ภาคที่ 4 ช่วงชิงตำแหน่งสูงสุด ตอนที่ 43 สี่ครั้งต่อวัน

กาลหนึ่งเคยมีเขากระบี่วิญญาณ

ตอนที่ 43 สี่ครั้งต่อวัน โดย Ink Stone_Fantasy

 

          การแข่งขันระหว่างสำนักเซียนหมื่นเวทและสำนักกระบี่วิญญาณตอนนี้เหลือเพียงการชิงชนะเลิศกันของสำนักกระบี่วิญญาณเท่านั้น กระนั้นการแข่งขันรอบสุดท้ายนี้กลับไม่หย่อนความน่าสนใจลงสักนิด แค่กระบวนท่าแรกก็ทำเอาผู้ชมต่างส่งเสียงร้องด้วยความแปลกใจแล้ว

          หวังลู่เปิดฉากโจมตีก่อนจริงๆ !?

          ในการแข่งขันสองรอบก่อนหน้านี้ คุณสมบัติพิเศษของหวังลู่เป็นที่รับรู้ไปทั่ว เขามีความสามารถด้านตั้งรับและโต้กลับที่น่าทึ่ง แต่ข้อจำกัดก็มีไม่น้อยเช่นกัน เขาไม่เพียงขาดความสามารถด้านการจู่โจม แม้ในด้านตั้งรับ หรือการใช้ร่างกายและพลังอิทธิฤทธิ์ก็จำเป็นต้องแม่นยำ และเมื่ออยู่ต่อหน้าหลิวหลีเขาก็ยิ่งต้องระวังอย่างยิ่งยวด! และในการโจมตีที่ดูเหมือนจะรุนแรงนี้ก็สามารถเผยจุดอ่อนออกมาได้ง่ายมาก ทันทีที่อีกฝ่ายสำแดงเพลงกระบี่กระจ่างใจออกมา วิชาตั้งรับกระบี่สามฉื่อที่เขาภาคภูมิใจก็จะโดนทะลวงไม่เหลือดี

          ทว่าทุกคนก็กลับตกตะลึงที่หลิวหลีไม่มีทีท่าจะขยับตัว นางไม่ยกกระบี่ในมือขึ้นมาแม้เพียงสักชุ่น ทั้งยังไม่โคจรพลังอิทธิฤทธิ์ในกายอีกด้วย นางเพียงแค่จ้องไปยังกระบี่แห่งเขาคุนของหวังลู่ที่ตรงเข้าหานาง โดยไม่มีทีท่าหวั่นไหวแม้แต่น้อย!

          แบบนี้ถือว่าดูถูกการโจมตีของอีกฝ่ายหรือเปล่า แม้พลังการโจมตีของหวังลู่จะยังไม่เข้าขั้น แต่กระบี่แห่งเขาคุนในมือของเขานั้นแหลมคมเป็นอย่างมาก สลักสามชั้นจากทั้งหมดเก้าชั้นของมันถูกถอดออก ทำให้จิตกระบี่ที่แหลมคมสามารถแทงทะลุร่างของผู้บำเพ็ญเซียนขั้นสร้างฐานได้ ดังนั้นหากนางยอมให้กระบี่แห่งเขาคุนทะลวงร่าง เช่นนั้นก็ไม่ต่างจากการฆ่าตัวตาย!

          ทว่าอึดใจถัดมา หวังลู่ที่กำลังเสือกกระบี่ไปด้านหน้าก็หยุดมือลง กระบี่แห่งเขาคุนหยุดตรงหน้าเป้าหมายห่างกันเพียงเส้นผมเดียว

          หวังลู่ส่งเสียงฮึจากนั้นก็ถอนกระบี่ออก เขาสาวเท้าไปด้านหน้า แขนข้างซ้ายพุ่งตรงไปที่ลำคอของหลิวหลี หญิงสาวอดนิ่วหน้าเล็กน้อยไม่ได้ มือที่กำกระบี่อยู่ขยับไปด้านหน้าโดยไม่ทันรู้ตัว ทว่าก่อนที่มันจะสัมผัสหวังลู่ หลิวหลีก็หยุดมือลง

          “ช่างมีสัญชาตญาณที่เฉียบคมนัก สมแล้วกับที่เป็นกระบี่กระจ่างใจ”

          ดวงตาของหวังลู่จับจ้องไปที่หลิวหลี ร่างของเขาก็สะท้อนอยู่ในดวงตากระจ่างใสที่ไม่มีสิ่งใดปนเปื้อนของหญิงสาวเช่นกัน

          ท่วงท่าเหล่านี้ก่อกวนจิตใจของผู้ชมหลายต่อหลายคน แม้แต่ผู้บำเพ็ญเซียนขั้นกำเนิดใหม่จากสำนักนอกบางคนก็ฉงนไม่น้อย เหตุใดการกระทำของศิษย์รุ่นเยาว์ทั้งสองนี้ถึงได้เข้าใจยากนัก

          ทว่าทันทีที่เห็นฉากเบื้องหน้า สีหน้าของผู้อาวุโสหลายคนของสำนักกระบี่วิญญาณก็เปลี่ยนไปอย่างฉับพลัน

          หลิวเสี่ยนเป็นคนแรกที่แสดงปฏิกิริยา “วิธีการต่อสู้เช่นนี้ของหวังลู่ หรือนี่จะเป็น…”

          “ฮึ สมแล้วที่เป็นศิษย์ของศิษย์น้องหญิงห้า แน่นอนว่าเขาย่อมเดินทางสายนี้เช่นกัน” ฟางเฮ่อดูเหมือนจะคิดถึงอะไรบางอย่างที่ไม่น่าอภิรมย์นัก สีหน้าจริงจังของตาแก่หัวโบราณยิ่งดูถมึงทึงเข้าไปใหญ่

          “ฮ่าๆๆ เจ้าเด็กนี่ทำจริงเสียด้วย ศิษย์พี่โจวหมิง ที่ท่านต้องกังวลก็สมเหตุสมผลแล้ว!” ฮว๋าอี้ที่เลือดเย็นที่สุดหัวเราะออกมาไม่หยุด

          โจวหมิงส่ายศีรษะพลางยิ้มหยัน ในใจรู้สึกชื่นชมศิษย์และอาจารย์จากยอดเขาไร้ลักษณ์ไม่น้อย

          “เพียงแค่สองวัน เขาก็สามารถฝึกได้สำเร็จ ข้าจำได้ว่าคราวนั้น ศิษย์น้องหญิงห้ายังไม่เร็วถึงเพียงนี้”

          ฮวาหยินยิ้มอย่างรื่นเริง “ร้อยปีที่อยู่ร่วมสำนักเดียวกันมา ในที่สุดข้าก็ได้เจอคนที่หน้าไม่อายยิ่งกว่าศิษย์พี่หญิงห้าเสียที!”

          ฟางเฮ่พูดเย้ย “วิชาที่ไร้เกียรติ!”

          ทันทีที่จบคำ กระบี่แห่งเขาคุนของหวังลู่ก็กวัดแกว่งขึ้นมาอีกรอบ ครั้งนี้เป้าหมายของมันอยู่ที่ข้อมือของหลิวหลี หญิงสาวขมวดคิ้วทันทีและไม่มีทางเลือกนอกจากสู้กลับ กระบี่อัคคีและกระบี่แห่งเขาคุนพลันประสานกัน ทว่ากลับไม่มีการปะทะรุนแรงอย่างที่คาดไว้ กระบี่ที่รวดเร็วและว่องไวทั้งสองเล่มถูกดึงกลับด้วยกันทั้งคู่ จบกระบวนท่าเพียงเท่านี้

          ทว่าหากพินิจดูอย่างใกล้ชิด ย่อมเห็นว่าข้อมือของคนทั้งคู่นั้นสั่นเล็กน้อย

          ฮว๋าอี้ที่มองอยู่ด้านล่างลานประลองอดตะโกนออกมาไม่ได้ “ประสิทธิภาพดีอย่างอย่างไม่น่าเชื่อ”

          ผู้อาวุโสหลายคนต่างนิ่งเงียบ เห็นได้ชัดว่ากำลังนึกถึงความทรงจำแสนเศร้าอยู่

          เหล่าผู้อาวุโสของสำนักกระบี่วิญญาณต่างคุ้นเคยกับกลยุทธ์ที่ไม่เหมือนใครของหวังอู่เป็นอย่างดี แม้นางจะสาบานกับปีศาจในใจซึ่งทำให้นางไม่อาจโจมตีใครให้บาดเจ็บก่อนได้ ในการต่อสู้จริงๆ นางจึงทำเพียงชี้ปลายกระบี่ไปที่จมูกของอีกฝ่าย ตราบใดที่ไม่ทำให้อีกฝ่ายเจ็บตัว ก็ไม่ถือว่านางผิดคำสาบาน ทว่าการกระทำเช่นนี้มักเป็นการเชิญชวนให้อีกฝ่ายโจมตีกลับ ซึ่งนางก็จะโต้กลับอีกฝ่ายจนถึงแก่ชีวิตหรือบาดเจ็บและอ้างว่าเป็นการป้องกันตัว

          จากคำพูดของนาง มันก็เหมือนปล่อยห่าธนูไปที่ปากทางป้อมปราการของอีกฝ่าย เพื่อล่อให้อีกฝ่ายโจมตีกลับ จากนั้นก็เพ่งความสนใจไปที่การป้องกันของปราสาท… ซึ่งถือได้ว่าเป็นกระบวนท่าที่หน้าไม่อายที่สุดในอาณาจักรเก้าแคว้น

          ไม่มีคนธรรมดาที่ไหนจะเลียนแบบรูปแบบการโจมตีเช่นนี้ได้ ลักษณะพิเศษของการสาบานกับปีศาจในใจก็คือ การแลกเปลี่ยนที่เท่าเทียมกัน ยิ่งสังเวยเท่าไร ก็ยิ่งได้สิ่งตอบแทนมากเท่านั้น สำหรับคนทั่วไป เมื่อพวกเขาทำความเข้าใจรูปแบบการต่อสู้นี้ พวกเขาจะไม่รู้สึกถึงข้อเสีย ทว่าพอพวกเขาได้รับรู้หลักการที่ซ่อนอยู่ พลังความแข็งแกร่งก็ย่อมจำกัดลง ทว่าศิษย์และอาจารย์คู่นี้กลับไร้ยางอายกว่าคนทั่วไปหลายเท่านัก พวกเขาเชื่อว่าได้สังเวยอนาคตอันยิ่งใหญ่ของพวกตนไป และยังเชื่อว่าหากพวกเขาคิดจะฝึกวิชากระบี่กระจ่างใจ พวกเขาจะบรรลุได้ถึงขั้นของโจวหมิงและหลิวหลี… ความหน้าด้านหน้าทนของพวกเขาช่างเหลือทนนัก!

          นอกจากนั้น ระหว่างที่ต่อสู้ พวกเขาต้องควบคุมการกระทำของตนอย่างเข้มงวด พวกเขาไม่อาจทำร้ายฝ่ายตรงข้าม ทั้งยังไม่อาจมีเจตนาทำร้ายอีกฝ่าย เมื่ออีกฝ่ายโต้กลับ และหากพวกเขาคิดตอบโต้ด้วยหลักการสะท้อนกลับ ก็ต้องควบคุมระดับพลังอิทธิฤทธิ์อย่างเข้มงวด ซึ่งเป็นสิ่งที่ยากมากเกินคนทั่วไปจะทำได้

          วิชาที่มีเพียงหนึ่งเดียวในโลก วิชาต่อสู้ที่มีเพียงหนึ่งเดียวในโลก คู่ศิษย์อาจารย์ที่มีเพียงหนึ่งเดียวในโลก! ทว่าผลของกระบวนท่านี้ช่างน่าทึ่งยิ่งนัก

          ฮว๋าอี้กล่าวอีก “ตอนนั้นน่ะ ศิษย์พี่หญิงต้องรับมือกับคนหลายคน นางต้องใช้กลยุทธ์นี้ล่อให้พวกเขาโจมตี จากนั้นก็โต้กลับการตอบโต้ของคนพวกนั้นอีกที… ทว่าการจะลวงหลิวหลีน้อยไม่ใช่เรื่องง่าย แม้ปกติเด็กสาวคนนี้จะค่อนข้างทึ่ม ทว่าตอนที่สู้กัน วิชากระบี่กระจ่างใจของนางก็ไม่อาจดูถูกได้… หืม แปลกแฮะ” ขณะคิดอะไรบางอย่างอยู่ ตาของฮว๋าอี้ก็เบิกโพลงขึ้นด้วยความประหลาดใจ “ด้วยพลังที่หลิวหลีมี ทำไมนางถึงจะต้องระวังตัวขนาดนั้นด้วยเล่า”

          หากเป็นคนอื่นที่ต้องเผชิญหน้ากับชุดการตั้งรับป้อมปราการของหวังลู่เช่นนี้ พวกเขาย่อมไร้ซึ่งความหวัง ทว่าไม่ใช่กับหลิวหลี ความเก่งกาจของนางนั้นมากกว่าหวังลู่หลายเท่านัก แค่การโจมตีเพียงกระบวนท่าเดียวของนางก็สามารถตัดสินผลแพ้ชนะได้แล้ว!

          “นางกังวลอะไรอยู่” ฮว๋าอี้พูดอย่างไม่อยากเชื่อ “อย่าบอกนะว่าหลิวหลีน้อยคิดว่าตัวเองไม่อาจทนต่อการโต้กลับของหวังลู่ได้ ไม่น่าจะใช่ หรือไม่งั้น เป็นไปได้ไหมว่าไม่กี่ปีมานี้ศิษย์พี่หญิงทำให้คำสาบานกับปีศาจในใจทรงพลังขึ้น”

          หลิวเสี่ยนเองก็ฉงนไม่น้อย “เป็นไปไม่ได้ คำสาบานดั้งเดิมนั้นมีการตรวจสอบอย่างละเอียดรอบคอบจากคนหลายคนเมื่อนานมาแล้ว แต่ละพยางค์มีความหมายที่ไม่อาจทดแทนได้… แล้วจะเพิ่มพลังขึ้นง่ายๆ ได้อย่างไร! และเมื่อดูจากระดับของหวังลู่ ยิ่งเป็นไปไม่ได้ที่เขาจะสะท้อนกลับการโจมตีของหลิวหลี แค่จะต้านทานก็ยังยากเสียยิ่งกว่ายาก นอกเสียจากว่าเจ้านั่นจะบรรลุตบะขั้นสร้างฐานแล้วเท่านั้น!”

          การใช้คำสาบานต่อปีศาจในใจช่วยเพิ่มพลังการตั้งรับนั้นน่าทึ่งอย่างแท้จริง แต่ใช่ว่ากระบี่กระจ่างใจของหลิวหลีจะด้อยกว่า แม้แต่จ้านจื่อเย่ที่มีตบะขั้นสร้างฐานระดับกลางยังไม่กล้ารับกระบี่บินสิบสองเล่มของนางซึ่งๆ หน้าเลย แล้วหวังลู่จะต้านทานและกระทั่งสะท้อนกลับได้อย่างไร!?

          โชคร้ายที่มีค่ายกลเขตแดนกั้นระหว่างผู้ชมและลานประลองเพื่อไม่ให้ผู้อาวุโสจากสำนักนอกที่ดูอยู่เบื้องล่างล่วงรู้ความลับเรื่องวิชาของศิษย์ทั้งสอง ดังนั้นลานเมฆาจึงถูกป้องกันไม่ให้มีข้อมูลเล็ดรอดอย่างแน่นหนาพอๆ กับที่ผู้อาวุโสของสำนักกระบี่วิญญาณเองก็ไม่อาจเห็นภาพการต่อสู้โดยรวมได้ ดังนั้นพวกเขาจึงไม่รู้ว่าเหตุใดหลิวหลีถึงได้ระวังตัวกับหลิวหลีนัก!

          ขณะที่เหล่าผู้อาวุโสยังคงงุนงงกันอยู่นั้น สถานการณ์บนลานประลองก็เปลี่ยนไป

          “ศิษย์พี่หญิง ท่านลงมือเถอะ”

          หวังลู่ถือกระบี่ขนานกับอกและกล่าวท้าทาย หลิวหลีจ้องมองที่อีกฝ่ายเนิ่นนาน อย่างไรเสียนางเองก็ฝึกฝนวิชากระบี่กระจ่างใจมาหลายปี อึดใจถัดมานางจึงตัดสินใจลงมือ ทว่าหลิวหลีกลับระมัดตัวอย่างไม่น่าเชื่อ จากกระบี่บินสิบสองเล่ม นางเลือกใช้เพียงสองเล่ม นั่นคือกระบี่อัคคีและกระบี่วารีกระจ่างใจ พวกมันพุ่งตรงไปหาหวังลู่รวดเร็วราวเป็นเพียงขนนก

          สิ้นเสียงปะทะ หวังลู่ก็เบี่ยงทิศของกระบี่อัคคีได้อย่างง่ายดาย แล้วพอเขากวัดแกว่งกระบี่อีกครั้ง กระบี่แห่งเข่าคุนก็สามารถสกัดการโจมตีของกระบี่วารีกระจ่างใจได้ กระบี่อัคคีและกระบี่วารีกระจ่างใจที่เคยสร้างความปวดหัวให้ศิษย์ของสำนักเซียนหมื่นเวทมานักต่อนักกลับถูกหวังลู่สกัดได้อย่างไร้ซุ่มเสียง

          ทันใดนั้นผู้ชมที่อยู่ด้านล่างลานประลองก็ส่งเสียงอื้ออึง ลู่เฉียนไช่ที่อยู่ในส่วนพักผ่อนของสำนักเซียนหมื่นเวททะลึ่งพรวดขึ้น “พวกเขาสมรู้ร่วมคิดกันชัดๆ! แล้วเหตุใดคนของหอนภาเร้นลับจึงพูดเป็นอีกอย่างเล่า”

          เมื่อนึกขึ้นได้ว่าก่อนหน้านี้เขารวบรวมเงินของตัวเองและศิษย์น้องได้หมื่นศิลาวิญญาณเพื่อลงพนันฝั่งหลิวหลี เขาก็รู้สึกกระวนกระวายขึ้นมาทันที

          สีหน้าของจ้านจื่อเย่ถมึงทึงยิ่งกว่าเดิมหลายเท่า “ไม่ นี่ไม่ใช่การรวมหัวกัน สิ่งที่หลิวหลีกลัวทำให้นางไม่กล้าออกแรงเต็มกำลัง!”

          “กลัวศีรษะข้าสิ! การโจมตีของนางทรงพลังจะตาย แค่นางตวัดกระบี่เพียงครั้งเดียวก็สามารถจัดการอีกฝ่ายได้ในชั่วอึดใจแท้ๆ! หากนางระวังตัวตอนที่สู้กับข้าละก็ ไม่แน่ว่า…”

          “พอที เงียบปากได้แล้ว!” จ้านจื่อเย่สั่งให้ลู่เฉียนไช่เงียบ ทว่าเขาไม่อาจหยุดอาการกระสับกระส่ายของอีกฝ่ายได้ จนถึงตอนนี้จ้านจื่อเย่เองก็ยังไม่เข้าใจว่าหวังลู่ทำสิ่งใดให้หลิวหลีต้องระมัดระวังตัวขนาดนี้ได้

          การสะท้อนกลับของกระบี่ไร้นามนั้นไร้เทียมทานก็จริง แต่หากจะสะท้อนกลับการโจมตีของหลิวหลี ฝันเอายังจะง่ายกว่า! หลิวหลีกังวลเรื่องอะไรกันแน่

          ความจริงแล้วหลิวหลีไม่มีสิ่งใดให้ต้องกังวล ทันทีที่เข้ามาในลานประลอง นางก็แทบหลงลืมความรู้สึกส่วนใหญ่ไป ทุกย่างก้าวและทุกการกระทำของนางถูกชี้นำโดยกระบี่กระจ่างใจ และตอนนี้กระบี่กระจ่างใจบอกนางว่าห้ามใส่เต็มแรง

          ส่วนเหตุผลนั้น หลิวหลีก็ไม่รู้และไม่คิดจะรู้ ที่ผ่านมานางทำตามญาณหยั่งรู้ของตัวเองมาตลอด และประสบความสำเร็จทุกครั้ง

          ทว่าการเคลื่อนไหวที่เชื่องช้าของหลิวหลีกลับทำให้หวังลู่อึดอัด แม้แรงส่งจากกระบี่ของหญิงสาวจะไม่รุนแรงและต่อเนื่อง แต่อย่างไรเสียมันก็มาจากกระบี่กระจ่างใจ ทุกครั้งที่เขาสกัดมัน หวังลู่รู้สึกได้ถึงความปั่นป่วนที่ใต้ฐาน พลังวิญญาณขั้นปฐมของเขาสั่นสะท้าน… ช่องว่างระหว่างคนทั้งสองไม่ใช่เรื่องเล่นๆ จริงๆ

          ทว่าไม่กี่กระบวนท่าต่อมา แรงโจมตีของกระบี่ของหลิวหลีก็เร็วขึ้น ตำแหน่งกระบี่ของหวังลู่เบี่ยงไปเล็กน้อยทำให้เขาไม่ทันตั้งตัว หวังลู่พยายามอย่างหนักที่จะสกัดการโจมตีครั้งนี้ ทว่าร่างของเขากลับสั่น พลังอิทธิฤทธิ์แกว่งไปมา และเผยให้เห็นจุดอ่อนอย่างไม่ทันตั้งตัว

          อึดใจถัดมา กระบี่บินเจ็ดเล่มที่อยู่ด้านหลังหลิวหลีก็รวมตัวกัน ทว่าทันทีที่หญิงสาวยกมือขึ้นพร้อมที่จะปลดปล่อยกระบี่ นางก็เกิดลังเลขึ้นมา

          กระบี่กระจ่างใจส่งสัญญาณเตือนเบาๆ ว่ามีอันตรายใหญ่หลวงรออยู่เบื้องหน้า หลิวหลีที่เชื่อในญาณหยั่งรู้ของตัวเองมาตลอดจึงลดแขนลง แยกกระบี่บินออกจากกัน และกลับไปถ่วงเวลาการต่อสู้กับอีกฝ่ายด้วยการปล่อยพลังกระบี่ใส่หวังลู่ตามเดิม

          ตอนนั้นเอง หวังลู่ก็กวัดแกว่งกระบี่แห่งเขาคุนและเสือกกระบี่เข้ามาหานาง แม้หลิวหลีจะไม่คุ้นเคยกับการสาบานกับปีศาจในใจนัก แต่ด้วยญาณหยั่งรู้ทำให้นางรู้ว่าการโจมตีในครั้งนี้ไม่เป็นอันตรายจึงคิดจะเพิกเฉยเสีย

          อึดใจถัดมาหลิวหลีก็เห็นความเปลี่ยนแปลงบางอย่าง จิตกระบี่ในวิหารหยกของนางก็ขยายตัวขึ้นพร้อมเสียงดังก้อง หญิงสาวยกมือขึ้นมาโดยไม่รู้ตัว กระบี่บินเจ็ดเล่มรวมตัวเป็นหนึ่งและพุ่งตรงไปด้านหน้าทันที!

          “ฮ่า! เข้ามาเลย!”

          แรงส่งของกระบี่ในมือหวังลู่ที่กระจายตัวอยู่ก็พลันกลับมารวมตัวกันแน่น จู่ๆ ร่างของเขาก็ระเบิดไอพลังที่น่าอัศจรรย์ออกมา ผู้อาวุโสหลายคนด้านนอกลานประลองต่างทะลึ่งพรวดขึ้นมา ดวงตาเต็มไปด้วยความประหลาดใจ

          “จู่ๆ ก็บรรลุขั้นสร้างฐานระหว่างการต่อสู้เนี่ยนะ”

          ทว่าผู้อาวุโสทั้งหลายต่างไม่มีเวลามาหมกมุ่นกับความอัศจรรย์ใจที่จู่ๆ หวังลู่ก็บรรลุตบะขั้นสร้างฐานระหว่างการต่อสู้ เพราะตอนนี้พวกเขาไม่เห็นว่าหลิวหลีจะสนใจกับการเปลี่ยนแปลงอย่างฉับพลันตรงหน้าสักนิด กระบี่บินดูไม่สั่นไหวและพร้อมที่จะปะทะกับกระบี่ไร้นามของยอดเขาไร้ลักษณ์ สายตาที่มีชีวิตชีวาและเฉียบแหลมของหญิงสาวหายไป สิ่งเดียวที่หลงเหลืออยู่คือสายตาที่ว่างเปล่า

          อึดใจถัดมา กระบี่แห่งเขาคุนก็ปะทะกับกระบี่กระจ่างใจเต็มแรง!

          เสียงปะทะที่รอคอยมานานดังขึ้น เหล่าเมฆกระจัดกระจายไปทั่วลานเมฆา แสดงให้เห็นพลังรุนแรงที่เกิดขึ้นจากการปะทะกันของกระบี่

          ชั่วครู่ถัดมา ผลก็ประจักษ์ต่อสายตาทุกคน หวังลู่ไอออกมาหลายครั้ง ที่มุมปากของเขามีเลือดหยดออกมา ส่วนกระบี่บินสิบสองเล่มของหลิวหลี สามเล่มนั้นแตกเป็นเสี่ยง

          หวังลู่เช็ดเลือดที่มุมปากออก และท่ามกลางสายตางุนงงของคนดูนับไม่ถ้วน เขาก็กล่าวขึ้นพร้อมรอยยิ้ม “ยังเหลืออีกสามครั้ง จัดมาเลย”

 …………………………………..