ภาคที่ 4 ช่วงชิงตำแหน่งสูงสุด ตอนที่ 46 จัดการกับศีลธรรมในใจและเงินในกระเป๋าของเจ้าเสีย

กาลหนึ่งเคยมีเขากระบี่วิญญาณ

ตอนที่ 46 จัดการกับศีลธรรมในใจและเงินในกระเป๋าของเจ้าเสีย โดย Ink Stone_Fantasy

          หลังจากที่รับชมการต่อสู้ที่สุดยอดระหว่างหวังลู่และหลิวหลีบนลานเมฆา และการต่อสู้หลังจากนั้นที่หวังลู่เอาชนะได้สิบครั้งรวดแล้ว สุดท้ายเหล่าผู้ชมที่ไม่ว่าจะอยู่ไกลหรือใกล้ต่างก็อำลาภูเขาลูกนี้ไป ความจริงแล้วแม้พวกเขาอยากอยู่พวกเขาก็อยู่ไม่ได้ สำนักกระบี่วิญญาณไม่ใช่สวนสาธารณะที่จะให้ใครเดินเล่นไปมาตามใจชอบได้

          เมื่อเหล่าผู้ชมต่างพากันจากไปแล้ว กิจกรรมแลกเปลี่ยนระหว่างสำนักเซียนหมื่นเวทและสำนักกระบี่วิญญาณก็ดำเนินมาถึงบทสุดท้าย

          แม้ตามกฎแล้วยังเหลือการแข่งขันแบบกลุ่มห้าคนอยู่ก็จริง แต่ความกระตือรือร้นของผู้บำเพ็ญเซียนทั้งสองฝ่ายต่างลดลงอย่างมาก หลายคนมองว่าการต่อสู้แบบกลุ่มนี้เหมือนสิ่งที่มาหลังจากขึ้นสู่จุดสุดยอดไปแล้ว

          แม้แต่ศิษย์ที่ต้องมีส่วนในการแข่งขันครั้งนี้ก็ยังไม่ถือเรื่องนี้เป็นจริงเป็นจัง ด้านสำนักเซียนหมื่นเวทเอง พวกเขาค่อนข้างกระตือรือร้นที่จะแข่งขัน เพราะอยากจะล้างอายให้กับสิ่งที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้ แต่ก็ไม่ได้รู้สึกอยากตระเตรียมความพร้อมเท่าใดนัก

          การแข่งขันแบบกลุ่มจะเริ่มขึ้นสองวันให้หลังจากการแข่งขันรอบชิงชนะเลิศแบบบุคคล การแข่งครั้งนี้คือการแข่งขันในอุดมคติที่จะแสดงให้เห็นถึงบรรยากาศของมิตรภาพและความสามัคคี แม้ศิษย์จากทั้งสองสำนักจะต่อสู้กันอย่างไม่ออมมือ แต่พวกเขาก็ไม่มีจิตคิดสังหารและความโกรธเคืองกัน แน่นอนว่าสำนักเซียนหมื่นเวทได้แสดงให้เห็นถึงความสง่างามในการแข่งขัน ศิษย์ทั้งห้าร่วมมือกันอย่างกลมเกลียว ร่ายอาคมต่อเนื่องกันจากคนนั้นสู่อีกคนทำให้เหล่าคนดูที่อยู่นอกเวทีตาพร่าและอ้าปากค้างด้วยความตื่นตะลึง

          สำนักกระบี่วิญญาณที่อยู่อีกด้านหนึ่งดูด้อยกว่าเล็กน้อย ทันทีที่เริ่มการแข่งขัน เหวินเป่ากับเหย่ยวินต่างรู้สึกผิดที่ถูกเพลงกระบี่อสนีบาตทำลายล้างของจ้านจื่อเย่ทำให้ตกเวทีไป แม้ในตอนนั้นหวังลู่มีความคิดที่จะช่วยคนทั้งสอง และแม้วิชาไร้ลักษณ์ของเขาจะแข็งแกร่งขึ้นจากการสาบานกับปีศาจในใจ แต่การจะปกป้องเพื่อนร่วมคณะทั้งสี่จากจ้านจื่อเย่ เย่เฟยเฟยและคนอื่นๆ ที่ไม่คิดออมมือก็เกินกำลังของเขาอยู่ดี

          เมื่อการแข่งขันเข้าสู่ช่วงกลาง เยวี่ยซินเหยาก็ต้องออกจากการแข่งขันไปอย่างไม่เต็มใจ ตอนนี้สำนักกระบี่วิญญาณเหลือเพียงหลิวหลีและหวังลู่เท่านั้น ขณะที่ทางฝั่งสำนักเซียนหมื่นเวทยังอยู่กันครบห้าคนเหมือนตอนแรก ไม่เสียผู้เข้าแข่งขันไปแม้สักคนเดียว

          มาถึงจุดนี้หลายคนต่างก็คิดว่าสำนักเซียนหมื่นเวทจะเอาชนะและกอบกู้ชื่อเสียงกลับคืนมาได้อย่างง่ายดาย ทว่าผลที่ออกมากลับคาดไม่ถึง

          เพราะสำนักเซียนหมื่นเวทกลับไม่สามารถทำอะไรสองคนที่เหลือของอีกฝ่ายได้

          ไม่ต้องพูดถึงหวังลู่เลยด้วยซ้ำ เพราะแม้แต่กระบี่กระจ่างใจของหลิวหลีก็ไม่อาจทะลวงกระบี่ตั้งรับสามฉื่อของเขาได้ จ้านจื่อเย่และเย่เฟยเฟยพยายามจู่โจมหวังลู่ด้วยการโจมตีระยะไกลที่รุนแรงที่สุดแต่ก็ไม่ส่งผลอันใด แม้หลิวหลีจะไม่ชำนาญด้านการตั้งรับเท่า แต่กระบี่บินสิบสองเล่มที่กระจายตัวกันของนางก็ไม่ง่ายที่จะรับมือด้วย และแม้หวังลู่จะไม่สามารถปกป้องคนสี่คนได้พร้อมกัน แต่การใช้พลังปราณกระบี่ไร้ลักษณ์ปกป้องหลิวหลีก็ไม่ได้เหนือบ่ากว่าแรงแม้แต่น้อย

          หลังจากพัวพันกันอยู่พักใหญ่ ความได้เปรียบในการยืดระยะของหวังหลู่และหลิวหลีก็เห็นได้ชัดขึ้น ลู่เฉียนไช่ ฝ่ายตั้งรับที่สำคัญสุดของสำนักเซียนหมื่นเวทก็ใช้ยันต์ที่มีอยู่จนหมดสิ้น ดังนั้นเขาจึงไม่อาจปกป้องเพื่อนร่วมคณะจากการโจมจีของกระบี่กระจ่างใจได้อีก หลิวหลีจึงสามารถกำจัดศิษย์พี่ศิษย์น้องของอีกฝ่ายไปได้ทีละคน ในที่สุดจ้านจื่อเย่ก็พยายามจะใช้เล่ห์กลเดิม นั่นคือใช้เพลงกระบี่อสนีทำลายล้างให้พินาศไปตามกัน ทว่าหวังลู่กลับพุ่งเข้าไปรวบตัวอีกฝ่ายไว้แน่น และสะท้อนพลังอสนีบาตทำลายล้างกลับไป จนเกือบทำให้วิหารหยกและพลังวิญญาณขั้นปฐมของจ้านจื่อเย่พังทลาย

          ไม่ว่าจะเป็นการต่อสู้รายบุคคลหรือการต่อสู้แบบกลุ่ม ผลก็คือพ่ายแพ้ สำนักเซียนหมื่นเวทไม่มีอะไรจะกล่าวอีกต่อไป ศิษย์หลายคนตัดสินใจที่แบกรับความอัปยศในครั้งนี้ด้วยการกลับไปเก็บตัวฝึกฝนอย่างสันโดษที่สำนัก เตรียมตัวรับมือกับความยากลำบากในการฝึก เพื่อที่ว่าวันหนึ่งพวกขาจะสามารถแก้แค้นให้กับความคับข้องใจนี้

          ทว่าก่อนที่พวกเขาจะอำลาไป สำนักกระบี่วิญญาณก็ตระเตรียมให้เหล่าศิษย์มารอส่งแขกที่ยอดเขาสี่สภาพ ทั้งสองสำนักต่างแลกเปลี่ยนถ้อยคำที่จริงใจต่อกัน เป็นภาพที่น่าประทับใจไม่น้อย

          “สามปีต่อจากนี้… ไม่สิ ปีหน้าข้าจะกลับมาเยี่ยมพวกเจ้าใหม่” ภายใต้สีหน้าที่จริงจัง และเต็มไปด้วยจิตวิญญาณนักสู้ จ้านจื่อเย่พยายามซ่อนอาการตัวสั่นและประหม่าอายเอาไว้ “หลิวหลี ครั้งหน้าข้าไม่แพ้เจ้าอีกแน่”

          หญิงสาวเอียงคอและพูดด้วยสีหน้าฉงน “แต่อีกหนึ่งปีให้หลัง เจ้าก็ยังแพ้ให้ข้าอยู่ดี”

          จ้านจื่อเย่ไม่คิดว่าจะได้รับคำตอบที่ใสซื่อกลางฝูงชนเช่นนี้ ลำคอของเขาแข็งทื่อ “ไม่แน่หรอกน่า!”

          หวังลู่ที่ออกมายืนส่งแขกด้วยเช่นกันอดถอนใจไม่ได้ เขารู้สึกสมเพชเหล่าชายหนุ่มผู้หมกมุ่นของสำนักเซียนหมื่นเวทจริงๆ

          “ศิษย์พี่หญิงหลิวหลี ปีหน้าหลานตาของท่านคนนี้อยากเชิญท่านไปกินเนื้อย่างด้วยแน่ะ”

          ดวงตาของหญิงสาวเปล่งประกายเจิดจ้าขึ้นมาทันที รอยยิ้มก็พลันสดใสราวกับดอกไม้ “อ้า ดีเลย งั้นเจ้าจะมาเมื่อไรก็ได้ทั้งนั้น!”

          พูดจบนางก็ยื่นมือสีหยกเรียวบางทั้งสองข้างออกไปกระชับมือของจ้านจื่อเย่ไว้แน่นและเขย่าขึ้นลง “ตกลงกันแล้วนะ ครั้งหน้าถ้าเจ้ามา เจ้าต้องชวนข้าไปกินเนื้อด้วย!”

          ทันใดนั้นในใจของจ้านจื่อเย่กลับมีความรู้สึกที่ตรงข้ามกันอย่างสุดขั้วตบตีกันอยู่ ความรู้สึกหนึ่งคือ ‘ความสุขที่มาจากการสัมผัสของฝ่ามืออ่อนนุ่มและบอบบาง’ และอีกความรู้สึกหนึ่งก็คือ ‘ดูเหมือนว่าชาตินี้ข้าคงไม่มีวาสนา’ จากนั้นความรู้สึกไร้เดียงสาราวเด็กน้อยก็แตกออกเป็นเสี่ยง และเขาพลันรู้สึกเจ็บปวดอย่างหนักราวกับถูกโจมตีด้วยเพลงกระบี่กระจ่างใจ

          ไห่อวิ๋นฟานเองก็ตื้นตันใจไม่น้อย “พี่หวัง ท่านสอนบทเรียนข้าแล้ว”

          “เสี่ยวไห่ ข้าไปสอนเจ้าตั้งแต่เมื่อไหร่ อย่าพูดเหลวไหลเลย”

          “…ฮ่ะๆ” ไห่อวิ๋นฟานหัวเราะให้ตัวเอง “จริงนะ ตั้งแต่เมื่อห้าปีก่อนที่ข้าจากสำนักกระบี่วิญญาณมา ข้าก็คิดมาตลอด หากข้าไม่ได้เข้าสำนักเซียนหมื่นเวท แต่มาเป็นศิษย์ร่วมสำนักกับพี่หวังแทน เรื่องราวมันจะเป็นอย่างไรต่อไป”

          หวังลู่ขมวดคิ้วพลางก้าวถอยหลังครึ่งก้าว “เสี่ยวไห่ ไม่เอาน่า เจ้าทำข้าขนลุกนะ”

          ไห่อวิ๋นฟานเพิกเฉยคำพูดของอีกฝ่ายและกล่าวต่อ “เรื่องนี้ติดอยู่ในใจข้ามาหลายปีแล้ว แต่ตอนนี้ข้าสบายใจได้เสียที เมื่อเทียบกับการเป็นศิษย์ร่วมสำนักกับท่าน การได้เป็นคู่แข่งท่านน่าสนใจกว่าเป็นไหนๆ… แต่แน่นอนว่าเรื่องเป็นศัตรูนั้นเป็นไปไม่ได้เด็ดขาด”

          คู่แข่งกับศัตรูเป็นสองแนวคิดที่แตกต่างกันอย่างชัดเจน

          “ครั้งหน้า ข้าจะพยายามไม่ให้แพ้ท่าน” ไห่อวิ๋นฟานกล่าวพร้อมส่ายศีรษะ “แน่นอนว่าคำพูดที่ออกมาจากฝ่ายแพ้อย่างข้าอาจจะฟังดูน่าหัวเราะ ทว่าข้ายังคงยืนยันเช่นนั้น พี่หวัง ข้ารอคอยที่เราจะได้พบกันอีกครั้ง”

          หวังลู่มองเสี่ยวไห่ “ตกลง”

          “อ้า เกือบลืมแน่ะ ข้ามีของขวัญให้ท่านด้วย” ไห่อวิ๋นฟานยื่นกระดาษซื่อสัตย์ให้หวังลู่ “มันอาจเป็นประโยชน์กับท่าน”

          หวังลู่รับมาและพบว่ามันคือตราประทับของอาณาจักรอวิ๋นไท่ เขาอดยิ้มออกมาไม่ได้

          เสี่ยวไห่สมกับเป็นเสี่ยวไห่จริงๆ บทจะสนิทสนมเขาก็แสนทำตัวสนิทสนม เมื่อมีตราประทับของอาณาจักรอวิ๋นไท่ ธุรกิจระหว่างประเทศของสำนักภูมิปัญญาย่อมก้าวหน้าไปอีกขั้นแน่ ตอนนี้หวังลู่ไม่ต้องการแหล่งทรัพยากรเพิ่มเติม ศิลาวิญญาณที่มีอยู่ก็มหาศาลอย่างมากแล้ว ทว่าตราประทับนี้ไม่ใช่สิ่งที่จะหาซื้อด้วยเงินทองได้ง่ายๆ

          หลังส่งคนจากสำนักเซียนหมื่นเวทเรียบร้อยแล้ว สำนักกระบี่วิญญาณก็กลับมาเงียบเหงาดังเดิม ภายในระยะเวลาครึ่งเดือนนี้ พวกเขาได้รับประสบการณ์มากมาย ทันทีที่เรือคลื่นเมฆาถูกแสงแห่งดวงอาทิตย์กลืนหายไปจากสายตา หลายคนจึงรู้สึกหมดเรี่ยวแรงอย่างแท้จริง

          ทว่าไม่ว่าพวกเขาจะเหน็ดเหนื่อยเพียงใด ก็ยังมีงานที่ต้องทำให้เสร็จ

          ตัวอย่างเช่น การจัดการเรื่องเงินพนันจำนวนมหาศาล ในการต่อสู้ตัวต่อตัวกับหลิวหลี หวังลู่ได้ลงพนันเงินเกือบหนึ่งร้อยล้านศิลาวิญญาณข้างตัวเอง มันเป็นเงินเดิมพันเดี่ยวๆ ที่มากสุดในประวัติศาสตร์การเดิมพันของอาณาจักรเก้าแคว้นในช่วงทศวรรษที่ผ่านมา ท้ายที่สุดเขาก็ชนะและได้เงินมามากกว่าหนึ่งร้อยล้านศิลาวิญญาณ ซึ่งถือเป็นสถิติที่ไม่อาจเอาชนะได้ สำหรับเงินมหาศาลเช่นนั้น แม้แต่องค์กรใหญ่อย่างหอนภาเร้นลับก็ไม่อาจรวบรวมมาได้ในช่วงเวลาสั้นๆ สุดท้ายแล้วหัวหน้าแคว้นหอนภาเร้นลับของแคว้นธาราครามก็ได้นำผลึกแก้วชั้นหนึ่งมูลค่าเกินหนึ่งร้อยล้านศิลาวิญญาณมาให้ด้วยตัวเอง ทำเอาศิษย์นับไม่ถ้วนตาเบิกโพลงด้วยความตื่นตะลึง

          ตามข้อตกลงก่อนหน้านี้ หวังลู่ได้มอบผลึกห้าสิบชิ้นให้ผู้เป็นอาจารย์ หญิงสาวผู้มีความสุขประกาศ ณ ที่นั้นว่านางจะแต่งงานกับหัวหน้าแคว้นคนดังกล่าว และการแต่งงานจะมีขึ้นในทันใด ทำเอาหัวหน้าแคว้นของหอนภาเร้นลับรู้สึกกระอักกระอ่วนยิ่งนัก เคราะห์ดีที่เจ้าสำนักและผู้อาวุโสฝ่ายวินัยใช้แสงแห่งกระบี่กำราบความทะเยอทะยานของหญิงสาวและบังคับให้นางละทิ้งความตั้งใจเสีย

          ทันทีที่เปลี่ยนจากยาจกมาเป็นเศรษฐี อาวุโสห้าก็ไม่เหลือคราบของผู้บำเพ็ญเซียนที่สงบสุขุมอีก นางฉวยผลึกแก้วชั้นหนึ่งห้าสิบชิ้นและลงจากเขาไปพร้อมกระบี่บินอย่างร่าเริง พร้อมบอกว่านางจะไปละเลียดความสุขในชีวิต สิบวันผ่านไป หญิงสาวในชุดขาวก็กลับมาบนเขา ทั้งยังมีทีท่าว่าอยากจะใช้ชีวิตอย่างเรียบง่ายและเที่ยงธรรม

          เมื่อเห็นพัฒนาการเช่นนี้ หวังลู่ย่อมอดสงสัยไม่ได้ หมดความสนใจในโลกมนุษย์ได้ภายในสิบวัน การบำเพ็ญเซียนของหญิงสาวผู้นี้น่าทึ่งขนาดนั้นเชียวหรือ ทว่าพอเขาถามออกไป คำตอบที่ได้รับก็เหมือนโดนสายฟ้าฟาดใส่

          “เงินหมดก็เลยต้องกลับมา”

          เงินหมด!?

          หวังลู่ทำได้เพียง ‘หมอบราบลงไปกับพื้นด้วยความชื่นชม’ นี่นางถลุงเงินสิบล้านศิลาวิญญาณหมดภายในสิบวันเนี่ยนะ!?

          ทว่าก่อนที่หวังลู่จะทันได้แสดงความประหลาดใจ เขาก็ได้ยินคำถามที่อ่อนโยนแต่ชวนให้ขนลุกจากผู้เป็นอาจารย์ “เสี่ยวลู่ การแต่งงานของเราจะมีขึ้นเมื่อไรดี”

          หวังลู่ไม่อาจไม่กรีดร้องออกมา “เมื่อท่านหัดมีศีลธรรมกับเขาเสียบ้าง!”

          ความจริงแล้วตอนนี้หวังลู่เองก็ไม่มีเงินอยู่ในมือ ตอนที่อาจารย์ของเขาถลุงเงินอย่างเสรีที่ใต้เขาหลายวันมานี้ เขาได้ถ่ายโอนเงินที่ชนะพนันกลับไปยังสำนักภูมิปัญญาเพื่อเพิ่มความเร็วในการพัฒนาสำนัก ในช่วงที่สำนักกำลังพัฒนาอย่างรวดเร็วนี้ เป็นช่วงที่สำนักโหยหิวเงินทองเป็นอย่างมาก ไม่ว่าจะลงเงินไปมากมายเพียงใด มันก็ถูกย่อยในพริบตา หวังลู่เชื่อมั่นว่าเมื่อถึงตอนที่สำนักภูมิปัญญาเจริญเติบโตถึงที่สุดและออกดอกออกผล เขาจะเก็บเกี่ยวเงินทองที่ลงทุนไปกลับมาได้มากกว่าหลายเท่า

          อย่างไรก็ตาม เรื่องราวของคู่ศิษย์อาจารย์แห่งยอดเขาไร้ลักษณ์ที่ถลุงเงินนับร้อยล้านศิลาวิญญาณจนหมดภายในสิบวันก็ได้กลายเป็นตำนานชื่อดังของเขากระบี่วิญญาณเป็นที่เรียบร้อย

          จากนั้นก็มาถึงเรื่องของตัวแทนหลักของสำนัก

          ในการที่จะกระตุ้นพัฒนาการของเหล่าศิษย์ หอกระบี่นภาแห่งสำนักกระบี่วิญญาณได้ตั้งระบบตัวแทนหลักขึ้นภายใต้คำแนะนำของหวังลู่ นั่นก็คือผู้ชนะในการประลองเดี่ยวของการแข่งขันระหว่างสำนักที่เพิ่งจบไปจะได้เป็นตัวแทนหลักของสำนักเป็นเวลาสิบปี

          แม้จะมีข้อถกเถียงใหญ่โตเรื่องการแข่งขันรอบชิงชนะเลิศ แต่ชัยชนะของหวังลู่นั้นแจ่มชัด ดังนั้นหลังจากที่ใคร่ครวญคร่าวๆ แล้ว เจ้าสำนักปรมาจารย์เฟิงอิ๋นในฐานะตัวของของเหล่าผู้อาวุโสแห่งหอกระบี่นภาก็ได้มอบตำแหน่งตัวแทนหลักให้หวังลู่

          พิธีแต่งตั้งตัวแทนหลักจัดขึ้นอย่างเรียบงานที่ยอดเขาประกายดาว ภายนอกกระท่อมไม้ไผ่ของเจ้าสำนัก โดยมีผู้เข้าร่วมพิธีเพียงไม่กี่คน ตอนแรกสำนักกระบี่วิญญาณต้องการเรียกรวมตัวศิษย์ทั้งหมดไปยังยอดเขาสี่สภาพเพื่อประกาศชื่อของผู้ที่ได้เป็นตัวแทนหลัก เพื่อเป็นการกระตุ้นขวัญและกำลังใจ ทว่าใครใช้ให้หวังลู่แปลกประหลาดไม่เหมือนเพื่อนด้วยเล่า พิธีที่ยิ่งใหญ่ก็เลยต้องถูกพับไป

          สำหรับหวังลู่นั้น อำนาจพิเศษของตำแหน่งตัวแทนหลักมีความหมายกับเขายิ่งกว่าพิธีใหญ่โตมากนัก หนำซ้ำหวังลู่เองก็ไม่เคยสนว่าคนอื่นจะรู้สึกกับเขาเช่นไร หลังจากที่ได้รับเหรียญทองซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของตัวแทนหลักจากประมาจารย์เฟิงอิ๋นแล้ว หวังลู่ก็พร้อมที่จะเผ่นออกไปจากที่นั่น

          ทว่าเขากลับได้ยินปรมาจารย์เฟิงอิ๋นหัวเราะและกล่าวขึ้น “ฮ่ะๆ เจ้าไม่อยากจะพูดคุยกับอาจารย์คนใหม่ของเจ้าสักหน่อยหรือ”

          ตัวแทนหลักนั้นอยู่ใต้การดูแลของเจ้าสำนักเท่านั้น ในทางทฤษฎีแล้ว ความสัมพันธ์นี้ก็ไม่ต่างจากศิษย์และอาจารย์ ดังนั้นเมื่อได้ยินปรมาจารย์เฟิงอิ๋นเอ่ยปากถาม หวังลู่ก็หยุดเท้า เขาหันกลับมาและส่งยิ้มให้ “ได้ทั้งนั้น”

          ชายชราและหวังลู่นั่งเคียงข้างกันอยู่ภายนอกกระท่อม หลังจากนิ่งเงียบกันอยู่พักใหญ่ ชายชราก็เอ่ยขึ้นอย่างช้าๆ “ตั้งแต่ที่เจ้าเข้าสำนักกระบี่วิญญาณมา เวลาก็ผ่านมามากกว่าห้าปีแล้ว แต่ข้ายังจำเส้นทางของเจ้าในงานชุมนุมคัดเลือกเซียน และอุปสรรคที่เจ้าต้องเผชิญได้แจ่มชัด ในตอนนั้นเราเกือบทำผิดพลาดด้วยการตัดเจ้าออก นี่ข้ายังรู้สึกกลัวทุกครั้งที่หวนกลับไปคิดถึงมัน”

          หวังลู่หัวเราะขำ “ท่านพูดเล่นใช่ไหม สำนักกระบี่วิญญาณเต็มไปด้วยคนที่มีพรสวรรค์ ศิษย์พี่หญิงหลิวหลีและศิษย์พี่หญิงจูซือเหยาที่ข้าไม่เคยเจอหน้ามามากกว่าห้าปี หากเป็นสำนักอื่นๆ การมีพวกเขาแค่คนใดคนหนึ่งก็ถือว่ามากพอแล้ว ความจริงหากจู่ๆ ข้าหายไปก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่โตอะไรของสำนักด้วยซ้ำ” หวังลู่กล่าวอย่างจริงจัง “ตรงข้าม หากข้าไม่ได้บำเพ็ญเซียนในสำนักนี้ ข้าก็คงไม่ได้รับความสำเร็จอย่างในวันนี้”

          ปรมาจารย์เฟิงอิ๋นแสดงสีหน้าพออกพอใจอย่างยิ่ง “ไม่ง่ายเลยที่เจ้าจะคิดได้เช่นนี้ ทว่าเจ้าไม่ควรดูถูกตัวเอง แม้หลิวหลีกับจูซือเหยาจะเป็นอัจฉริยะชั้นเอกของอาณาจักรเก้าแคว้น แต่ท้ายที่สุดแล้วอนาคตของสำนักกระบี่วิญญาณย่อมอยู่ในมือเจ้าแน่นอน”

          หวังลู่เงียบไปพักหนึ่งก่อนจะเอ่ยปาก “ท่านเจ้าสำนัก เป็นไปได้ไหมว่าเมื่อเร็วๆ นี้สำนักกระบี่วิญญาณเกิดล้มเหลวด้านการลงทุน ดังนั้นจึงต้องการเงินอัดฉีดเร่งด่วนก้อนโต”

          เฟิงอิ๋นดุอีกฝ่าย “เจ้าเด็กนี่ แม้ว่าสำนักกระบี่วิญญาณจะตกต่ำเพียงใด เราก็ไม่คิดที่จะฮุบเงินของเจ้าแน่นอน หนำซ้ำเจ้าคิดจริงๆ หรือว่าผลึกแก้วชั้นจำนวนแค่หนึ่งร้อยชิ้นจากหอนภาเร้นลับนั่นจะช่วยเรื่องการจัดการของสำนักในห้าวิเศษได้”

          หวังลู่กล่าว “ข้าแค่ล้อเล่นน่า ท่านพูดต่อเถอะ”

          เฟิงอิ๋นกล่าวต่อ “ในอาณาจักรเก้าแคว้น ทุกๆ หลายร้อยปีหรืออาจจะมากกว่าพันปี จะเกิดยุคที่มีเหล่าวีรบุรุษจำนวนมาก หรือเรียกว่าเป็นยุคแห่งความรุ่งเรือง ตอนนี้ เมื่อเด็กรุ่นใหม่อย่างพวกเจ้าเติบโตขึ้น ยุคสมัยแห่งความรุ่งโรจน์และอลหม่านก็อยู่ไม่ไกลแล้ว แน่นอนว่าหลิวหลีและจูซือเหยาต่างเป็นผู้บำเพ็ญเซียนชั้นนำ แต่จุดอ่อนของพวกนางก็แจ่มชัดเช่นกัน เพราะฉะนั้นพวกนางจึงไม่อาจช่วยให้สำนักกระบี่วิญญาณทะยานขึ้นสู่ฟ้าได้ ดังนั้น… ที่ข้าแต่งตั้งเจ้าเป็นตัวแทนหลักของสำนัก ข้าก็หวังว่าเจ้าจะคู่ควรกับตำแหน่ง และได้เป็นตัวแทนหลักที่แท้จริงของสำนักกระบี่วิญญาณในอนาคต”

          หวังลู่ไม่ได้พูดอะไรอยู่พักใหญ่ จากนั้นเขาก็ยิ้มให้เจ้าสำนัก “ท่านวางใจเถอะ ข้าน่ะชอบภูเขาแห่งนี้มาก ชอบสำนักนี้และชอบผู้คนที่นี่”

          จู่ๆ เฟิงอิ๋นก็ถามออกมา “แล้วอาจารย์ของเจ้าเล่า”

          หวังลู่นิ่งอึ้งไปพักหนึ่ง จากนั้นก็พูดอย่างกระดากอาย “เอ่อ เรื่องนี้… หากวันใดนางกับแม่ข้าตกลงไปในแม่น้ำ ข้าจะช่วยแม่ข้าก่อนจากนั้นค่อยทุ่มก้อนอิฐใส่นาง!”

          ครั้งนี้เป็นเจ้าสำนักที่เงียบไปบ้าง ผ่านไปเนิ่นนานชายชราก็ถอนหายใจออกมาอย่างสะท้อนใจ

          “ตลอดชีวิตของนาง นางดูเอาแต่ใจก็จริง แต่ความจริงแล้วนางโดดเดี่ยวมาก ข้าหวังว่าเจ้า… จะทำให้ดีที่สุด”