ภาคที่ 4 ช่วงชิงตำแหน่งสูงสุด ตอนที่ 45 หวังลู่นั้นสุดยอดเกินธรรมดา

กาลหนึ่งเคยมีเขากระบี่วิญญาณ

ตอนที่ 45 หวังลู่นั้นสุดยอดเกินธรรมดา โดย Ink Stone_Fantasy

          การต่อสู้บนลานเมฆาของยอดเขากระบี่วิญญาณในอาณาจักรเก้าแคว้น ปีปฏิทินที่ 6348 ถูกกำหนดให้จารึกไว้ในประวัติศาสตร์

          แม้ขั้นตบะของผู้บำเพ็ญเซียนทั้งสองจะไม่สูง เป็นเพียงตบะขั้นสร้างฐานระดับต้น อีกทั้งคนหนึ่งก็เพิ่งบรรลุสู่ตบะขั้นสร้างฐานด้วยซ้ำ

          ทว่าสำหรับผู้เห็นเหตุการณ์จำนวนนับไม่ถ้วน การแข่งขันครั้งนี้เปลี่ยนมุมมองในโลกบำเพ็ญเซียนของพวกเขาไปอย่างสิ้นเชิง

          ในเรื่องที่ว่าผู้บำเพ็ญเซียนคนหนึ่งสามารถทำตัวต่ำช้าได้เพียงไรเพื่อให้ได้มาซึ่งชัยชนะ

          พอปรมาจารย์เฟิงอิ๋นผู้เป็นประธานในการแข่งขันครั้งนี้ประกาศว่าหวังลู่ชนะ และอธิบายเพิ่มว่าลำแสงสีทองที่เห็นก่อนหน้านี้หวังลู่เป็นคนร่ายขึ้นมาเอง เหล่าผู้ชมที่อยู่นอกเวทีก็แทบจะก่อจลาจลขึ้นมา

          พวกเขาเคยเห็นว่าคนเรานั้นทำตัวไร้ยางอายได้ขนาดไหนก็จริง แต่ก็ไม่เคยพบเจอกับความไร้ยางอายในระดับนี้มาก่อน! ในการแข่งขันที่รวมความสุดยอดของพลังและสติปัญญาที่จะนำพาโลกแห่งการบำเพ็ญเซียนไปเบื้องหน้าและเสริมพลังบวกให้กับทุกคน หวังลู่กลับสร้างรอยด่างให้มันด้วยการใช้เล่ห์กลสกปรกในนาทีสุดท้าย! เหล่าผู้ชมรู้สึกราวกับว่าได้กินผลไม้ที่ครึ่งลูกมีหนอนอยู่ยั้วเยี้ย และรู้สึกสะอิดสะเอียดเหลือแสน

          ผลของการแข่งขันนั้นชัดเจน แม้เพื่อชัยชนะ หวังลู่จะโยนศีลธรรมที่เหลือเพียงน้อยนิดของตัวเองทิ้งก็ตาม แต่เขาก็ไม่ได้ละเมิดกฎ กฎไม่ได้ห้ามผู้แข่งขันให้ร่ายลำแสงสีทองลงบนร่างของตัวเองเพื่อปลอมแปลงผลการแข่ง และเมื่อหลิวหลีเห็นลำแสงสีทองนั้น นางก็คลายความระมัดระวังลงทันที ซึ่งเป็นผลจากความซื่อบื้อของนางเองโดยไม่อาจโทษผู้อื่นได้

          ความจริงแล้วหลังจากสำแดงเพลงกระบี่อัคคีชั้นที่ยี่สิบ หลิวหลีก็แทบจะผลาญพลังอิทธิฤทธิ์ของนางจนไม่อาจใช้กระบี่กระจ่างใจได้ต่อ แน่นอนว่าเมื่อเทียบกับหวังลู่ที่บาดเจ็บสาหัสจนใกล้จะสิ้นชีพ นางยังถือว่าได้เปรียบอยู่ โชคร้าย…ที่ในนาทีสุดท้าย สิ่งที่ตัดสินผลแพ้ชนะนั้นไม่ได้มาจากพละกำลังในการต่อสู้

          ผู้บำเพ็ญเซียนตบะขั้นเปลี่ยนวิญญาณของหอนภาเร้นลับยอมรับผลการแข่งขันในครั้งนี้ เขากล่าวพร้อมรอยยิ้มหยันว่าครั้งนี้ดูท่าหอนภาเร้นลับคงขาดทุนย่อยยับเป็นแน่

          แน่นอนว่าเรื่องนี้ไม่จริง เพราะนอกจากคนไม่กี่คน ผู้ชมส่วนใหญ่ต่างลงพนันฝั่งหลิวหลีทั้งนั้น

          ไม่มีใครคาดคิดว่าหวังลู่จะชนะ แต่สุดท้ายแล้วเขาก็ชนะ

          และเมื่อผลเป็นเช่นนี้ แผนการเฉลิมฉลองที่สำนักกระบี่วิญญาณกำหนดไว้แต่แรกจึงถูกยกเลิก แผนเดิมของพวกเขาที่จะสร้างสัมพันธ์กับผู้บำเพ็ญเซียนที่มาเยือนก็ถูกปัดตกไปเช่นกัน ทันทีที่จบการแข่งขัน ผู้มาเยือนแต่ละคนก็ตระเตรียมที่จะกลับสำนักของตนในทันทีด้วยอาการรังเกียจ

          ทว่าก่อนที่จะจากไป บุรุษผู้รักความยุติธรรมจำนวนไม่น้อยต่างแสดงความเป็นปรปักษ์ต่อหวังลู่อย่างแจ่มชัด

          “เจ้าหนุ่ม วันหนึ่งหากเจ้าลงจากเขาไป อย่าให้ข้าได้เจอหน้าเจ้าเชียว ไม่เช่นนั้นข้าได้สั่งสอนเจ้าแน่!”

          “ถูกแล้ว ข้าพบเจอเรื่องหน้าไม่อายมามาก แต่ถึงขนาดเจ้านั้นยังไม่เคยเจอ!”

          “ฮึ หากข้าไม่ใช่แขก ข้าจะอัดเจ้าจนน่วมเพื่อระบายอารมณ์แน่นอน!”

          เมื่อได้ยินเช่นนี้ ผู้อาวุโสของสำนักกระบี่วิญญาณก็ได้แต่ยิ้มขื่น แม้คนจากสำนักเดียวกันควรต้องช่วยเหลือกัน แต่พวกเขาก็หมดหนทางจะแก้ต่างให้ศิษย์ผู้สืบทอดคนนี้ พูดกันตามตรง ผู้อาวุโสหลายคนมีความรู้สึกที่ปนเปกันในเรื่องนี้

          ส่วนหวังลู่นั้น แม้จะยอมให้ผู้อาวุโสในสำนักรักษาอาการบาดเจ็บให้ แต่กับคนภายนอกที่กำลังฉุนเฉียวเหล่านั้น เขากลับโต้ตอบอย่างเด็ดเดี่ยว “ก็เอาสิ ก็ลองเข้ามาอัดสิ! มาเล้ย!”

          เหล่าบุรุษผู้รักความยุติธรรมทั้งหลายต่างนิ่งอึ้งไป

          “จะ เจ้าจะไม่รักษาต่องั้นหรือ!?”

          “นี่เจ้ายั่วโทสะพวกเรางั้นหรือ!?”

          หวังลู่พยักหน้า “ถูกแล้ว หากพวกเจ้ามีฝีมือจริงเช่นนั้นก็เข้ามาเลย”

          “ดี เจ้ารนหาที่เองนะ!”

          จากนั้นพวกเขาจึงควักกระบี่บิน ตราประทับ ยันต์ ธงและสิ่งอื่นใดเท่าที่จะหาได้ออกมา อาวุโสเจ็ดที่กำลังรักษาหวังลู่อยู่ตื่นตกใจไม่น้อย

          ก่อนที่จะจมอยู่ในกองกระบี่บินและอาวุธวิเศษอื่นๆ หวังลู่ก็เหยียดมือขวาออกไป “เดี๋ยวก่อน!”

          “หือ เจ้าคิดจะร้องขอความเมตตารึ”

          “หึ จะร้องขอความเมตตาตอนนี้ก็สายไปแล้ว!”

          หวังลู่กล่าว “หากพวกเจ้าคิดจะอัดข้าก็เชิญเลย แต่ก่อนอื่นต้องจ่ายมาก่อน”

          “…”

          “หา?”

          หวังลู่กล่าวอย่างฉุนเฉียว “มีเหตุผลอะไรที่ข้าต้องเสียเวลาและพลังงานเพื่อสนองความยุติธรรมของพวกเจ้า เจ้าอยากจะตีข้าก็ให้ตี แต่ต้องจ่ายมาก่อนหมื่นศิลาวิญญาณ แล้วข้าจะยอมประลองด้วยตามที่เจ้าต้องการ”

          “มะ หมื่นศิลาวิญญาณ!?”

          หวังลู่เหยียดยิ้ม “นี่เป็นราคาตั้งต้น พลังของข้าในแต่ละวันมีจำกัด เพราะฉะนั้นจึงเป็นไปไม่ได้ที่ข้าจะเล่นด้วยได้ทั้งวันทั้งคืน ดังนั้นข้าจะจำกัดแค่สิบรอบต่อหนึ่งวัน ข้าจะเปิดประมูลราคาของสิบรอบนี้ คนที่ให้ราคาสูงสุดจะได้ประลองกับข้า ข้าเปิดรับไม่มาก ดังนั้นรีบๆ หน่อยก็ดี!”

          “ระยำ นี่เจ้ามียางอายบ้างไหมเนี่ย!?”

          หวังลู่ตบโต๊ะ “เจ้าไม่มีเงินก็บอกมาเถอะ!”

          “สารเลว! บิดาของเจ้าคนนี้ประมูลหนึ่งแสนศิลาวิญญาณ คอยดูนะข้าจะอัดเจ้าให้น่วมเลย!”

          หวังลู่ตบโต๊ะอีกรอบ “ขั้นสร้างแกนอย่างเจ้ากล้าขึ้นสังเวียนกับคนที่เพิ่งบรรลุตบะขั้นสร้างฐานอย่างข้ารึ ใครกันแน่ที่ไม่มียางอาย ก่อนที่จะเริ่มประมูล ข้าขอบอกข้อกำหนดก่อน ขั้นตบะในการต่อสู้จะต้องไม่เกิดขั้นพิสุทธิ์ระดับต้นและไม่มีอาวุธที่มีระดับสูงกว่านั้น แต่หากผู้มีฝีมือล้ำลึกคนใดคันไม้คันมือละก็ พวกเจ้าต้องเพิ่มเงินประมูลเป็นสองเท่าและลดพลังวิญญาณขั้นปฐมลง หากยอมรับข้อกำหนดนี้ ก็เชิญประมูลได้ หากยอมรับไม่ได้ก็ไม่เป็นไร ข้าจะรอรับการประมูลของพวกเจ้าอยู่ตรงนี้ หลังจากจ่ายเงินมัดจำล่วงหน้าและตรวจสอบว่าเราอยู่ในระดับเดียวกันแล้ว ข้าก็พร้อมยอมรับการท้าทายของพวกเจ้าทุกเมื่อ”

          “เวรเถอะ จนถึงตอนนี้เจ้ายังกล้าทำตัวเจ้าเล่ห์อีกรึ!?”

          หวังลู่เหยียดยิ้ม “นี่เจ้าไม่ได้ศึกษาชื่อเสียงของข้าก่อนจะมาที่นี่หรือ คิดว่าพวกยากจนเช่นเจ้าจะมีหวังได้รับวิชาจากศิษย์ชั้นนำของสำนักกระบี่วิญญาณเช่นข้าหรือ ไม่ต้องพูดมาก เวลาใกล้จะหมดแล้ว เจ้าจะประมูลหรือไม่ประมูล”

          “ข้าเป็นคนแรก ข้าประมูลห้าแสนศิลาวิญญาณ! แม้ข้าจะมีตบะขั้นพิสุทธิ์ แต่ข้าจะลดพลังวิญญาณขั้นปฐมลงจนเหลือเพียงตบะขั้นสร้างฐานระดับต้นเพื่อไม่ให้เป็นการเอาเปรียบเจ้า เพื่อให้เจ้าได้รู้ว่ายังมีความยุติธรรมในโลกบำเพ็ญเซียนของอาณาจักรเก้าแคว้นอยู่!”

          ผู้บำเพ็ญเซียนกระบี่จากสำนักกระบี่สวรรค์ ซึ่งเป็นหนึ่งในสำนักชั้นนำตะโกนออกมาอย่างฉุนเฉียว เรียกเสียงปรบมือดังกึกก้องจากฝูงชน

          “พูดได้ดี เล่าซานเต้า! เราเหล่าผู้บำเพ็ญเซียนที่เที่ยงธรรมควรมีจิตวิญญาณเช่นนี้ ข้าเอาใจช่วยเจ้า!”

          “ถูกแล้ว แม้วันนี้เงินที่ข้ามีจะไม่พอ ไม่เหมือนเจ้าที่ร่ำรวย แต่เจ้าก็ได้พูดแทนใจข้าไปหมดแล้ว ข้าจะร่วมลงขันห้าพันศิลาวิญญาณสมทบห้าแสนศิลาวิญญาณของเจ้าด้วย แม้มันจะเป็นเงินเล็กน้อย แต่ข้าก็อยากสนับสนุนความถูกต้อง! เพิ่มพลังและศักดิ์ศรีให้กับความเที่ยงธรรม!”

          เล่าซานประสานมือกันและกล่าวอย่างตรงไปตรงมา “ขอบคุณพวกท่านที่สนับสนุน ข้าประมูลเงินจำนวนมากในการประลองครั้งนี้ไม่ใช่เพราะต้องการชื่อเสียง แต่เพื่อส่งเสริมความเที่ยงธรรม! ตั้งแต่โบราณกาล สำนักกระบี่นภาของข้ายึดมั่นในหลักความเที่ยงธรรมมาโดยตลอด ตั้งแต่ยุคมหาสงครามระหว่างเหล่าเซียนและปีศาจ จนกลายมาเป็นเสาหลักของเหล่าพันธมิตรคุณธรรม หนำซ้ำเจ้าสำนักคนที่สิบหกก็บรรลุตบะขั้นหลอมรวมแล้ว และกระบี่ทองนี่ก็แทบไม่ได้เจอคู่ปรับที่สมน้ำสมเนื้อ นอกจากนั้นศิษย์ของสำนักเรายังดูแลซึ่งกันและกันอย่างดีทั้งยังฝึกฝนอย่างอุตสาหะ อีกทั้งเรายัง…”

          “อะไรฟะเนี่ย! หากเจ้าคิดจะโฆษณาสำนักตัวเองที่นี่ เจ้าก็ต้องจ่ายมาก่อน! หากเจ้ายังพูดอีกแม้คำเดียว ข้าจะเก็บเงินเจ้าเพิ่ม!” หวังลู่ตบโต๊ะลงทะเบียนที่อยู่บนลานเมฆาเพื่อเร่งให้เล่าซานขึ้นไปบนลานประลองจะได้เริ่มการแข่งขันกันเสียที

          เล่าซานที่เดินขึ้นลานประลองไปพร้อมกระบี่ดูเสียใจไม่น้อยที่ไม่ได้พูดจนจบ เขายืนอยู่บนกระบี่ที่ลอยค้างอยู่กลางอากาศ และชี้หน้าหวังลู่ด้วยท่าทีที่เหนือกว่า “มาเลย มาให้ข้าสอนเรื่องหลักการและความซื่อสัตย์ของโลกบำเพ็ญเซียนหน่อยเถอะ!”

          หวังลู่เหยียดยิ้มเย็นยะเยือกและก้าวขึ้นลานเมฆาไป

          อึดใจถัดมา

          “เล่าซานเต้า!?”

          “เล่าซานเต้า! เจ้าเป็นอะไร ฟื้นขึ้นมานะ!”

          “หวังลู่ เจ้าใช้เล่ห์กลอะไรทำร้ายเล่าซานเต้ากันแน่”

          บนลานประลอง หวังลู่เช็ดกระบี่แห่งเขาคุนอย่างเบามือด้วยสายตาเหยียดหยาม เขาพูดเสียงดังกับตัวเอง “โลหิตแรก คนต่อไป!”

          “บัดซบ! ข้าเซียงเทียนเก๋อจากเคหาสน์ไผ่สุญญากาศ ประมูลสี่แสนห้าหมื่นศิลาวิญญาณเพื่อแก้แค้นให้เล่าซานเต้า! ขั้นตบะของข้าคือขั้นพิสุทธิ์เช่นกัน และข้าจะลงพลังวิญญาณขั้นปฐมลงให้เหลือขั้นสร้างฐานระดับต้น เพื่อไม่ให้เป็นการเอาเปรียบเจ้า อยากรู้นักว่าเจ้าจะเล่นเล่ห์อะไรกับข้า!”

          อึดใจหนึ่งผ่านไป

          “พี่เซียง!?”

          “พี่เซียง! เกิดอะไรขึ้นกับท่าน!? ท่านฟื้นสิ!?”

          “หวังลู่ เจ้าใช้เล่ห์กลชั่วร้ายอะไรทำร้ายพี่เซียงน่ะ!?”

          บนลานประลอง หวังลู่เช็ดกระบี่แห่งเขาคุนอย่างเบามือ เขาส่งยิ้มเดียดฉันท์ให้และพูดกับตัวเอง “ทวิสังหาร คนต่อไป!”

          “คนต่อไปมารดาเจ้าสิ ข้ากู้หยูบิดาของเจ้าจากเขาภูตทมิฬ ตบะขั้นสร้างแกน เจ้ากล้าสู้กับข้าไหมเล่า!?”

          หวังลู่ยิ้มอย่างดูแคลน “เจ้ากล้าลงเงินมาก่อนไหมเล่า”

          “ระยำ ต้องจ่ายสองเท่าใช่ไหม นี่เงินสี่แสนศิลาวิญญาณ รอข้าอยู่ตรงนั้นนะ! ข้าจะลงตบะขั้นลงมาเหลือขั้นสร้างฐานระดับต้นตามที่เจ้ากำหนดไว้ อยากเห็นนักว่าเจ้าจะหยุดข้าได้อย่างไร!”

          อึดใจหนึ่งผ่านไป

          “พี่กู้หยู!?”

          “พี่กู้หยู เกิดอะไรขึ้นกับท่าน ท่านฟื้นสิ!?”

          “หวังลู่ เจ้าใช้เล่ห์กลอะไรทำร้ายพี่กู้หยูน่ะ!?”

          หวังลู่เช็ดกระบี่แห่งเขาคุนอย่างเบามือจากนั้นก็กล่าวกับตัวเองอย่างดูแคลน “ตรีสังหารคนต่อไป!”

          หลังจากผ่านไปสิบรอบ หวังลู่ก็เก็บกระบี่แห่งเขาคุนและก้าวลงจากลานประลองช้าๆ

          ที่รอบลานประลองมีเพียงความเงียบงัน

          หวังลู่ยิ้ม “สำนักกระบี่วิญญาณของข้าขอต้อนรับทุกคนด้วยความยินดี พวกเจ้าสามารถเที่ยวเล่นอยู่บนนี้ได้สองสามวัน กฎของข้าไม่เปลี่ยนแปลง สิบคนต่อวันสำหรับผู้ที่ลงเงินประมูลสูงสุด ข้าขอให้พวกเจ้าทุกคนโชคดี!”

          หลังจากที่มองหวังลู่เดินลับสายตาไป ก็ไม่มีใครพูดอะไรออกมาอยู่พักใหญ่

          การต่อสู้สิบครั้งรวดก่อนหน้านี้สร้างความหวาดหวั่นให้ใครหลายคนอย่างแท้จริง

          ในการแข่งขันของหวังลู่และหลิวหลีก่อนหน้านี้ พวกเขาเห็นว่าหลิวหลีรักษาความได้เปรียบที่มีต่อหวังลู่ได้จนถึงนาทีสุดท้ายก่อนที่หวังลู่จะใช้เล่ห์กลเพื่อพลิกสถานการณ์ และต่างคิดว่าเด็กคนนี้มีความสามารถที่แท้จริงบ้างไหม พวกเขาบำเพ็ญเซียนมาก็หลายปีและร่ำเรียนมาอย่างดี ดังนั้นพวกเขาย่อมสามารถจัดการกับเล่ห์เหลี่ยมของอีกฝ่ายได้แน่!

          ทว่าเมื่อต้องเผชิญหน้ากับหวังลู่บนเวที พวกเขาต่างพบว่าคนทั่วไปไม่มีคุณสมบัติมากพอที่หวังลู่จะใช้เล่ห์เพทุบายด้วย เด็กหนุ่มเพียงใช้ความสามารถที่แท้จริงจัดการอีกฝ่ายอย่างเงียบเชียบ

          คนทั้งสิบคน บางคนเป็นถึงอัจฉริยะมากพรสวรรค์ที่เป็นความหวังของสำนักที่เที่ยงธรรม พวกเขาลดขั้นตบะของตัวเองลงและพยายามเอาชนะด้วยประสบการณ์และเชาวน์ปัญญาในฐานะศิษย์พี่ในโลกบำเพ็ญเซียน… แต่ทุกคนกลับพ่ายแพ้ให้คมกระบี่ของหวังลู่

          แม้ในสิบคนนี้จะไม่มีอัจฉริยะมากพรสวรรค์จากสำนักชั้นนำ แต่พวกเขาก็ไม่ได้ด้อยความสามารถ ทว่าด้วยข้อจำกัดด้านขั้นตบะที่หวังลู่กำหนดไว้ว่าไม่เกินขั้นพิสุทธิ์ระดับต้น นั่นหมายความว่าฝ่ายตรงข้ามได้เปรียบกว่าหวังลู่ถึงหนึ่งขั้น ทว่าเท่านี้ยังไม่พอ ยิ่งกว่าไม่พอเสียอีก แม้แต่ผู้บำเพ็ญเซียนตบะขั้นสร้างแกนที่ลดขั้นตบะลงมาเหลือเพียงขั้นสร้างฐานก็ไม่สามารถทะลวงเพลงกระบี่ตั้งรับสามฉื่อ ทั้งยังไม่อาจต้านทานกระบี่โต้กลับของหวังลู่ได้ ส่วนผู้บำเพ็ญเซียนตบะขั้นเปลี่ยนวิญญาณหรือสูงกว่านั้น หากพวกเขาคิดจะลดขั้นตบะลงเหลือขั้นสร้างฐานก็อาจจะเอาชนะหวังลู่ได้ แต่คนพวกนั้นกลับกังวลเรื่องหน้าตาของตัวเองมากกว่า หากตบะขั้นเปลี่ยนวิญญาณรังแกตบะขั้นสร้างฐานแล้วจะมีเรื่องดีเรื่องใดให้พูดถึงได้อีกเล่า

          หลังจากเอาชนะได้สิบครั้งรวด คนที่ยังใส่ใจเรื่องการกระทำที่ไร้ยางอายและน่ารังเกียจของหวังลู่ได้ก็เหลือเพียงไม่กี่คน ตรงข้ามหลายคนกลับนึกถึงคำพูดของเซียนเหวิงแห่งเขาคุณหลุนผู้ที่โด่งดังเรื่องเห็นอดีตและอนาคตขึ้นมาได้

          “นับจากนี้ไป โลกบำเพ็ญเซียนของอาณาจักเก้าแคว้นจะเป็นโลกของเหล่าคนรุ่นใหม่”

          เซียนเหวิงกล่าวคำเหล่านี้ออกมาตอนที่ฉยงฮว๋าแห่งสำนักเซิ่งจิงสามารถบรรลุตบะขั้นสร้างฐานได้ด้วยการเข้าฌานเพียงอึดใจเดียว และทำให้ทั้งอาณาจักรเก้าแคว้นตื่นอกตื่นใจ ผู้คนต่างคิดว่าเขาคุณหลุนเพียงแสดงไมตรีต่อสำนักเซิ่งจิง ทว่าตอนนี้คำพูดเหล่านั้นดูเหมือนจะมีนัยยะซ้อนอยู่อีกชั้นหนึ่ง

          ฉยงฮว๋า จ้านจื่อเย่ หลิวหลี หวังลู่… คนเหล่านี้ล้วนเป็นอัจฉริยะของห้าวิเศษ พวกเขาส่วนใหญ่เพิ่งบำเพ็ญเซียนมาไม่ถึงสิบปี แต่กลับแซงหน้าพวกที่อยู่ในรุ่นราวคราวเดียวกันไปไกลโข ตอนนี้พวกเขายังไม่โตเต็มที่ แต่กลับสำแดงความสามารถออกมาให้เป็นที่ประจักษ์ ในอนาคตหากพวกเขาฝึกบำเพ็ญเซียนได้สำเร็จ ไม่แน่ว่าอาจไม่มีใครหยุดยั้งพวกเขาได้

          “โธ่เอ๊ย คลื่นลูกใหม่ย่อมไล่คลื่นลูกเก่าจริงๆ [1]”

          จู่ๆ เหล่าผู้อาวุโสจำนวนไม่น้อยในโลกบำเพ็ญเซียนต่างก็นึกถึงสำนวนเก่าแก่นี้ขึ้นได้

……………………………………………

          [1] หมายถึง คนรุ่นใหม่ย่อมเหนือกว่าคนรุ่นเก่า