ภาคที่ 4 ช่วงชิงตำแหน่งสูงสุด ตอนที่ 44.1 แม้จะรู้สึกเสียใจ แต่ข้าก็ต้องพูด (1)

กาลหนึ่งเคยมีเขากระบี่วิญญาณ

ตอนที่ 44 แม้จะรู้สึกเสียใจ แต่ข้าก็ต้องพูด (1) โดย Ink Stone_Fantasy

 

          การแข่งขันรอบชิงชนะเลิศบนลานเมฆากินเวลามาพักใหญ่แล้ว

          ที่การแข่งขันครั้งนี้ใช้เวลาค่อนข้างนานเป็นเพราะในการต่อสู้ระหว่างศิษย์ชั้นนำที่ได้รับการดูแลจากผู้อาวุโส ปกติแล้วทั้งสองฝั่งจะใส่กันเต็มแรงโดยไม่ออมมือ และใช้ไพ่ทุกใบที่มีโดยไม่สงวนไว้ ดังนั้นผลการแข่งขันจึงออกมาอย่างรวดเร็ว

          ความจริงแล้วในการแข่งขันสองรอบก่อนหน้านี้ ผลการแข่งขันถูกตัดสินภายในไม่กี่กระบวนท่า จังหวะในการต่อสู้ก็รวดเร็วและน่าตื่นเต้น ฝ่ายที่ได้เปรียบมักเปลี่ยนการโจมตีหลายครั้งในเวลาสั้นๆ ทำให้เหล่าคนดูตื่นเต้นจนลืมหายใจ

          ก่อนการแข่งขันรอบชิงชนะเลิศ หลายคนต่างคิดว่าการแข่งขันรอบรองชนะเลิศระหว่างจ้านจื่อเย่กับหลิวหลีคือการต่อสู้ที่สุดยอดที่สุดในบรรดาศิษย์ชั้นนำของทั้งสองสำนัก การแลกเปลี่ยนกันไม่กี่กระบวนท่าระหว่างวิชาหยั่งรู้หมื่นเวทกับวิชากระบี่กระจ่างใจทำเอาผู้ชมหายใจหายคอไม่ออก

          ทว่าสถานการณ์บนลานประลองของการแข่งขันวันนี้กลับทำให้ผู้ชมรู้สึกสับสนยิ่งนัก

          “…หลายปีมานี้ ตาแก่อย่างข้าได้ดูการต่อสู้ของศิษย์รุ่นเยาว์มาไม่น้อย แต่นี่เป็นครั้งแรกที่ข้าไม่อาจเข้าใจได้ว่ากำลังดูอะไรอยู่”

          ชายแก่หน้าทารกผมขาว ทั้งยังมีเคราหรอมแหรมและคิ้วเรียวสีขาวรู้สึกอับจนปัญญายิ่งนัก

          ผู้อาวุโสจากสำนักลักษณ์เรือนหมื่นผู้นี้มีความรู้ลึกซึ้งเรื่องขั้นตบะและพลังวิญญาณขั้นปฐมที่ทรงพลัง ตั้งแต่เริ่มการแข่งขันมา เขาก็สังเกตทุกการเปลี่ยนแปลงบนลานเมฆาอย่างใกล้ชิด ทว่าข้อมูลที่เขาได้มากลับลึกล้ำเกินที่เขาจะหยั่งถึง

          เหตุใดหวังลู่จึงเปิดการโจมตีก่อน หลิวหลีเป็นกังวลเรื่องอะไร หากไม่เพราะสีหน้าที่เย็นชาของหัวหน้าแคว้นของหอนภาเร้นลับแล้วละก็ เขาย่อมสงสัยว่าการแข่งขันครั้งนี้เป็นการจัดฉากขึ้นแน่นอน

          ขณะกำลังงงงวยอยู่นั้น การปะทะกันซึ่งๆ หน้าครั้งแรกของหวังลู่และหลิวหลีก็บังเกิดขึ้น ข้อมูลที่เขาประจักษ์ต่อสายตาสร้างความตื่นตะลึงให้กับผู้อาวุโสแห่งสำนักลักษณ์เรือนหมื่นยิ่งนัก

          หลายสิ่งยังคงเป็นปริศนา ทว่ามีสิ่งหนึ่งที่เขาสงสัยยิ่งกว่าสงสัย ตบะของหวังลู่อยู่ในขั้นสร้างฐานระดับต้นจริงหรือ!?

          ต่อหน้าผู้บำเพ็ญเซียนตบะขั้นเปลี่ยนวิญญาณเช่นเขา ต่อให้ผู้บำเพ็ญเซียนตบะขั้นสร้างฐานนับร้อยก็ไม่อาจต้านทานความบ้าระห่ำของพลังวิญญาณขั้นปฐมของเขาได้ ทว่าในฐานะผู้อาวุโสฝ่ายสินรางวัลของสำนัก เขารู้ซึ้งดีว่าการบรรลุจากตบะขั้นฝึกปราณไปเป็นขั้นสร้างฐานนั้นไม่ใช่เรื่องง่าย มันคือด่านตรวจที่หนักหนาสาหัสด่านหนึ่ง ขนาดที่ว่าสามารถสร้างความผิดหวังและคับข้องใจให้ผู้บำเพ็ญเซียนจำนวนไม่น้อยในอาณาจักรเก้าแคว้นมาแล้ว แม้แต่ศิษย์ที่มากความสามารถหลายคนยังต้องใช้เวลาเก็บตัวอย่างสันโดษหลายเดือนเพื่อทะลวงจากตบะขั้นฝึกปราณมายังขั้นสร้างฐาน เมื่อพวกเขารวบรวมศักยภาพได้มากพอและกินโอสถที่เกี่ยวข้องกับตบะขั้นสร้างฐาน พวกเขาจึงจะบรรลุสู่ตบะขั้นสร้างฐานได้อย่างราบรื่น

          ตอนที่ศิษย์เอกของสำนักลักษณ์เรือนหมื่นบรรลุสู่ตบะขั้นสร้างฐาน เขาไม่จำเป็นต้องกินโอสถหรือเก็บตัวสันโดษ เขาเพียงแค่ต้องทำสมาธิทั้งวันทั้งคืนในห้องบำเพ็ญเซียนเพื่อสร้างวิหารหยก ก็จะบรรลุสู่ตบะขั้นสร้างฐานได้สำเร็จ ถือได้ว่าเป็นผู้วิเศษด้านบำเพ็ญเซียนหาตัวจับยากที่ร้อยปีจะมีสักครั้งของสำนัก ว่ากันว่าฉยงฮว๋าของสำนักเซิ่งจิงเพียงแค่ครุ่นคิดอยู่พักหนึ่งก่อนที่จะเริ่มสร้างวิหารหยกของตัวเอง ซึ่งถือเป็นตำนานที่น่าทึ่งสำหรับคนส่วนใหญ่ในพันธมิตรหมื่นเซียน

          แต่ตอนนี้ สิ่งที่มหัศจรรย์ยิ่งกว่าตำนานที่ว่านั่นได้ปรากฏตรงหน้าของเขาแล้ว

          คนคนหนึ่งสามารถบรรลุตบะขั้นสร้างฐานได้ระหว่างกำลังต่อสู้! หนำซ้ำยังเกิดขึ้นในช่วงที่กำลังปะทะกันอย่างรุนแรงด้วย! ว่ากันว่าหลิวหลีเองก็บรรลุตบะขั้นสร้างฐานที่ได้หุบเขาเมฆาโลหิต ทว่าการสู้รบครั้งนั้นกินเวลาหลายวันหลายคืน ดังนั้นจึงไม่มีใครรู้ว่าหลิวหลีใช้เวลานานเท่าใดในการทะลวงสู่ตบะขั้นสร้างฐาน ทว่าหวังลู่กลับไม่เสียเวลาแม้แต่น้อย เขาผ่านด่านตรวจสำคัญและเข้าสู่ตบะขั้นสร้างฐานอย่างราบรื่น!

          หลายคนต่างก็ประหลาดใจไม่แพ้ผู้อาวุโสจากสำนักลักษณ์เรือนหมื่นผู้นี้ ศิษย์ทั้งห้าคนของสำนักเซียนหมื่นเวทต่างพากันอ้าปากค้าง พวกเขารู้สึกราวกับว่าพลังวิญญาณขั้นปฐมถูกแช่แข็ง ศิษย์พี่ใหญ่จ้านจื่อเย่กัดริมฝีปากแน่นทั้งรู้สึกโกรธและตกใจพอๆ กัน

          ในฐานะตัวแทนหลักของสำนักเซียนหมื่นเวท เขาใช้เวลาอึดใจใหญ่ๆ ในการบรรลุตบะขั้นสร้างฐาน และจากข่าวลือที่ได้ยินมา ดูเหมือนว่าฉยงฮว๋าเองก็ใช้เวลาพอๆ กับเขา ซึ่งถือเป็นสถิติของพันธมิตรหมื่นเซียน ทว่าเมื่อเทียบกับหวังลู่ที่บรรลุตบะขั้นสร้างฐานได้ในขณะกำลังพูดคุยและยิ้ม… ยังจำเป็นต้องเปรียบเทียบอีกหรือ

          มีเพียงผู้อาวุโสของสำนักกระบี่วิญญาณเท่านั้นที่ไม่มีท่าทีประหลาดใจ

          อย่างไรเสียหวังลู่ก็เป็นผู้บำเพ็ญเซียนที่ครอบครองรากวิญญาณนภา แม้คุณสมบัติของรากวิญญาณชนิดนี้จะเป็นสิ่งเฮงซวยของโลกบำเพ็ญเซียนในอาณาจักรเก้าแคว้นในปัจจุบัน แต่อย่างน้อยในการทะลวงผ่านคอขวด รากวิญญาณนภาก็มีข้อได้เปรียบที่ดีงามยิ่งกว่ารากวิญญาณชนิดอื่น นั่นคือการเปลี่ยนผ่านระหว่างขั้นจะเป็นไปได้อย่างราบรื่นโดยไม่มีแรงต้าน

          แน่นอนว่าการที่ตบะขั้นฝึกปราณระดับสูงจะบรรลุสู่ตบะขั้นสร้างฐานอย่างปุบปับจะถือว่าเป็นปาฏิหาริย์ ทว่าหากมีโอสถช่วยบวกกับพลังจากการสาบานกับปีศาจในใจ ก็ไม่ใช่เรื่องยากที่จะเข้าใจได้

          ที่พวกเขาประหลาดใจก็คือการที่จู่ๆ หลิวหลีก็เกิดเหม่อขึ้นมาในชั่วขณะสุดท้ายมากกว่า

          ผลจากการปะทะกันซึ่งๆ หน้ากับหวังลู่ที่เพิ่งบรรลุตบะขั้นสร้างฐานและพลังวิญญาณขั้นปฐมกำลังอยู่ในช่วงสูงสุดก็คือคู่ต่อสู้ของนางบาดเจ็บเล็กน้อย ทว่านางเองก็เสียกระบี่ไปถึงสามเล่ม แม้พลังจู่โจมของกระบี่กระจ่างใจจะไม่เปลี่ยนแปลง ความเร็วของกระบี่และจิตกระบี่กลับหายไป ซึ่งเป็นสิ่งที่ไม่มีทางเกินขึ้นกับหลิวหลีในยามปกติแน่นอน!

          ในขณะที่คนดูกำลังงุนงงอยู่ การปะทะกันซึ่งๆ หน้ารอบที่สองระหว่างหวังลู่และหลิวหลีก็มาถึงอีกครั้ง!

          หลังจากที่ปะทะกัน สายตาว่างเปล่าของหญิงสาวก็หายไป ดวงตาของนางกลับมามีชีวิตชีวาและความเฉียบแหลมดังเดิม  หญิงสาวจัดตำแหน่งของกระบี่บินเก้าเล่มที่เหลือและชี้นิ้วชี้ของนางไปเบื้องหน้า กระบี่บินของนางก็กระจายตัวเข้าล้อมรอบฝ่ายตรงข้ามและพุ่งเข้าโจมตีทีละเล่มอย่างต่อเนื่องซึ่งเป็นกลยุทธ์ที่ยากจะโต้กลับ หวังลู่เหยียดยิ้ม กระบี่แห่งเขาคุนที่นิ่งสนิทอยู่กลับมาเรืองแสงและมีชีวิตชีวาขึ้นราวกับสายลม ร่างโปร่งบางของหญิงสาวที่สง่างามปรากฏอยู่บนกระบี่ชั่วครู่หนึ่ง เป็นสารทอาภา จิตวิญญาณกระบี่ที่กำลังตื่นเต้นอย่างยิ่งยวดนั่นเอง

          ภายในระยะการตั้งรับของกระบี่สามชุ่น กระบี่แห่งเขาคุนนั้นเป็นเหมือนภาพลวงตาที่ไม่ยอมให้กระบี่บินแม้แต่เล่มเดียวของฝ่ายตรงข้ามทะลวงเข้ามาได้ กระบี่กระจ่างใจที่เคยสร้างความปวดหัวขนานหนักให้คนของสำนักเซียนหมื่นเวทกลับไม่อาจเจาะทะลุการตั้งรับของกระบี่ของหวังลู่ได้ ท่ามกลางเสียงปะทะของกระบี่ สีหน้าของหวังลู่ก็ค่อยๆ เคร่งเครียดขึ้น

          “ทรงพลังขึ้นเพราะคำสาบานกับปีศาจในใจ ทั้งยังมีพลังอิทธิฤทธิ์ของตบะขั้นสร้างฐานที่กำลังไหลพล่าน… ครั้งนี้ความสามารถในการตั้งรับของหวังลู่ถือว่าสมบูรณ์แบบ ทว่าหลิวหลีใช้การโจมตีระยะไกล ทำให้หวังลู่ไม่อาจตอบโต้กลับได้ ในระยะยาวหลิวหลีก็ยังมีโอกาสชนะสูงกว่า”

          ทันทีที่ฮว๋าอี้ออกความเห็น นางก็เห็นหวังลู่เหยียดยิ้ม ปัดป้องกระบี่บินได้อีกสามเล่ม จากนั้นก็เคลื่อนที่ไปข้างหน้าหนึ่งก้าว

          หลิวหลีโผกลับอย่างใจเย็น กระโปรงหลากสีของนางเกิดเป็นสายรุ้งสดใสอยู่พริบตาหนึ่ง ในด้านความเร็วนั้น สิบหวังลู่ก็ไม่อาจเทียบได้กลับกระบี่กระจ่างใจของหลิวหลี

          ทว่าอึดใจถัดมา การเคลื่อนไหวของหญิงสาวก็หยุดลง สายตาของนางกลับมาว่างเปล่าอีกครั้ง นางรวมกระบี่บินเก้าเล่มเข้าด้วยกัน จากนั้นก็พลันปลดปล่อยพลังการโจมตีที่รุนแรง ซึ่งถือว่าเป็นการโจมตีที่ไม่ได้คาดการณ์เอาไว้ก่อน!

          ตู้ม!

          ระลอกเมฆกระจัดกระจายอีกครั้ง หลังจากการปะทะกันในรอบที่สอง ผู้ชมต่างก็เห็นว่ากระบี่บินอีกสามเล่มของหลิวหลีถูกทำลายลง และหวังลู่ก็ไอออกมาอีก อาการบาดเจ็บของเขานั้นไม่ใช่เบา แต่ก็ยังไม่ส่งผลต่อภาพรวม

          เมื่อเห็นกระบี่บินที่เหลือเพียงหกเล่มอยู่กลางอากาศ คนส่วนใหญ่ต่างก็รู้สึกว่าหลิวหลีต้องสูญเสียไม่น้อย ทว่า… เมื่อครู่นี้เกิดอะไรขึ้นกันแน่

……………………………………..