บทที่ 1272 ละทิ้งความแค้นในอดีต

พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า

บทที่ 1272 ละทิ้งความแค้นในอดีต โดย Ink Stone_Fantasy

แน่นอน ถ้าไม่ถึงขั้นอับจนหมดทางเลือกกับเรื่องนี้ เขาเองก็ไม่อยากจะแตะต้องปี้เยว่ฮูหยินเช่นกัน ตอนนี้ควบคุมปี้เยว่ฮูหยินได้แล้ว กำลังครุ่นคิดที่จะทำอะไรบางอย่างกับปี้เยว่ฮูหยิน ถ้ากำจัดทิ้งทันทีก็น่าเสียดายไปหน่อย

และเหมียวอี้ก็ไม่หวังว่ามู่หรงซิงหัวจะเดินไปถึงขั้นเป็นศัตรูกับเขาเช่นกัน

หลังจากวางหมากเรื่องนี้เรียบร้อยแล้ว ทั้งสามก็ไปเตรียมตัวทันที

สวีถังหรานกลับมาที่จวนผู้บัญชาการเขตเมืองตะวันตกรอบหนึ่ง จากนั้นก็นำคนมุ่งตรงไปที่ภัตตาคารบุปผาวสันต์จันทร์สารท มายืนอยู่หน้างานเลี้ยงในนามผู้บัญชาการใหญ่ ติดต่อกับทางสมาคมร้านค้า

พอใกล้จะถึงตอนค่ำ โจวหราน หัวหน้าสมาคมโจวก็นำรองหัวหน้าสมาคมสี่คนมายืนรอตรงหน้าประตูภัตตาคารบุปผาวสันต์จันทร์สารทล่วงหน้า สวีถังหรานที่รับหน้าที่ติดต่อประสานงานก็อยู่ในแถวนั้นด้วย

ผู้จัดการร้านค้าที่พอจะมีหน้ามีตาของสี่เขตเมืองทยอยกันมาถึงงาน ที่จริงบางคนไม่อยากมา แต่พอเห็นคนอื่นมาร่วมงานเพื่อไว้หน้าผู้บัญชาการใหญ่หนิว ถ้าตัวเองไม่มาร่วมงานก็ดูเหมือนจะไม่เหมาะสม จะทำให้ดูเหมือนว่าคนอื่นอยากจะคืนดีด้วยแต่มีแค่ตนที่ไม่อยากคืนดี ภายนอกยังต้องทำไปพอเป็นพิธี ขนาดเถียนเฟิงฮ่าวที่ไม่พอใจผู้บัญชาการใหญ่หนิวที่สุดก็ยังฝืนใจมาโผล่เสแสร้งอยู่ข้างหลังพวกโจวหรานเลย

ส่วนพวกที่ไม่ค่อยมีหน้ามีตาในตลาด ไม่ได้เป็นทั้งมิตรและศัตรูของผู้บัญชาการใหญ่หนิว ทั้งยังไม่ได้มีบุญคุณความแค้นต่อกัน ก็ไม่มีใครกินอิ่มแล้วว่างงานจนถ่อมาเข้าร่วมความขัดแย้งนี้

ภัตตาคารบุปผาวสันต์จันทร์สารท ฟังจากชื่อเหมือนเป็นตึกภัตตาคาร แต่ที่จริงแล้วเป็นสวนขนาดใหญ่แห่งหนึ่ง สามารถสร้างสวนใหญ่โตขนาดนี้ในพื้นที่ทำเลทองของตลาดสวรรค์ได้ แค่คิดก็รู้ถึงอำนาจที่หนุนหลังแล้ว เป็นทรัพย์สินของตระกูลเซี่ยโห้วนั่นเอง โจวหราน ผู้จัดการร้านโจวดูแลที่นี่อยู่ และเป็นที่ตั้งของสมาคมร้านค้านั่นเอง

ผู้จัดการร้านค้าห้าร้อยกว่าคนมารวมตัวกันที่ประตูภัตตาคารบุปผาวสันต์จันทร์สารท เป็นฉากที่ค่อนข้างอลังการ

“ผู้บัญชาการสวี เห็นอาหารที่เตรียมไว้แล้วพอใจหรือเปล่า? ถ้ามีจุดไหนที่ไม่เหมาะสม ข้าจะสั่งให้คนปรับเปลี่ยนทันที”

“ผู้จัดการร้านโจวกล่าวเกินไปแล้ว ท่านเองก็รู้ พวกเราก็ทำงานกันแบบนี้ จะให้เบื้องบนไม่พอใจไม่ได้ ถ้าไม่ดูสักหน่อยก็ไม่วางใจจริงๆ หวังว่าจะไม่เก็บมาใส่ใจ”

“ผู้บัญชาการสวีเป็นคนใส่ใจมาก ไม่ต้องให้ว่าเรื่องการทำงานเลย อนาคตจะต้องยาวไกลไร้ที่สิ้นสุดแน่”

“หวังว่าจะเป็นอย่างคำอวยพรของผู้จัดการร้านโจว”

โจวหรานกับสวีถังหรานที่ยืนอยู่ตรงหน้ากลุ่มคนสรรเสริญเยินยอกันอยู่อย่างนั้น

รอสักประเดี๋ยว โจวหรานก็หันซ้ายหันขวามองไปทั่ว แล้วก็กุมหมัดคารวะสวีถังหราน หาข้ออ้างนำผู้จัดการร้านสองสามคนหลบเลี่ยงไป

“ส่งคนจำนวนหนึ่งไปจับตาดูทางจวนผู้บัญชาการสี่เขตเมือง ถ้าพบว่ามีใครเคลื่อนย้ายกำลังพล ก็มารายงานทันที”

“หัวหน้าสมาคมโจวคิดมากไปหรือเปล่า? ถ้าจะลงมือจริงๆ กำลังพลที่เฝ้าอยู่ที่นี่ก็สู้พวกเราไม่ไหวหรอก ถ้าเขากล้าแตะต้องพวกเราโดยไร้เหตุผล รับรองว่าเขาได้ตายอย่างอนาถ”

“หัวหน้าสมาคมโจว ไม่ปิดบังท่านนะ พวกเราจัดเตรียมนักพรตบงกชรุ้งรออยู่ในสวนหลายคนแล้ว ถ้าเกิดเหตุไม่คาดคิดอะไร พวกเราก็ไม่เกรงใจแน่นอน”

“หัวหน้าสมาคมโจวกล่าวไว้ไม่ผิด กันไว้ดีกว่าแก้ ทั้งยังส่งคนจำนวนหนึ่งไปจับตาดูที่จวนผู้บัญชาการสี่เขตเมือแล้วด้วย”

เมื่อเห็นผู้จัดการร้านค้ามากมายมายขนาดนี้มารวมตัวกัน พวกโจวหรานก็ไม่ค่อยวางใจ หลบเลี่ยงไปเตรียมการเล็กน้อย

แต่สวีถังหรานก็ถือโอกาสหลบเลี่ยงไปด้านข้างเช่นกัน มาสุมหัวคุยกับลูกน้องที่ตัวเองพามารออยู่ด้านข้าง ถ่ายทอดเสียงถามว่า “เห็นชัดเจนหรือยัง”

ลูกน้องของเขาตอบว่า “ตรวจสอบชัดเจนแล้ว ผู้จัดการร้านค้าที่พอจะมีหน้ามีตาของตลาดสวรรค์มากันหมดแล้ว นายท่าน ตรวจสอบสิ่งนี้ทำไมเหรอ?”

สวีถังหรานตอบว่า “ก็อยากจะดูว่ายังมีใครที่ไม่อยากคืนดีกับผู้บัญชาการใหญ่อีกมั้ย ต่อไปจะได้ระวังไว้หน่อย เออใช่ ไปดูทางห้องครัวหน่อย ดูว่าเหล่าอู๋ละทิ้งหน้าที่หรือเปล่า ถ้าไม่มีใครเฝ้าอยู่ ก็ระวังว่าจะมีคนเจตนาร้ายเล่นตุกติกในอาหาร”

ที่จริงคนที่เล่นตุกติกก็คือเขาเอง อาศัยโอกาสที่ไปตรวจงานล่วงหน้าเพื่อเล่นตุกติกเงียบๆ แล้วก็จัดคนให้ไปเฝ้าไว้ที่ห้องครัวด้วย ป้องกันไม่ให้มีคนนำของที่เขาวางยาพิษเสร็จแล้วเปลี่ยนทิ้ง เรื่องที่เขาจัดคนไปเฝ้าที่ห้องครัวล้วนอยู่ในสายตาโจวหราน โจวหรานย่อมรู้ดีอยู่แก่ใจอยู่แล้ว นึกว่าเหมียวอี้กลัวคนจะใส่อะไรลงในอาหาร หัวเราะเยาะที่เหมียวอี้ใช้หัวใจอันต่ำทรามของตัวเองมาวัดใจของสัตตบุรุษ!

“นายท่านไม่ต้องห่วง เหล่าอู๋เฝ้าอยู่ตลอด”

สวีถังหรานพยักหน้า แล้วหันตัวเดินกลับมาพลางหยิบระฆังดาราออกมาติดต่อเหมียวอี้ : นายท่าน วางหมากเรียบร้อยแล้ว ออกเดินทางได้แล้ว

พิภพเล็ก นภาอู๋เลี่ยง ท้องฟ้าเพิ่งจะมีแสงสว่างขมุกขมัว หยางชิ่งเอามือไขว้หลังยืนอยู่บนแท่นสังเกตการณ์ เขาทอดสายตามองไปไกล น้ำค้างค่อนข้างแรง ทำให้ชุดคลุมของเขาเปียกเล็กน้อย จะเห็นได้ว่ายืนอยู่นานขนาดไหน

ฉินซีก้าวเบาๆ ขึ้นมาบนแท่นสังเกตการณ์ เมื่อเห็นแบบนั้นก็สะบัดผ้าคลุมผืนหนึ่งออกมา  แล้วก้าวขึ้นมาคลุมบ่าให้เขา

ไม่ว่าเมื่อก่อนจะเป็นอย่างไร แต่หลังจากได้อยู่กับหยางชิ่งแล้วถึงได้มีความรู้สึกว่าแต่งงานมีสามีแล้วจริงๆ รับรู้ได้ถึงรสชาติของชีวิตสามีภรรยาจริงๆ หรืออาจจะเป็นเพราะระหว่างทั้งสองมีลูกสาวด้วยกันหนึ่งคนอยู่แล้ว

“ทางนั้นยังไม่ส่งข่าวมาอีกเหรอ?” ฉินซีที่ดึงจัดผ้าคลุมเสร็จแล้วเอ่ยถาม

หยางชิ่งหรี่ตาตอบ “คำนวณดูจากเวลา ก็น่าจะใกล้ลงมือแล้วกระมัง”

ฉินซีครุ่นคิดครู่หนึ่ง แล้วถามอีกว่า “เจ้ารออยู่ตรงนี้ เพราะกังวลว่าเหมียวอี้จะลงมือพลาดใช่มั้ย?”

หยางชิ่งส่ายหน้า “ลูกเขยจอมเอาเปรียบของเรามีความสามารถในการแก้ปัญหาเฉพาะหน้าได้ไม่เลวเลย ในด้านนี้ข้าอาจจะสู้เขาไม่ได้ด้วยซ้ำ ขอเพียงร่างแผนการเสร็จแล้ว ต่อให้เกิดเหตุไม่คาดคิดขึ้น เขาก็มีความสามารถเพียงพอที่จะรับมือกับการเปลี่ยนแปลง ไม่น่าจะเกิดปัญหาอะไร กลัวก็แต่ว่า…”

“ในเมื่อเจ้าบอกว่าเขามีความสามารถนั้น ยังจะกลัวอะไรอีกล่ะ?” ฉินซีแปลกใจ

หยางชิ่งยิ้มเจื่อน “เจ้าเด็กนั่นเชื่อฟังคำแนะนำของข้าแบบเผื่อเลือกตลอด ข้ากลัวว่าเขาอาจจะไม่เชื่อตามแผนข้าทั้งหมด ไม่รู้ว่าสุดท้ายจะก่อเรื่องออกมายังไง ถึงอย่างไรเวยเวยก็อยู่ทางนั้น ถ้าไม่ได้ข่าวที่แน่นอน ข้าก็สงบใจได้ยาก”

เขาเดาไว้ไม่ผิด เหมียวอี้ไม่ได้เชื่อตามแผนของเขาทั้งหมดจริงๆ ยกตัวอย่างเช่นการลงมือกับปี้เยว่ฮูหยิน เขาบอกให้เหมียวอี้ใช้คำพูดขู่ แต่เหมียวอี้กลับเอาจริงยิ่งกว่านั้น เกือบจะทำให้ปี้เยว่ฮูหยินตกใจตายแล้ว

ในตำหนักคุ้มเมือง ฝูชิง อิงอู๋ตี๋ มู่หรงซิงหัวยืนรอเงียบๆ อยู่ในลานบ้าน

หลังจากรอได้ประเดี๋ยวเดียว เหมียวอี้ถึงได้เดินออกมาจากเรือนพัก แล้วบอกว่า “ไปกันเถอะ!”

ทั้งสามกลับรีบหันซ้ายหันขวามอง เห็นเพียงตรงหัวโค้งทางเดินฝั่งซ้ายและขวามีคนแปลกหน้าโผล่มาฝั่งละคน เป่าเหลียนก็ออกมาแล้วเช่นกัน รีบเดินตามอยู่ข้างหลังพวกเขา

พอออกจากตำหลังหลัง พวกเขาก็เหาะขึ้นฟ้า เหาะผ่านท้องฟ้าเหนือตลาดสวรรค์โดยตรง ไปเหยียบลงตรงประตูภัตตาคารบุปผาวสันต์จันทร์สารท

“ผู้บัญชาการใหญ่!”

เสียงกุมหมัดคารวะดังขึ้นเป็นแถบทันที ตรงหน้าประตูภัตตาคารบุปผาวสันต์จันทร์สารทคึกคัก

“ผู้บัญชาการใหญ่ให้เกียรติมาเยือนได้ ภัตตาคารบุปผาวสันต์จันทร์สารทสว่างไสวขึ้นไม่น้อยเลย ผู้บัญชาการใหญ่เชิญด้านใน!” โจวหรานหันตัวยื่นมือเชิญ แล้วบรรดาผู้จัดการร้านค้าที่อุดอยู่หน้าประตูก็ยืนแยกเป็นสองฝั่งทันที

เหมียวอี้กับโจวหรานเดินเดินหัวเราะพูดคุยกันอยู่ข้างหน้า ข้างหลังมีกลุ่มผู้จัดการร้านเดินตาม

ในสวนของภัตตาคารบุปผาวสันต์จันทร์สารทมีทะเลสายแห่งหนึ่ง เป็นทิวทัศน์ทะเลสาบและภูเขาที่มนุษย์สร้างขึ้นมา ตึกศาลาอยู่บนทะเลสาบ  เป็นตึกศาลาสามชั้นที่มีบันไดสี่ด้าน

ประดับโคมไฟหลากสี ทะเลสาบสะท้อนภาพแสงไฟ สตรีที่แต่งตัวเปิดเผยกลุ่มหนึ่งบิดตัวยั่วยวน กำลังร้องระบำทำเพลง เผยให้เห็นเนื้อหนังวับๆ แวมๆ

สมาคมร้านค้าลงมือจัดเองก็ย่อมไม่ธรรมดาอยู่แล้ว เชิญนางระบำมารวดเดียวสามคณะ หอกกลิ่นสวรรค์เป็นเพียงหนึ่งในนั้น และมาคอยแสดงรั้งท้ายเวทีเช่นกัน

คนกลุ่มหนึ่งกรูกันตามหลังเหมียวอี้เข้ามาข้างใน เหมียวอี้เพียงเหล่ตามองนางระบำงามหยาดเยิ้มในโถงแวบหนึ่ง แล้วก็เดินออ้อมไป สวีถังหรานที่มาดูงานล่วงหน้าคุ้นเคยกับสถานการณ์แล้ว กำลังเดินนำทางอยู่ข้างหน้า พาเหมียวอี้ไปส่งนั่งบนตำแหน่งหลักที่อยู่สูงขึ้นไป

ด้วยระยะทางจากประตูภัตตาคารบุปผาวสันต์จันทร์สารทมาถึงใจกลางทะเลสาบ ช่วงเวลาที่ทุกคนเดินมาถึง สุราอาหารสำหรับคนห้าร้อยคนก็ถูกจัดวางไว้เรียบร้อยแล้ว ทำให้อาหารมีควันร้อนระอุ ประสิทธิภาพการทำงานสูงมาก

สวีถังหรานมองดูคนสี่คนที่เป็นฝ่ายมายืนข้างหลังเหมียวอี้เอง แล้วแอบถ่ายทอดเสียงบอกเหมียวอี้ว่า “นายท่าน ใส่ของลงไปในสุราแล้ว”

เหมียวอี้เหล่ตามองแวบหนึ่ง พบว่าเจ้าหมอนี่ถนัดงานที่ทำแบบลับๆ อย่างที่คาดไว้ ยามอยู่ในอาณาเขตของอีกฝ่าย ไม่น่าเชื่อว่าจะเติมยาลงในสุราได้ทั้งๆ ที่อยู่ใต้หนังตา เหมียวอี้พยักหน้าเบาๆ บอกใบ้ว่ารู้แล้ว

สวีถังหรานถอยออกไป ไปรวมกับพวกฝูชิงแล้วนั่งประจำที่ทางซ้ายและขวาด้านล่าง คอบโอบล้อมพิทักษ์เหมียวอี้ ส่วนที่อยู่ล่างกว่านั้นก็เป็นพวกโจวหราน

ตอนนี้ก็มีคนวิ่งมาข้างกายโจวหรานเช่นกัน ถ่ายทอดเสียงบอกว่า “ทางจวนผู้บัญชาการสี่เขตเมืองเป็นเหมือนเดิมทุกอย่าง ยังไม่เห็นการเคลื่อนย้ายกำลังพล”

“ดูต่อไป ถ้ามีความผิดปกติอะไรรายงาทันที!” โจวหรานกล่าวสั่ง ก่อนจะโบกมือให้ถอยออกไป

คนร้อยกว่าคนนั่งล้อมอยู่ในตึกศาลาขนาดใหญ่ แล้วก็มีคนสองร้อยกว่าคนนั่งล้อมตรงตีนบันไดนอกตึกศาลา ส่วนคนที่เหลือก็นั่งอยู่วงนอกสุดตรงตีนบันได คนที่นั่งนอกตึกศาลามองเห็นภาพเหตุการณ์ในศาลาไม่ชัดเจน เห็นได้ชัดว่าการนั่งแบบนี้เกี่ยวข้องกับตำแหน่ง พวกเขามาเป็นตัวประกอบเฉยๆ แต่กลับมองเห็นเหมียวอี้ที่นั่งอยู่ตรงจุดสูงสุดอย่างชัดเจน

ตุ้ง! เสียงกลองดังสูงต่ำสลับกัน เสียงเครื่องดนตรีเงียบลงกะทันกัน หญิงงามหยาดเยิ้มสามสิบกว่าคนที่กำลังเต้นระบำอยู่ในโถงพลันหยุดนิ่ง ทุกคนจัดแถวเหมือนกองทหาร ทั้งหมดคุกเข่าเงยหน้าไปทางเหมียวอี้ที่นั่งอยู่เบื้องสูง กระดกก้นเอาหน้าผากแนบพื้นไม่ขยับไปไหน

ไม่สนว่าพวกนางจะเคารพนบนอบขนาดไหน ไม่สนใจว่าพวกนางจะแต่งตัวเปิดเผยหรือไม่ คนที่มาร่วมงานเลี้ยงไม่มีใครเห็นพวกนางอยู่ในสายตา ไม่มีใครหันมองพวกนางตรงๆ คามสนใจของทุกคนอยู่ที่ตัวเหมียวอี้หมดแล้ว กลับเป็นพวกผู้จัดการร้านหญิงอย่างหวงฝู่จวินโหรวที่มองการแต่งตัวของผู้หญิงกลุ่มนั้นแล้วขมวดคิ้วเล็กน้อย ยังไม่ต้องพูดถึงว่าเสื่อมเสียประเพณี ที่สำคัญคือพวกนางเป็นผู้หญิง แบบนี้ทำให้ผู้หญิงด้วยกันเสียหน้าเกินไปแล้ว ขณะเดียวกันก็แอบด่าในใจ ว่าผู้ชายในโลกนี้ไม่มีใครดีสักคน!

โจวหรานลุกขึ้นยืน ชูจอกสุราต่อทุกคน หลังจากผู้จัดการร้านค้าห้าร้อยกว่าคนทยอยกันชูจอกสุราและยืนขึ้นแล้ว โจวหรานถึงได้ชูจอกสุราไปข้างบนพร้อมกล่าวด้วยรอยยิ้มว่า “ผู้บัญชาการใหญ่เจียดเวลามาจากงานยุ่ง ให้เกียรติมาเยือนภัตตาคารบุปผาวสันต์จันทร์สารทเพื่อไว้หน้าพวกเรา พวกเราจะดื่มจอกนี้คำนับผู้บัญชาการใหญ่ก่อน!”

“คำนับผู้บัญชาการใหญ่!” ทุกคนกล่าวพร้อมกัน แล้วดื่มหมดจอก

จากนั้นเหมียวอี้ที่นั่งอยู่เบื้องบนก็ยกจอกสุราไว้ในมือเช่นกัน พร้อมกล่าวเสียงดังว่า “ผู้บัญชาการใหญ่คนนี้รักษาการณ์ที่ตลาดสวรรค์ ในภายหลังคงมีจุดที่ขอความช่วยเหลือจากทุกคนอย่างเลี่ยงไม่ได้ ไม่ว่าก่อนหน้านี้จะเกิดอะไรขึ้น หลังจากดื่มสุราหมดจอกนี้แล้ว ละทิ้งความแค้นในอดีต!”

จอกเดียวก็ละทิ้งความแค้นในอดีตเหรอ เจ้าคิดว่าเจ้าเป็นใครเหรอ? ไม่รู้ว่ามีคนตั้งมากมายเท่าไรที่ยิ้มเย้ยในใจ แต่ภายนอกก็ไว้หน้ามาก รีบเติมสุราอีกจอก แล้วชูจอกกล่าวพร้อมกันอีกครั้ง “ละทิ้งความแค้นในอดีต!”

เหมียวอี้ดื่มหมดจอกก่อน หลังจากชำเลืองมองดูทุกคนที่ดื่มจอกถัดไปแล้ว ถึงได้ยิ้มพลางยื่นมือเชิญให้นั่งลง แล้วทุกคนก็กล่าวขอบคุณอย่างร่าเริง

โจวหรานยกมืออีกครั้ง

ตุ้ง! เสียงกลองที่ไพเราะดังอีกครั้ง

เสียงเครื่องดนตรีก็ดังตามเช่นกัน จังหวะเพลงรื่นเริง นางระบำสามสิบกว่าคนที่หมอบนิ่งบนพื้นพลันกางแขนขึ้นมาอย่างอ่อนช้อย ราวกับดอกไม้เบ่งบาน เคลื่อนไหวด้วยท่วงท่างดงามไปตามจังหวะเพลงที่รื่นเริง ท่าทางก็ยิ่งยั่วยวน ทำให้คนไม่น้อยยิ้มพลางลูบเครามอง ตอนนี้ความสนใจของทุกคนไปอยู่บนตัวพวกนางแล้ว

…………………………