น ไม่เห็นว่าฉินเจิงกับเซี่ยฟางหวามีคำสั่งอื่นจึงกลับออกไปพร้อมปิดประตูให้
เซี่ยฟางหวาถอดเสื้อคลุมตัวนอกพาดไว้กับราวแขวน ก่อนหันกลับมาบอกฉินเจิง “ดื่มน้ำขิงก่อนเถอะ”
ฉินเจิงพยักหน้าก่อนนั่งลงตรงโต๊ะ
เซี่ยฟางหวานั่งลงตาม สองมือประคองถ้วยน้ำขิงขึ้นมาดื่มทีละอึก
ฉินเจิงไม่ได้รีบดื่มทันที หากแต่นิ่งมองนาง
เซี่ยฟางหวาสัมผัสได้ถึงสายตาเขาที่ไม่ยอมละจากไปเสียทีก็เงยหน้ามอง ก่อนเอ่ยถาม “มีอะไรหรือ”
ฉินเจิงส่ายหน้า ละสายตากลับมาแล้วยกน้ำขิงขึ้นดื่ม
เซี่ยฟางหวาเห็นเขาไม่บอกก็ไม่ได้ซักไซ้เอาความ
ผ่านไปครู่หนึ่ง จู่ๆ ฉินเจิงที่ดื่มน้ำขิงไปครึ่งถ้วยก็ถามขึ้น “เคล็ดวิชาแช่แข็งเรียนมาจากเขาไร้นามหรือ”
“ไม่ใช่” เซี่ยฟางหวาชะงักไปก่อนส่ายหน้าตอบ
“หืม” ฉินเจิงมองนาง
เซี่ยฟางหวาดื่มน้ำขิงหมดแล้ว แม้น้ำขิงค่อนข้างร้อน ทว่านางกลับดื่มรวดเดียวจนเม็ดเหงื่อชั้นบางซึมออกมาอย่างรวดเร็ว นางเอ่ยตอบ “เคล็ดวิชาแช่แข็งเป็นสิ่งที่ข้าอ่านเจอจากตำราในตู้หนังสือท่านแม่ หลังได้กลับมาเกิดใหม่นางก็ตายไปแล้ว ดังนั้นถือว่าข้าเรียนรู้ด้วยตัวเองกระมัง”
ฉินเจิงพยักหน้ารับ
“มีอะไรหรือ เจ้าคิดว่ามีตรงไหนผิดปกติ” เซี่ยฟางหวาถาม
ฉินเจิงดื่มน้ำขิงจนหมดแล้ววางถ้วยลง ก่อนส่ายหน้าตอบ “ไม่ได้คิดว่าผิดปกติ แค่อยากรู้ก็เลยถามเท่านั้น” พูดจบก็ดึงมือนางลุกขึ้น “ไปอาบน้ำกันเถอะ”
เซี่ยฟางหวาหน้าแดง แต่ยังคงเดินตามเขาไปหลังฉากกั้นด้วยกัน
หลังฉากกั้นหาได้จุดตะเกียงเพิ่มเติม หากแต่อาศัยแสงสลัวจากห้องชั้นในส่องมายังหลังฉากกั้น
ฉินเจิงปลดอาภรณ์ออกเชื่องช้า รู้สึกตัวอีกทีก็พบว่าเซี่ยฟางหวาลงไปแช่น้ำก่อนแล้ว มีเพียงต้นคอระหงเท่านั้นที่พ้นเหนือผิวน้ำ เขาพลันยิ้มออกมา “เคลื่อนไหวว่องไวนัก”
เซี่ยฟางหวากระแอม เบือนหน้าหลบเขา
ฉินเจิงถอดอาภรณ์จนหมด ไม่ได้ลงไปในถังของตนเอง หากแต่ข้ามมายังถังที่เซี่ยฟางหวาแช่น้ำอยู่
“เจ้า…” เซี่ยฟางหวาตกใจ อุทานเสียงต่ำขึ้น
“ชู่ว” ฉินเจิงเลื่อนฝ่ามือมาปิดปากนาง เมื่อลงมาแช่น้ำเต็มตัวแล้วก็กอดเรือนร่างอันนุ่มลื่นของนาง พลางเอ่ยเสียงทุ้มต่ำ “ข้าเหนื่อยแล้ว ไม่อยากอาบน้ำเอง คิดว่าเจ้าก็คงเหนื่อยแล้วเช่นกัน ดังนั้นมิสู้อาบด้วยกันดีกว่า เจ้าช่วยข้าอาบ ข้าช่วยเจ้าอาบ”
เซี่ยฟางหวาถูกเขาปิดปากเอาไว้ ใบหน้าแดงซ่านจนพูดไม่ออก
ฉินเจิงปล่อยมือออก โอบกอดนางไว้หัวเราะขึ้นเล็กน้อย “เราแต่งงานและร่วมหอกันมาหลายวันแล้ว เจ้าคงไม่ได้ยังอายอยู่จนถึงตอนนี้หรอกนะ”
“ถ้าตัวเจ้าเองยังไม่อาย แล้วข้าจะอายอะไร” มองเขาแวบหนึ่งก็ย้อนถามด้วยใบหน้าแดงระเรื่อ
ฉินเจิงหันใบหน้านางกลับมา ก่อนประกบริมฝีปากลงไป
เดิมทีน้ำในถังไม้อุ่นกำลังดี เมื่อแช่ร่วมกันสองคนก็ยิ่งทวีความร้อนแรงเพิ่มขึ้น ทั้งเพราะเพิ่งดื่มน้ำขิงมา เซี่ยฟางหวาจึงรู้สึกเหมือนร่างกายกำลังร้อนแผดเผา นางนึกอยากผลักฉินเจิงออกทว่าทำไม่ลง กลับยื่นมือโอบรั้งต้นคอเขาแทน
ฉินเจิงหายใจติดขัด ฝ่ามือที่โอบนางรัดแน่นขึ้น ทวีความลึกซึ้งกับรสจูบนี้
ผ่านไปครู่หนึ่ง เมื่อเซี่ยฟางหวาเริ่มหายใจไม่ทันฉินเจิงก็ละริมฝีปากออก โน้มศีรษะซบลงบนไหล่นาง ก่อนเอ่ยด้วยน้ำเสียงแหบแห้ง “ยังมีแรงอาบน้ำให้ข้าหรือไม่ ถ้าไม่มีแรงแล้วก็กลับไปนอนกันเถอะ”
เซี่ยฟางหวาหอบหายใจพักหนึ่ง ก่อนยกมือทุบเขา
“ดูท่ายังมีแรงเหลือ” ฉินเจิงแย้มยิ้มบาง
เซี่ยฟางหวาวักน้ำใส่ตัวเขา ก่อนถูแผ่นหลังให้แผ่วเบา
ฉินเจิงนิ่งพักหนึ่ง ก่อนขยับฝ่ามือวักน้ำแบบเดียวกัน แล้วถูแผ่นหลังให้เซี่ยฟางหวา
“เช่นนี้ต้องตายแน่” ผ่านไปครู่หนึ่งฉินเจิงก็ถอนหายใจออกมา
“หือ” เซี่ยฟางหวาขยี้กลีบดอกไม้ด้วยปลายนิ้ว ถูไล่จากบริเวณเอวลดต่ำลงไป
ฉินเจิงคว้ามือนาง ทันนั้นก็เร่งพลังแผ่วเบาโยนนางไปยังถังไม้ด้านข้าง
เซี่ยฟางหวาร่วงตกลงไปในถังน้ำใบนั้น เนิ่นนานกว่าจะตั้งสติได้ หันมามองฉินเจิง “เจ้าทำอะไร ไม่อยากให้ข้าถูตรงนั้นหรือ หรืออยากเปลี่ยนที่”
“ไม่กล้าให้เจ้าถูแล้ว” ฉินเจิงหลับตาลง ถอนหายใจยาวเหยียดออกมา “ถ้าเจ้าถูต่อไปข้าต้องตายแน่”
เซี่ยฟางหวาไม่เข้าใจ
ฉินเจิงเปิดเปลือกตา ทันนั้นก็ยื่นข้อมือไปนวดไล้นาง ถังน้ำสองใบเดิมทีวางอยู่ใกล้กันมาก เพียงเขายื่นมือก็สัมผัสกายเซี่ยฟางหวาได้ แค่วักน้ำใส่แผ่วเบาเซี่ยฟางหวาก็ตัวแข็งทันที หนีสัมผัสเขา ก่อนมองด้วยสายตาพร่างพราว เขาถอนหายใจออกมา “เป็นเช่นนี้ เข้าใจหรือยัง หากยังอาบน้ำด้วยกันต่อข้าคงทนไม่ไหว”
เซี่ยฟางหวารู้แจ้งทันที เบือนหน้าหนีแล้วกระซิบขึ้นด้วยความอาย “เจ้าหาเหาใส่หัวเอง”
ฉินเจิงพยักหน้า ต้องโทษตัวเขาเองที่หาเหาใส่หัวเป็นฝ่ายเข้ามาในถังไม้ก่อน เขาหลับตาลงอีกครั้ง ไม่ส่งเสียงใดขึ้นอีก
เซี่ยฟางหวามองเขา หลังฉากกั้นมีแสงสว่างเพียงเล็กน้อย เขาเอนกายพิงถังไม้ นิ่งสงบดุจภาพวาดอันงดงาม หัวใจนางที่เต้นตึกตักไม่เป็นจังหวะค่อยๆ สงบลง เลียนแบบท่วงท่าพิงถังไม้เช่นเขา เงยศีรษะเล็กน้อยแล้วหลับตาลงบ้าง
ผ่านไปครู่หนึ่ง ไม่รู้ว่าเพราะเหนื่อยล้าเกินไปหรือเงียบสงัดเกินไปกันแน่ เซี่ยฟางหวาเข้าสู่นิทราไปแล้ว
ฉินเจิงลืมตามองนาง ก่อนขยับมุมปากแย้มยิ้มเล็กน้อย เขาแช่น้ำต่ออีกพักหนึ่งก่อนลุกออกมา บรรจงช้อนตัวเซี่ยฟางหวาขึ้นจากน้ำมาอุ้มแนบอก ก่อนดึงผ้าไหมผืนใหญ่มาห่อหุ้มตัวนางไว้
เซี่ยฟางหวาขยับตัวราวกับจะตื่นขึ้นมา
“ไม่ต้องอาบน้ำแล้ว นอนเถอะ” ฉินเจิงเอ่ยเสียงเบา
เซี่ยฟางหวาส่งเสียง “อืม” ตอบก่อนซุกใบหน้าเข้ากับแผ่นอกเขา ปล่อยให้เขาซับหยดน้ำบนกายให้แห้งสนิท นอนหลับต่ออย่างสงบใจ
ฉินเจิงวางเซี่ยฟางหวาลงบนเตียงก่อนเช็ดตัวเองให้แห้งสนิทเช่นกัน จากนั้นก็ขึ้นเตียงแล้วดึงนางเข้ามากอด
เซี่ยฟางหวาซุกเข้าหาแผ่นอกเขา พึมพำขึ้นก่อนผล็อยหลับไป
แม้เสียงนางเบามาก แต่ฉินเจิงก็ได้ยินคำที่นางพึมพำขึ้นชัดเจน หัวใจเขาสั่นโครมครามชั่วขณะหนึ่ง ผินหน้ามองพบว่านางหลับสบายไปแล้ว เขานิ่งมองนางเนิ่นนานก่อนโน้มใบหน้าลงมาจุมพิตบนกลีบปากนางแผ่วเบาแล้วหลับตาลงบ้าง
นางบอกว่า ‘หมดห่วงแล้ว’
หมดห่วง…
นึกไม่ถึงเลยว่าจะบอกว่าหมดห่วงแล้ว…
ฝนยังคงตกหนักมากดังเดิม ยิ่งทำให้ภายในห้องเงียบสงัดมากขึ้น เงียบจนได้ยินเพียงเสียงลมหายใจเข้าออกแผ่วเบาของสตรีในอ้อมกอด
ผ่านไปเนิ่นนานกระทั่งเสียงตีบอกเวลายามจื่อดังขึ้น ฉินเจิงถึงค่อยผล็อยหลับไป
เซี่ยฟางหวาเมื่อรู้สึกตัวก็ลืมตาขึ้นเชื่องช้า ผินหน้ามองพบว่าฉินเจิงยังหลับอยู่ ท้องฟ้าภายนอกมืดครึ้มหากแต่คล้ายกับสว่างแล้ว เพียงแต่ฝนยังคงตกหนักดังเดิมทำให้ไม่รู้เวลา
นางขยับกายพบว่ามีเหงื่อเย็นตามลำตัว เอื้อมมือข้างหนึ่งแกะฝ่ามือฉินเจิงออก พอรับรู้ได้ว่าเขานิ่วหน้าก็กระซิบข้างหู “เจ้านอนต่ออีกหน่อยเถอะ ข้าจะลุกไปดื่มน้ำ”
ฉินเจิงคลายสีหน้าแล้วนอนต่อ
เซี่ยฟางหวาลุกขึ้นนั่งเชื่องช้า ย่างเท้าลงจากเตียงแผ่วเบา สวมเสื้อผ้าแล้วเดินมาที่โต๊ะเพื่อรินน้ำอุ่นจากกาก่อนเดินมาหยุดที่ริมหน้าต่างพลางดื่มน้ำ
ฝนครั้งนี้ตกหนักมาก วันนี้ไม่ได้ตกเบากว่าเมื่อวานแม้แต่น้อย หากยังตกหนักเช่นนี้ไปอีกวันสองวันและตกต่อไป เกรงว่าบางพื้นที่ต้องเกิดอุทกภัยเป็นแน่
นางดื่มน้ำในแก้วจนหมด หันกลับมามองที่เตียง ฉินเจิงยังคงนอนหลับอยู่ใต้ผืนม่าน หัวคิ้วขมวดเข้าหากันเล็กน้อยราวกับไม่ค่อยสบายตัวนัก ทว่ายังไม่มีทีท่าว่าจะตื่นขึ้นมา
นางยืนมองเขาเนิ่นนานผ่านม่านกั้นที่ริมหน้าต่าง วางแก้วลงแล้วแต่งตัวให้เรียบร้อย จากนั้นก็ถือร่มพลางเปิดประตูเดินออกมาแผ่วเบา
ซื่อฮว่ากับซื่อม่อได้ยินเสียงก็รีบเดินมาหา ยังไม่ทันอ้าปากเซี่ยฟางหวาก็เอ่ยขึ้น “เบาเสียงหน่อย เขายังหลับอยู่”
ซื่อฮว่ากับซื่อม่อรีบพยักหน้า ลดน้ำเสียงต่ำลง “คุณหนู ตอนนี้ยังไม่ถึงเวลา เหตุใดท่านถึงตื่นเช้าเช่นนี้”
“นอนไม่หลับแล้ว” เซี่ยฟางหวามองดอกเหมยกระจัดกระจายบนพื้นเนื่องจากถูกฝนห่าใหญ่โหมกระหน่ำใส่ พักหนึ่งก็เอ่ยขึ้น “ชิงเกอส่งข่าวกลับมาหรือยัง”
ซื่อฮว่ากับซื่อม่อพยักหน้า ซื่อฮว่าหยิบกระดาษจากใต้แขนเสื้อมาส่งให้เซี่ยฟางหวา
เซี่ยฟางหวาเปิดอ่าน ข้างในมีข้อความแถวหนึ่ง เมื่ออ่านจบแล้วก็ทำลายทิ้งจนกลายเป็นเศษผง จากนั้นก็ยื่นมือออกมานอกร่ม ทันทีที่เม็ดฝนกระทบฝ่ามือก็ชะล้างเศษผงบนมือนางจนหมดไป นางชักมือกลับมาแล้วเอ่ยบอกทั้งสอง “ข้าจะไปห้องหนังสือ พวกเจ้าส่งข่าวบอกชิงเกอด้วย” พูดจบก็เรียกซื่อฮว่าเข้ามา
ซื่อฮว่าก้าวขึ้นมา เซี่ยฟางหวากระซิบบอกข้อความข้างใบหู ซื่อฮว่ารีบพยักหน้ารับทราบ
เซี่ยฟางหวากางร่มเดินไปยังห้องหนังสือเล็ก
เมื่อมาถึงห้องหนังสือเล็ก ผลักบานประตูเข้าไปก็เห็นภาพวาดภาพนั้นที่ถูกแขวนไว้บนผนัง นางนิ่งมองพักหนึ่งแล้ววางร่มลง ปิดประตูแล้วเดินเข้าไปข้างใน
สมัยที่นางเคยเป็นทิงอิน ห้องหนังสือแห่งนี้ค่อนข้างโล่งอย่างเห็นได้ชัด ยามนี้นางออกเรือนเข้ามาแล้ว ภายในสินเดิมมีหนังสือที่นำติดมาด้วยไม่น้อย ทั้งหมดถูกจัดวางเพื่อเติมเต็มให้ห้องหนังสือเล็กแห่งนี้ ยามนี้จึงแออัดจนไม่เหลือที่ว่าง
นางเดินเลียบไปตามชั้นวางหนังสือ กวาดตามองหนังสือแต่ละเล่ม กระทั่งเดินมาถึงชั้นหนังสือแถวที่สามก็หยิบหนังสือเล่มหนึ่งออกมาจากข้างในสุด
เล่มนี้คือพงศาวดารบันทึกท่องเที่ยวพิสดาร
ปกหนังสือค่อนข้างเก่า หน้ากระดาษเหลืองซีดไปแล้ว ดูจากภายนอกไม่แตกต่างอันใดกับหนังสือทั่วไป ทว่าเมื่อเปิดอ่าน ทุกหน้าล้วนมีคนเขียนคำติชมเพิ่มเติมเอาไว้ ผู้ที่เขียนคำติชมใช้ลายมืดหวัด แต่ละหน้าคล้ายกับอ่านจบแล้วค่อยลากพู่กันเขียนอย่างไม่ใส่ใจ ทว่ากลับติชมได้เฉียบแหลมตรงไปตรงมา
เซี่ยฟางหวาพิงผนังอ่านหนังสือเล่มนี้ทีละหน้า
หน้าแล้วหน้าเล่าผ่านไป
ขณะอ่านมาได้ครึ่งเล่ม ประตูห้องก็ถูกคนผลักออกจากภายนอก นางได้ยินการเคลื่อนไหวก็เงยหน้ามอง พบว่าฉินเจิงยืนอยู่หน้าประตูกำลังมองมาที่นางด้วยสีหน้าบึ้งตึง เขาไม่ได้กางร่มมาด้วยทำให้เสื้อผ้าและเส้นผมเปียกฝนเล็กน้อย ราวกับเพราะรีบมา ลมหายใจจึงค่อนข้างหอบกระชั้น
เซี่ยฟางหวามองเขาแล้วคลี่ยิ้มบางก่อน “ตื่นแล้วหรือ” จากนั้นก็ขมวดคิ้วใส่ “ทำไมไม่กางร่มมา”
ฉินเจิงปิดประตูแล้วตรงมาหานาง ใบหน้ายังคงบึ้งตึงเหมือนเดิม “เจ้าลุกลงจากเตียงเงียบเชียบ เหตุใดถึงไม่ปลุกข้า”
“เมื่อคืนเจ้าน่าจะนอนดึก ข้าตื่นมาแล้วนอนต่อไม่หลับ เห็นว่าเจ้ายังหลับอยู่จึงไม่อยากปลุกเจ้า เลยมาหาหนังสืออ่านที่นี่แทน” เซี่ยฟางหวาวางหนังสือลง ปัดหยดน้ำที่เกาะบนตัวและเส้นผมเขาออก ส่วนที่นางปัดผ่านซับหยดน้ำจนแห้งสนิททันที
“หาหนังสือใดมาอ่าน” สีหน้าฉินเจิงปลอดโปร่งขึ้นเล็กน้อย
“เล่มนี้” เซี่ยฟางหวาส่งให้เขา
ฉินเจิงมองแล้วก็ชะงักไปครู่หนึ่ง เม้มปากเล็กน้อยแล้วเอ่ยถาม “หนังสือมีตั้งมากมาย เหตุใดถึงได้หยิบเล่มนี้มาอ่าน”
เซี่ยฟางหวายิ้มตอบ “ข้าก็แค่มองหาไปเรื่อยๆ มองไปมองมาก็เจอเล่มนี้เข้า พอเห็นว่าข้างในเจ้าเขียนคำวิจารณ์ติชมเอาไว้จึงหยิบออกมาอ่าน” หยุดชั่วครู่แล้วถามขึ้น “เจ้าติชมไว้ตั้งแต่เมื่อไร”
“หลายปีก่อนกระมัง” ฉินเจิงครุ่นคิด
“กี่ปีก่อนกันแน่เล่า” เซี่ยฟางหวาซักถามต่อ
“จำไม่ได้แล้ว” ฉินเจิงฉวยหนังสือในมือนางมาวางลง “ตรงนี้อากาศเย็น เจ้าสวมเสื้อผ้าบางขนาดนี้ กลับกันเถอะ”
“เอาเล่มนี้ไปด้วย” เซี่ยฟางหวาหยิบหนังสือขึ้นมาใหม่ เห็นว่าเขามองมาก็ยิ้มกล่าว “ถึงอย่างไรเจ้าก็ไม่ต้องไปค่ายใหญ่เขาตะวันตกแล้ว ข้าเองก็ว่างมาก จะได้อ่านหนังสือฆ่าเวลา”
“เจ้ายังต้องเย็บเสื้อผ้าให้ข้าอีก” ฉินเจิงไม่ว่าอะไรกับหนังสือที่นางถืออยู่ จูงมือนางเดินออกไป
“วางใจได้ เพียงพอให้เจ้าสวมใส่แน่นอน” เซี่ยฟางหวาหลุดยิ้ม
เมื่อเดินมาถึงหน้าประตู ฉินเจิงกางร่มให้ตนเองกับเซี่ยฟางหวา จากนั้นก็ออกมาจากห้องหนังสือเล็ก
เมื่อกลับมาถึงห้อง ซื่อฮว่ากับซื่อม่อยกน้ำสะอาดเข้ามาให้ทั้งคู่ได้ล้างหน้าล้างตา เมื่อแต่งตัวเรียบร้อยดีแล้ว ซื่อฮว่ากับซื่อม่อก็ยกอาหารเข้ามาให้ พอทั้งคู่ทานมื้อเช้าร่วมกันเสร็จ เซี่ยฟางหวาจะอ่านหนังสือ ฉินเจิงกลับแย่งหนังสือนางมาแล้วลากนางไปเย็บเสื้อผ้าต่อ
เซี่ยฟางหวาจนปัญญา จำต้องจับผ้าดิ้นเงินดิ้นทองพร้อมเข็มกับด้าย โดยมีฉินเจิงเป็นผู้ช่วยด้านข้าง