ภาคที่ 4 ช่วงชิงตำแหน่งสูงสุด ตอนที่ 44.2 แม้จะรู้สึกเสียใจ แต่ข้าก็ต้องพูด (2)

กาลหนึ่งเคยมีเขากระบี่วิญญาณ

ตอนที่ 44 แม้จะรู้สึกเสียใจ แต่ข้าก็ต้องพูด (2) โดย Ink Stone_Fantasy

ขณะที่พวกเขากำลังสงสัยกันอยู่นั้น สีหน้าของหญิงสาวก็ว่างเปล่าเป็นครั้งที่สาม กระบี่บินที่เหลืออีกหกเล่มรวมตัวกันและพุ่งตัวเต็มกำลังไปยังฝ่ายตรงข้าม!

          ตู้ม!

          เหลือกระบี่บินเพียงสามเล่ม อาการบาดเจ็บของหวังลู่ยิ่งแย่ลง แต่กำลังใจของเขากลับพุ่งสูงขึ้น

          หากเขาสามารถต้านทานการโจมตีครั้งสุดท้ายได้ กระบี่บินของหลิวหลีก็จะถูกทำลายลงทั้งหมด และจากนั้นนางก็จะหมดหนทางอย่างช่วยไม่ทางไป!

          ในตอนนั้นเอง อาจารย์แห่งยอดเขากระจ่างก็โพล่งออกมา “ช่างเป็นเด็กที่เหลี่ยมจัดอะไรเช่นนี้!”

          พูดจบ โจวหมิงก็ชี้ไปที่สิ่งๆ หนึ่ง “ดูชุดของเขาสิ!”

          เมื่อได้เบาะแสจากโจวหมิง หลิวเสี่ยน ฟางเฮ่อและผู้อาวุโสคนอื่นๆ ก็เห็นเล่ห์กลที่ซ่อนไว้ในทันที สิ่งที่เกิดขึ้นก็คือระหว่างการต่อสู้ หวังลู่จะทำเป็นสะบัดแขนเสื้อเผยให้เห็นตัวหนังสือที่อัดแน่นอยู่ในชุดสีดำยาวของเขา เมื่อหลิวหลีเห็นตัวหนังสือเหล่านี้ สีหน้าของนางก็จะว่างเปล่าและไม่อาจว่องไวได้ดังเดิม

          ตัวหนังสือเหล่านั้นเขียนว่า ‘เจ้าเด็กทึ่ม เก่งแต่เรื่องกิน!’

          ‘กิน กิน กิน กินจนพุงแตกตายไปเลย!’

          ‘ฝึกไปอีกชั่วยามครึ่ง หากไม่ฝึกเจ้าก็ห้ามกิน!’

          …และอีกมากมาย เป็นตัวอักษรที่ชวนให้งุนงงยิ่งนัก ทว่าทันทีที่ผู้อาวุโสของสำนักกระบี่วิญญาณเห็นเข้า พวกเขาก็ระเบิดหัวเราะออกมา

          “ช่างเป็นเด็กที่หัวหมอจริงๆ!”

          จิตกระบี่ทำให้สมองของนางกระจ่าง ทันทีที่นางเข้าสู่สภาวะของการต่อสู้ นางจะเพิกเฉยต่อสิ่งรบกวนภายนอก ไม่มีสิ่งใดจะจะทำให้นางไขว้เขวได้… ทว่าหวังลู่กลับเลียนแบบลายมือโจวหมิงผู้เป็นอาจารย์ของหลิวหลีและเขียนวิธีที่เขาแสดงออกกับศิษย์ออกมาเป็นตัวหนังสือเพื่อใช้เป็นเครื่องมือในการรบกวนอีกฝ่าย หลิวหลีสามารถเพิกเฉยกับทุกสิ่งได้ก็จริง แต่นางต้องตั้งใจฟังคำสั่งของผู้เป็นอาจารย์อยู่แล้ว

          สิ่งที่ครั้งหนึ่งเคยเป็นข้อได้เปรียบตอนนี้กลับกลายเป็นเสียเปรียบ จิตที่กระจ่างของนางยิ่งทำให้ผลจากการแทรกแซงครั้งนี้หนักข้อเข้าไปใหญ่ มันเหมือนกับว่าผู้เป็นอาจารย์กำลังดุด่านางด้วยคำพูดต่างๆ พร้อมกันนับครั้งไม่ถ้วน จนทำให้นางเกือบสติแตกด้วยความหวาดกลัว!

          หากไม่เพราะความมุ่งมั่นในการเอาชนะของนางที่มีมากกว่า หลิวหลีคงจะล้มพับไปนานแล้ว… แม้การกระทำนี้ของหวังลู่จะค่อนข้างเจ้าเล่ห์ แต่มันก็เข้าเป้าตรงเผง

          ฮว๋าอี้ส่ายศีรษะพลางกล่าวขึ้น “ในเมื่อเขาคิดวิธีเช่นนี้ขึ้นมาได้ ก็เห็นได้ชัดว่าหวังลู่ทำการบ้านเรื่องหลิวหลีมาไม่น้อย ศิษย์พี่ ข้าว่าการพ่ายแพ้ครั้งนี้ใช่ว่าจะไม่สมเหตุสมผล”

          “ไม่ใช่ว่าวิชากระบี่กระจ่างใจของหลิวหลีนั้นบกพร่อง ไม่เช่นนั้น…”

          “คำพูดพวกนั้นยังไม่จำเป็น วิชาไร้ลักษณ์ของหวังลู่ยังไม่ถึงขั้นที่เชี่ยวชาญ หนำซ้ำพลังอิทธิฤทธิ์และตบะขั้นของเขาก็ยังด้อยกว่าอยู่หลายขุม”

          “ฮืม” โจวหมิงนั่งลงอย่างขุ่นเคือง ใบหน้าของเขายังคงถมึงทึงแต่ไม่ปรากฏร่องรอยของความวิตกกังวล

          “เจ้าเด็กหวังลู่ประเมินเพลงกระบี่กระจ่างใจต่ำไป เขาคิดว่าหากทำลายกระบี่บินของหลิวหลีได้หมดแล้วตัวเองจะชนะอย่างนั้นหรือ”

          ฮว๋าอี้ถามกลับ “โอ้ ท่านหมายความว่า?”

          “ฮึ กระบี่บินรวมร่างเป็นวิชาที่หลิวหลีเพิ่งจะเริ่มฝึก ดังนั้นนางจึงยังห่างไกลจากคำว่าเชี่ยวชาญ ความสามารถที่แท้จริงของนางคือการต่อสู้ระยะประชิด ทันทีที่กระบี่บินของนางถูกทำลายไปหมดนางก็ต้องต่อสู้ในระยะประชิด และเมื่อนั้นหวังลู่ก็ไม่มีโอกาสชนะแน่ ต่อให้มีคำสาบานกับปีศาจในใจช่วยก็เถอะ”

          เรื่องนี้เข้าใจไม่ยาก ตอนนี้หวังลู่อยู่ในจุดสุดยอดที่วิชากระบี่ไร้ลักษณ์ของเขาได้พลังเพิ่มจากคำสาบานกับปีศาจในใจและพลังอิทธิฤทธิ์ยังคงท่วมท้นจากการที่เขาเพิ่งบรรลุตบะขั้นสร้างฐาน ดังนั้นเขาจึงสามารถประจัญหน้ากับเพลงกระบี่ไร้ลักษณ์ของหลิวหลีได้ ทว่าเพราะเหตุนี้เขาจึงได้รับบาดเจ็บค่อนข้างหนัก ดังนั้นกระบี่ไร้ลักษณ์ของเขาจึงไม่อาจรักษาระดับสุดยอดเอาไว้ได้

          ดังนั้นการที่หลิวหลีเลือกกระบี่บินเป็นตัวเลือกแรกในการต่อสู้กับหวังลู่จึงถือว่าถูกต้อง แม้นางจะตกหลุมพรางของหวังลู่ แต่โอกาสที่นางจะชนะก็ยังมีสูงกว่า… ท้ายที่สุดก็ไม่มีใครปฏิเสธได้ว่าหลิวหลีนั้นแข็งแกร่งกว่าอีกฝ่าย

          ฮว๋าอี้กล่าว “ถึงอย่างนั้น นี่ก็ถือเป็นความสำเร็จที่ยอดเยี่ยม สิ่งที่หวังลู่ทำเกินความคาดหมายของทุกคนไปมากโข”

          ศิษย์พี่หลายคนของนางส่งเสียงฮึพร้อมเพรียงกัน แต่ไม่มีใครปฏิเสธออกมาสักคน

          หากเป็นคนอื่น ย่อมไม่มีใครทำได้อย่างหวังลู่ แม้เด็กคนนี้จะเจ้าเล่ห์ไม่แพ้ผู้เป็นอาจารย์… แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าเขานั้นไร้เทียมทานจริงๆ

          “น่าสมเพชที่เขานั้นหลงตัวเองจนเข้าขั้นตาบอด ข้าล่ะอยากรู้นักว่าถ้าเจ้านั่นเสียเงินที่พนันข้างตัวเองลงไปเขาจะทำอย่างไร”

          ระหว่างที่เหล่าผู้อาวุโสกำลังพูดคุยกันอยู่ สถานการณ์บนลานประลองก็เปลี่ยนไปอีกครั้ง

          จากกระบี่บินสิบสองเล่มตอนเริ่มการแข่งขัน ตอนนี้เหลือเพียงสามเล่มเท่านั้น แม้นางจะยังดูเหม่อลอยและจิตใจของนางก็ไม่รื่นเริงและว่องไวดังเก่า แต่นางกลับกระชับกระบี่ในมืออย่างไม่รู้ตัวและทิ้งแผนที่จะทำให้อีกฝ่ายบาดเจ็บลง จากนั้นหญิงสาวก็พุ่งตรงไปข้างหน้าราวกับสายลม กระบี่สองเล่มลุกเป็นไฟขึ้นมาพร้อมกัน ดูราวกับเป็นอุกกาบาตที่กำลังโชติช่วงสองดวง

          กระบี่อัคคีขั้นที่ยี่สิบ ทวิพิฆาต!

          สีหน้าของหวังลู่เปลี่ยนไปอย่างฉับพลัน มือซ้ายของเขาลูบกระบี่แห่งเขาคุนเบาๆ พลางเผยไพ่ใบสุดท้ายออกมา

          สลักชั้นที่สี่ของกระบี่แห่งเขาคุนแตกออก สารทอาภา จิตวิญญาณกระบี่ปรากฏโฉมในสภาพโปร่งใสอยู่ข้างๆ หวังลู่ ฝ่ามือที่บอบบางของนางกระชับด้ามกระบี่พร้อมกับอีกฝ่าย จากนั้นคนทั้งสองก็ยกกระบี่แห่งเขาคุนขึ้นพร้อมกันและแกว่งตรงไปยังหลิวหลี

          ตู้ม!

          เมื่อเสียงปะทะกันดังสั่นหวั่นไหวสงบลง วงแหวนเพลิงก็ขยายตัวกว้างขึ้นขณะแผดเผาเหล่าเมฆและใช้พวกมันต่างเชื้อเพลิง พื้นที่ภายในวงแหวนถูกเผาไหม้ในชั่วพริบตา ภายใต้ข้อจำกัดของค่ายกลยับยั้งของลานเมฆา ไฟที่ว่านี่ก็ไม่ต่างจากไฟบรรลัยกัลป์

          การปะทะกันเมื่อคู่เพียงพอที่จะเผาไหม้เมืองทั้งเมือได้

          หลิวหลีที่อยู่ท่ามกลางไฟนรกไอออกมาหลายครั้ง และที่มุมปากก็มีเลือดหยดออกมาไม่ขาดสาย นางบาดเจ็บภายใน ทว่ามือทั้งสองข้างยังกำกระบี่ไว้แน่น ท่าทางที่สง่างามของนางก็ไม่ลดลงสักเสี้ยว!

          ที่ใจกลางเปลวเพลิงอีกฝั่งหนึ่งปรากฏลำแสงสีทองขึ้น

          มันคือแสงจากอาคมที่ผู้อาวุโสร่ายเอาไว้เพื่อปกป้องชีวิตของฝ่ายแพ้… หลิวหลีชนะการแข่งขันในครั้งนี้!

——

          ขณะที่ฝูงชนระเบิดเสียงโห่ร้องยินดีออกมา บางพื้นที่กลับนิ่งเงียบ ศิษย์ของสำนักกระบี่วิญญาณบางคนและศิษย์ของสำนักเซียนหมื่นเวทต่างตัวแข็งทื่อจ้องมองไปที่ผลบนลานประลองอย่างไม่เชื่อสายตา

          เจ้าหวังลู่นั่น…แพ้จริงๆ หรือ

          หากดูกันตามเหตุผล ผลที่ออกมาถือว่าเหมาะสม และแม้ศิษย์ของสำนักเซียนหมื่นเวทหลายคนจะเทเงินหมดหน้าตักให้ฝ่ายหลิวหลี แต่เมื่อผลแพ้ชนะออกมา พวกเขาก็ยังไม่อยากจะเชื่ออยู่ดี

          เจ้าหวังลู่จอมสร้างอภินิหารไม่อาจสร้างอภินิหารได้อีกแล้วหรือ

          “จะว่าไปแล้ว… หากข้าจำไม่ผิด เจ้าเด็กหวังลู่นั่นวางเงินเดิมพันฝั่งตัวเองไปเก้าสิบล้านศิลาวิญญาณนี่”

          “หึๆ หากรักชีวิต ก็อยู่ให้ห่างจากการพนันเสียเถอะ”

——

          ในตอนนั้นเอง ที่บนลานประลอง หวังลู่ซึ่งถูกลำแสงสีทองโอบล้อมอยู่มีสีหน้าเศร้าสร้อย

          “ระยำเถอะ สุดท้ายข้าก็แพ้อยู่ดี”

          หลิวหลีที่ยืนอยู่ตรงข้ามเก็บกระบี่และยิ้มน้อยๆ จิตกระบี่รุนแรงถูกแทนที่ด้วยรอยยิ้มที่ใสซื่อบริสุทธิ์

          “เป็นการต่อสู้ที่วิเศษมาก ข้าไม่คิดว่าเจ้าจะอำมหิตได้ถึงเพียงนี้! ท่านอาเจ็ดเคยกล่าวว่าคนจากยอดเขาไร้ลักษณ์เก่งเพียงเรื่องเจ้าเล่ห์เพทุบาย ในขณะที่ขั้นตบะกลับต่ำเตี้ย…”

          หวังลู่ยิ้มหยัน “คำพูดปลอบใจของเจ้านี่มันช่างเคืองหูจริงๆ” จากนั้นเขาก็ส่ายศีรษะ “ช่างเถอะ ก่อนอื่นข้าต้องยินดีกับชัยชนะของเจ้าด้วย”

          พูดจบเขาก็ยื่นมือไปให้หลิวหลีด้วยท่าทางที่เป็นมิตร แม้หลิวหลีจะใสซื่อ แต่ก็ไม่ได้ไร้มารยาท นางจึงเดินเข้ามาจับมือกับหวังลู่อย่างยินดี

          อึดใจถัดมา หมอกสีชมพูก็พุ่งออกมาจากมือของหวังลู่ ร่างของหลิวหลีโอนเอนไปมาจากนั้นก็ร่วงลงไป

          หวังลู่เอื้อมมือไปรับร่างของหญิงสาวเอาไว้ แล้วค่อยๆ วางนางลงบนพื้นจากนั้นก็กดบางอย่างที่อยู่บนไหล่ตัวเอง

          แสงสีทองที่โอมล้อมร่างของหวังลู่อยู่ก็พลันสลายไป

          ความเงียบงันเข้าปกคลุมด้านนอกเวทีในทันที

          หวังลู่ยืนอยู่บนเวทีอยู่พักหนึ่งจากนั้นก็กระอักเลือกออกมา อาการบาดเจ็บของเขานั้นรุนแรงเสียจนเขาอาจเป็นลมล้มไปเมื่อใดก็ได้ แต่ในเมื่อไม่มีผู้ใดพูดอะไรสักที เช่นนั้นเขาจึงต้องเปิดปากเสียเอง

          “แม้จะรู้สึกเสียใจ แต่ข้าก็ต้องกล่าวว่า ข้าชนะ”

…………………………………