ช่วงเช้าผ่านไปโดยไม่รู้ตัว
ตกบ่าย ชุนหลานมาเชิญทั้งคู่ไปทานมื้อกลางวันที่เรือนหลัก ทั้งคู่กางร่มออกจากเรือนลั่วเหมย
เดินผ่านศาลาริมทะเลสาบมรกต พบว่าน้ำในทะเลสาบสูงขึ้นหนึ่งจั้ง หากยังสูงเพิ่มอีกหนึ่งจั้งก็แทบจะเสมอกับระดับพื้นดินแล้ว
เซี่ยฟางหวามองฝนที่ยังไม่ยอมหยุดตกแล้วเอ่ยขึ้น “สังเกตสภาพท้องฟ้าแล้ว เกรงว่าฝนครั้งนี้จะยังตกติดต่อกันอีกสองวันสองคืน หากเป็นเช่นนี้ต่อไป เกรงว่าหลายพื้นที่ต้องเกิดอุทกภัยเป็นแน่”
ฉินเจิงพยักหน้า
ทั้งคู่เดินมาถึงเรือนหลัก อิงชินอ๋องกับพระชายานั่งรออยู่ที่โต๊ะก่อนแล้ว อิงชินอ๋องมีสีหน้าไม่ค่อยดีนัก สีหน้าของพระชายาก็ย่ำแย่เช่นเดียวกัน เมื่อเห็นทั้งคู่มาถึง พระชายาอิงชินอ๋องก็เรียกทั้งสองมากินข้าว
“ท่านแม่ เป็นอะไรไป ทะเลาะกันอีกแล้วรึ” ฉินเจิงนั่งลงแล้วถามขึ้น
“พ่อเจ้าเป็นห่วงบ้านเมืองกับประชาชน เห็นฝนตกหนักถึงเพียงนี้ก็นอนไม่หลับทั้งคืน พลอยทำให้ข้านอนไม่หลับไปด้วย เช้ามาก็คิดจะเข้าวังหลวงแต่ข้าห้ามไว้ พอเขาไม่มีความสุข ข้าที่เป็นคนกลางก็อารมณ์เสียไปด้วย” พระชายาแค่นหัวเราะขึ้นมา ถลึงตามองอิงชินอ๋อง
“ท่านอายุปูนนี้แล้ว บุกไปวังหลวงก็ทำอันใดไม่ได้ หรือว่าจะวิ่งไปขุดลอกคูคลองแทน” ฉินเจิงหัวเราะเยาะก่อนกล่าวกับอิงชินอ๋อง
“ข้าอายุปูนนี้แล้วก็ยังแข็งแรง ออกไปขุดลอกคูคลองยังได้” อิงชินอ๋องตอบ
“ถึงท่านไปขุดลอกคูคลอง แต่ท่านเข้าใจเรื่องนี้หรือ จะขุดลอกได้หรือไม่” ฉินเจิงย้อนถาม
อิงชินอ๋องหน้าหงาย แต่ยังคงกล่าวต่อ “แต่มวลน้ำมากเช่นนี้ ประชากรในหนานฉินไม่รู้เท่าไรกำลังประสบความลำบากเพราะถูกน้ำท่วม ที่นามากน้อยเพิ่งจะหว่านเมล็ดลงไป หากถูกน้ำท่วมขัง เช่นนั้นฤดูเก็บเกี่ยวปีนี้คงย่ำแย่ หากราษฎรลำบากยากแค้นจนต้องย้ายถิ่นกันออกไป กิจการบ้านเมืองต้องชะลอลงเป็นแน่ จะเป็นการดีได้อย่างไร”
“กังวลเกินเหตุจริงด้วย” ฉินเจิงแค่นหัวเราะ “เรื่องพวกนี้ควรเป็นเสด็จอาที่ต้องกังวล หากท่านกังวลใจแทน เดิมทีเป็นท่านอ๋องแต่กลับกังวลงานของเสด็จอา ข้าว่าท่านควรฆ่าตัวตายเสียตอนนี้ดีกว่า จะได้ไม่ต้องมีอายุยืนยาว”
“เจ้า…” อิงชินอ๋องมีสีหน้าเปลี่ยนไป โมโหขึ้นว่า “พูดจาเหลวไหลอะไรของเจ้า”
“ข้าพูดผิดรึ” ฉินเจิงมองเขาก่อนตักน้ำแกงไก่ให้เซี่ยฟางหวาแล้วเลื่อนมาวางตรงหน้านาง จากนั้นก็กล่าวกับอิงชินอ๋อง “ข้าว่าท่านอย่ากังวลไปเลย เสด็จอาแค่ทรงแกล้งประชวร”
“อะไรนะ” อิงชินอ๋องผงะตกใจ
พระชายาอิงชินอ๋องก็ตกใจเช่นกัน รีบถามขึ้น “นี่มันเกิดอะไรขึ้น”
ฉินเจิงมองเซี่ยฟางหวา ไม่เอ่ยคำใดอีก
เซี่ยฟางหวาจนปัญญา ทุกครั้งที่ฉินเจิงมองนางเช่นนี้มักจะผลักเรื่องทั้งหมดให้นางเป็นฝ่ายพูดแทน ไม่รู้ว่าเขาขี้เกียจพูดให้เปลืองน้ำลายหรือนางค่อนข้างมีทักษะการพูดโน้มน้าวกันแน่ นางเผชิญหน้ากับสายตาของทั้งสองแล้วเอ่ยขึ้น “ตอนไปทำพิธียกน้ำชาขอบคุณที่วังหลวงวันนั้น ข้าได้สังเกตสีหน้าของฝ่าบาท และมั่นใจว่าพระองค์ทรงแกล้งประชวรเป็นแน่”
“เพราะเหตุใด” อิงชินอ๋องชะงัก
“เป็นไปได้อย่างไร ก่อนหน้านี้เจ้าไม่ใช่ว่า…” พระชายามองเซี่ยฟางหวา “ยาห่อนั้น…”
“ฝ่าบาททรงประชวรจริง แต่อาการประชวรของพระองค์ไม่ถึงขั้นกำเริบไวเช่นนี้ ตอนนั้นข้าบอกกับท่านว่าวินิจฉัยจากกากยานั้นน่าจะมีชีวิตอยู่ได้ไม่เกินสองปี แต่ท่านไม่คิดว่าอาการประชวรกำเริบกะทันหันไปหรือ เพียงพริบตาก็ราวกับทนไม่ไหวแล้ว” เซี่ยฟางหวากล่าว “ก่อนหน้านั้นท่านก็ทราบว่าข้ามิได้พบฝ่าบาทบ่อย จึงไม่มีโอกาสได้สังเกตอาการอย่างใกล้ชิด ตอนพิธียกน้ำชาขอบคุณข้าถึงได้สังเกตเห็นว่าพระองค์ทรงประชวรจริงๆ แต่อาการในตอนนี้ต่างจากโรคที่พระองค์ประชวร มองไม่เห็นถึงความอับเฉาบนสีหน้า คล้ายกับเสวยโอสถชนิดหนึ่งเข้าไปเพื่อสร้างโรคขึ้น”
“เจ้าแน่ใจหรือ” อิงชินอ๋องถามขึ้น
เซี่ยฟางหวาผงกศีรษะ “วิชาแพทย์ของข้าแม้ไม่เข้าขั้นเซียน แต่ก็มองออกว่าใครบ้างแกล้งป่วยต่อหน้าข้า” หยุดชั่วครู่แล้วกล่าวต่อ “อย่างไรข้าก็เคยแกล้งป่วยมาก่อน”
อิงชินอ๋องได้ยินเช่นนั้นก็พูดไม่ออก
“พระองค์จะทำอันใดกันแน่” พระชายาอิงชินอ๋องโมโห
“ดังนั้นท่านแกล้งป่วยอยู่บ้านอย่างเชื่อฟังเถอะ หากแกล้งต่อไปไม่ได้ ข้าก็ไม่ลังเลที่จะให้นางเขียนใบสั่งยาทำให้ท่านป่วยจริงๆ จะได้ไม่ต้องทรมานตัวเองและทรมานท่านแม่ให้ว้าวุ่นใจด้วย” ฉินเจิงกล่าว
“ข้าเห็นด้วย” พระชายาอิงชินอ๋องสมทบ “หวาเอ๋อร์ ประเดี๋ยวกินข้าวเสร็จแล้วก็เขียนใบสั่งยาให้เขา ข้ายอมเฝ้าดูแลเขาข้างเตียงดีกว่าต้องทะเลาะกับเขาจนปวดหัว”
เซี่ยฟางหวายิ้ม ไม่เอ่ยคำใด
อิงชินอ๋องเงียบลงพักหนึ่งก่อนถอนหายใจออกมา “ที่ผ่านมาข้าคิดไปเองว่ารู้จักฝ่าบาทดีแล้ว แต่ตอนนี้นับวันก็ยิ่งไม่รู้จัก” หยุดชั่วครู่แล้วกล่าวต่อ “ช่างเถอะ ให้ข้าป่วยจริงก็ดี”
ครั้งนี้พระชายาไม่ได้กล่าววาจากระตุ้นเขาอีก
เซี่ยฟางหวาเห็นว่าฉินเจิงกินข้าวต่อโดยไม่สะทกสะท้าน นางจึงกินข้าวเงียบๆ เช่นกัน
หลังกินข้าวเสร็จ อิงชินอ๋องกลับเป็นฝ่ายทวงขึ้นเอง “หวาเอ๋อร์ เขียนใบสั่งยาให้ข้าเถอะ”
เซี่ยฟางหวามองพระชายาอิงชินอ๋องแวบหนึ่ง พบว่าขอบตานางคล้ำเล็กน้อย จึงมองไปยังฉินเจิงก็พบว่าเขาไม่ได้คัดค้าน นางพยักหน้ารับ หยิบขวดหยกจากอกเสื้อมาส่งให้เขา “ในนี้มียาอยู่สิบเม็ด สามวันกินครั้งหนึ่งก็พอจะทำให้ท่านป่วยหนึ่งเดือน ยาชนิดนี้ค่อนข้างรุนแรงอยู่บ้าง หากไม่ใช่หมอที่มีวิชาแพทย์ขั้นสูงย่อมตรวจไม่เจอ และในหนึ่งวันท่านจะนอนหลับมากกว่าปกติ นอกจากนั้นก็ไม่มีอันตรายใด”
“ข้าคอยดูเจ้ากินยาเอง” พระชายาอิงชินอ๋องยื่นมือรับแทน
อิงชินอ๋องถอนหายใจออกมา
“เจ้าลองคิดดูสิ ตอนนี้เจ้ายังขยับตัวได้ แต่หากหนึ่งร้อยปีหลังจากนี้เล่า บ้านเมืองหนานฉินเป็นเช่นไร เจ้ายังดูแลไหวอีกหรือไม่” พระชายาอิงชินอ๋องมองเขา “ส่วนเรื่องกังวลใจให้เป็นหน้าที่ของฝ่าบาทเถอะ เจ้าไม่ต้องคิดแทนแล้ว”
อิงชินอ๋องพยักหน้า
เซี่ยฟางหวาคิดว่าอิงชินอ๋องเป็นท่านอ๋องที่ดีคนหนึ่งสำหรับบ้านเมืองหนานฉิน หากไม่ใช่เพราะเขาขาเป๋มาโดยกำเนิด ราชบัลลังก์นี้ตกเป็นของเขา หนานฉินคงไม่กลายเป็นอย่างทุกวันนี้ภายใต้การปกครองของเขาเป็นแน่
ความจริงฝ่าบาทยังมีชีวิตอยู่ได้อีกสองปี โรคยังไม่ทันกำเริบกลับกระตุ้นอาการก่อนกำหนด ไม่รู้ว่าทรงคิดสิ่งใดอยู่ แต่พินิจจากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นต่อเนื่องทั้งต่อหน้าและลับหลัง หากไม่ได้พุ่งเป้ามาที่จวนจงหย่งโหว ก็พุ่งเป้ามาที่จวนอิงชินอ๋อง
อิงชินอ๋องมีอิสระในราชสำนักมามากกว่าครึ่งชีวิต เขาทำเพื่อบ้านเมืองหนานฉินเท่านั้น ทั้งไม่ใช่คนโง่เขลาแต่อย่างใด ยามนี้ได้ยินว่าฝ่าบาททรงแกล้งประชวร ด้วยความที่ตนทำอันใดไม่ได้ จึงได้แต่ต้องทำให้ตัวเองล้มป่วยจริงๆ
ตลอดครึ่งชีวิตมานี้ เป็นไปได้ว่าเขาไม่เคยแกล้งป่วยมาก่อน และไม่เคยคิดร้ายกับใคร
เดิมทีนางไม่ได้มีความรู้สึกที่ดีต่ออิงชินอ๋องมากนัก ยามนี้อดไม่ได้ที่จะให้ความเคารพนับถือเขา ราชบัลลังก์ควรเป็นของเขาชัดเจน สวรรค์ประทานฐานะร่ำรวยมีเกียรติเทียมฟ้ามาให้เขาตั้งแต่เกิด ทว่ากลับไม่มอบโชคชะตาการเป็นฮ่องเต้ให้เขา ที่ผ่านมาเขาต้องก้าวเดินแต่ละก้าวมาอย่างไม่ง่ายนัก
นางมองไปยังฉินเจิง ลอบคิดว่าสำหรับฉินเจิงแล้วก็คงให้ความเคารพต่อบิดาไม่น้อยไปกว่าใครกระมัง ต่อให้เขาเห็นฉินห้าวสำคัญกว่า แต่เหตุผลส่วนใหญ่ก็เพราะฉินเจิงหลงระเริงและดื้อรั้นหัวแข็งมากเกินไป ส่วนฉินห้าวกระทำได้ดีกว่าหากมองแต่ภายนอก
นึกถึงฉินห้าว นางก็ถามขึ้น “พี่ใหญ่เล่า ช่วงนี้ไม่เห็นเขาเลย”
“ฉินห้าวน่ะหรือ พ่อเจ้าอยากให้เขาคิดให้มากกว่านี้ ต่อมาจึงสั่งลงโทษให้ไปคุกเข่าที่ศาลบรรพชน คุกเข่าไปได้หนึ่งวันหนึ่งคืนก็ล้มป่วย ตอนนี้รักษาตัวอยู่ที่สวนจื่อจิง” พระชายาอิงชินอ๋องตอบ
เซี่ยฟางหวาพยักหน้า
“กลับกันเถอะ” ฉินเจิงลุกขึ้น ดึงมือเซี่ยฟางหวาเตรียมตัวกลับเรือน
หากแต่เวลานี้ เสียงของสี่ซุ่นก็ดังขึ้นมาจากข้างนอก “ท่านอ๋องน้อย ผู้ติดตามรัชทายาทมาหาขอรับ บอกว่าขอให้ท่านกับพระชายาน้อยกลับไปที่ค่ายใหญ่เขาตะวันตกอีกรอบ”
“บอกเขาว่าไม่ไป” ฉินเจิงยกมือไล่
“ผู้ติดตามรัชทายาทบอกว่า เมื่อคืนค่ายใหญ่เขาตะวันตกมีคนตายเพิ่มอีกหนึ่งศพ คนผู้นั้นคือใต้เท้าหานจากกรมอาญา เขาเสียชีวิตบนเตียงของตัวเอง ขุนนางชันสูตรศพตรวจพิสูจน์มิได้เช่นเดียวกัน” สี่ซุ่นรีบ
กล่าวต่อ
ฉินเจิงหรี่ตาลง ยื่นมือแหวกม่านมองไปยังข้างนอก “หานซู่ตายแล้ว?”
สี่ซุ่นกางร่มอยู่ น้ำฝนคล้ายกับกระทบลงบนร่มแล้วกระเซ็นลงพื้น เขาพยักหน้าตอบ “ผู้ติดตาม
รัชทายาทบอกมาเช่นนี้ ขณะเดียวกันก็ถ่ายทอดข้อความอีกประโยคหนึ่ง บอกว่าเรื่องที่ท่านอ๋องน้อยพูด
เมื่อวานเขายอมตกลงแล้ว คดีที่ค่ายทหาร คดีหมอหลวงซุน ยังมีการเสียชีวิตของใต้เท้าหานวันนี้ คดีทั้งหมดขอมอบให้ท่านอ๋องน้อยเพียงผู้เดียว โดยมีกรมอาญาและศาลต้าหลี่คอยช่วยเหลือ ทั้งมีอำนาจตรวจสอบได้อย่างเต็มที่ขอรับ”