ตอนที่ 42 เขียวกำเนิดจากน้ำเงิน (2) โดย Ink Stone_Fantasy
หยวนฉาวเหนียนรู้สึกฉุนเฉียวไม่น้อย ทว่าพอเขาได้เห็นว่าแม้น้ำเสียงของอีกฝ่ายจะแสดงความโกรธเกรี้ยวอย่างชัดเจน แต่ความสง่าและความงามที่เหลือล้ำของนางก็ยังคงมีให้เห็นเต็มตา ความโกรธของเขาก็มลายไป
อืม ไม่แน่ว่าแม่นางในชุดขาวนั่นอาจมีความพิเศษบางอย่างที่ข้ายังไม่ทันได้เห็นกระมัง ทว่าการหลับหูหลับตามุ่งมั่นกับการตั้งรับและเอาตัวรอดนั้นช่างไร้ประโยชน์อย่างยิ่ง แม้ในสำนักเซียนหมื่นเวทเอง วิชาที่มุ่งเน้นด้านการตั้งรับเพียงอย่างเดียวก็ไม่เป็นที่นิยมแต่อย่างใด ไม่แน่ว่าอาวุโสห้าอะไรนั่นอาจจะมีวิธีที่ช่วยให้ขั้นสร้างแกนสกัดอาคมของขั้นเปลี่ยนวิญญาณได้ แต่จะน่าขำเกินไปถ้าบอกว่านางสามารถอัดเขาจนยับได้
หนำซ้ำอาณาจักรเก้าแคว้นก็กว้างใหญ่ ใครจะกล้าพูดว่าการตั้งรับของนางนั้นไร้พ่าย วันหนึ่งบางคนอาจจะเห็นจุดบกพร่องของมัน และเมื่อถึงเวลานางก็ไม่อาจเลี่ยงได้ แล้วจะใส่ใจไปทำไม โชคร้ายที่เจ้าเด็กหวังลู่นั่น หากไม่คำนึงถึงคุณสมบัติของรากวิญญาณเขา แค่ปรีชาญาณเพียงอย่างเดียวก็สามารถทำให้หยวนฉาวเหนียนชื่นชอบได้แล้ว แต่เจ้าเด็กนั่นกลับลงเรือผิดลำแท้ๆ
หากหวังลู่ไม่ได้เป็นศิษย์ผู้สืบทอด หยวนฉาวเหนียนคิดว่าเขาอาจจะชิงตัวอีกฝ่ายกลับไปสำนักเซียนหมื่นเวทก็เป็นได้ หากไม่พูดถึงเรื่องอื่น ในสำนักเซียนหมื่นเวทนั้น ทั้งผู้อาวุโสและศิษย์ต่างขาดความเข้าใจเรื่องการปฏิสัมพันธ์ของมนุษย์ ดังนั้นพวกเขาจึงต้องการบุคคลที่มีไหวพริบและเจ้าความคิด ในเรื่องนี้นั้น ตอนนี้เจ้าสำนักของเขาคาดหวังในตัวไห่อวิ๋นฟานไม่น้อย ทว่าเมื่อเทียบกับหวังลู่แล้ว ไห่อวิ๋นฟานยังถือว่าด้อยกว่ามาก…
ทว่าเรื่องที่น่าแปลกใจก็คือ เมื่อไม่นานมานี้หวังลู่ได้ไปหาคนของหอนภาเร้นลับเพื่อลงพนันเงินที่เขามีอยู่ทั้งหมดฝั่งตัวเอง เจ้าเด็กนั่นมั่นใจว่าตัวเองจะชนะขนาดนั้นเชียวหรือ คนของหอนภาเร้นลับไม่ใช่ตาสีตาสาที่ไหน แม้แต่ศิษย์ของห้าวิเศษหากคิดตุกติกกับเงินพนันก็ไม่อาจจะรับผลที่ตามมาไหว ดังนั้นเจ้าเด็กนี่คิดอะไรอยู่กันแน่
เมื่อรู้สึกสงสัย หยวนฉาวเหนียนจึงฉวยโอกาสนี้เอ่ยปากถาม
ฮว๋าอี้ตอบกลับ “เรื่องนี้พวกเราเองก็ไม่เข้าใจ แต่เจ้าเด็กหวังลู่นั่นย่อมไม่ยอมให้ตัวเองล้มละลายแน่ อย่างไรเสียเขาก็เป็นศิษย์ที่ศิษย์พี่หญิงห้าสั่งสอนมากับมือ”
หยวนฉาวเหนียนอดถามต่อไม่ได้ “แต่ขั้นตบะของเขายังเพิ่งขั้นฝึกปราณระดับสูง แล้วความแข็งแกร่งของเขาจะสู้หลิวหลีได้หรือ”
ฮว๋าอี้ตอบ “ในทางทฤษฎีย่อมไม่ได้ ทว่าอย่างไรเสียเขาก็คือหวังลู่ สำหรับเขา หลิวหลีน้อยนั้นไม่อยู่ในสายตาหรอก… เอ่อ ข้าเปล่าดูถูกนะศิษย์พี่สี่”
โจวหมิงยิ้มหยัน “บอกตามตรง ข้าเองก็ไม่ได้มั่นใจในตัวหลิวหลีขนาดนั้น หากไม่นับเรื่องอื่น ถ้าศิษย์น้องหญิงห้าสอนกระบวนท่านั้นให้หวังลู่ละก็ เจ้าหลิวหลีจอมทึ่มจะต้องเสร็จแน่”
ฮว๋าอี้ถามด้วยความแปลกใจ “จริงหรือ ไม่ใช่ว่ากระบวนท่านั่นสามารถใช้ได้กับพลังวิญญาณขั้นปฐมกึ่งว่างเปล่าหรอกหรือ หวังลู่น่ะยังห่างไกลจากขั้นนั้นมากนัก หนำซ้ำศิษย์พี่หญิงเองยังเคยบอกว่าแม้แต่นางเองยังเกือบใช้กระบวนท่านั้นไม่ได้ แล้วคนอื่นจะใช้ได้อย่างไร! แต่ว่านะ ถ้าเป็นหวังลู่ละก็ อาจจะเป็นข้อยกเว้นก็ได้ พื้นฐานนิสัยของเขานั้นคล้ายคลึงกับศิษย์พี่หญิงมาก เรื่องนี้ประเมินได้ยากนัก”
เมื่อได้ยินบทสนทนาเช่นนี้ หยวนฉาวเหนียนก็ยิ่งสับสนเข้าไปใหญ่ พลังวิญญาณขั้นปฐมกึ่งว่างเปล่า? มันอะไรล่ะน่ะ ใช่การสาบานกับปีศาจในใจหรือไม่ แต่การสาบานกับปีศาจในใจจะมีประโยชน์อะไร แม้จะสามารถแลกเปลี่ยนกับอะไรบางอย่างได้ มันจะมีประโยชน์ก็ต่อเมื่อพลังของคำสาบานต้องแข็งแกร่งมากพอ เมื่อเป็นเช่นนั้น สิ่งที่ต้องสังเวยก็ยิ่งต้องล้ำค่าเท่าเทียบกัน หนำซ้ำสิ่งที่แลกเปลี่ยนมานี้ก็แทบจะถาวรด้วย ดังนั้นการใช้ประโยชน์ในช่วงสั้นๆ จึงถูกจำกัด แล้วคำสาบานจะต้องรุนแรงเพียงใดจึงจะสามารถกลบความแตกต่างระหว่างทั้งสองฝ่ายภายในเวลาเพียงสองวันได้ ข้าเกรงว่ามันจะมีผลต่อการกระทำทั่วๆ ไปเสียด้วย! ยิ่งกว่านั้นคือเราไม่สามารถเล่นลิ้นกับคำสาบานกับปีศาจในใจได้ คำสาบานจะถูกสลักไว้ในจิตใจก่อนที่จะได้รับผลตอบแทนด้วยซ้ำ ตัวอย่างเช่นหากมีคนสาบานว่าชั่วชีวิตนี้จะไม่พูดอีก แต่ยังพูด จากนั้นก็แก้ตัวกับตัวเองในใจว่า ‘ข้าไม่ได้พูดสักหน่อย แค่พ่นออกมาแค่พยางค์สองพยางค์เท่านั้น พอพยางค์พวกนี้มารวมกัน จากนี้มันก็เป็นเรื่องของคนฟัง ไม่เกี่ยวอะไรกับข้า’…ยินดีด้วยที่อึดใจถัดมาปีศาจในใจจะรังควานเจ้า จนหัวระเบิดและตายไป คำสาบานกับปีศาจในใจนั้นไม่อาจโกงได้อย่างแน่นอน
เคราะห์ดีที่หยวนฉาวเหนียนมาจากสำนักที่ทรงภูมิอย่างสำนักเซียนหมื่นเวท ทำให้เขาสามารถคิดเรื่องเหล่านี้ออกในชั่วพริบตา หากเขาเป็นเพียงผู้บำเพ็ญเซียนทั่วไป เขาย่อมไม่อาจนึกเรื่องการสาบานกับปีศาจในใจออกได้ ทว่าต่อให้เป็นเช่นนี้ หยวนฉาวเหนียนก็ไม่ทันคาดคิดว่าการสาบานกับปีศาจในใจนั้นสามารถใช้ในรูปแบบอื่นๆ ได้อีกหลากหลาย
“เอาเถอะ ช่างมัน จะคิดมากให้เปลืองสมองไปทำไม ข้าก็แค่ต้องรออีกสองวัน… ระหว่างที่รอก็เตรียมการเรื่องต่อสู้แบบกลุ่มไปด้วย แม้ว่าในการแข่งขันรอบบุคคลเราจะแพ้เรียบ แต่ก็ยังมีโอกาสกู้หน้าได้ตอนการแข่งขันแบบกลุ่ม”
——
สองวันผ่านไปราวกะพริบตา
ระหว่างนี้มีหลายสิ่งเกิดขึ้น ตัวอย่างเช่น มีผู้บำเพ็ญเซียนเดินทางมายังสำนักกระบี่วิญญาณมากขึ้นเรื่อยๆ เพื่อชมการแข่งขันในรอบตัดสินที่กำลังจะมาถึง ด้วยคำแนะนำของอาวุโสท่านหนึ่ง สำนักกระบี่วิญญาณจึงเริ่มเก็บค่าเข้าชมที่แพงหูฉี่ ผลก็คือถูกกล่าวหาว่าหน้าไม่อาย และด้วยการจัดการอย่างลับๆ ของผู้อาวุโสจอมทะเยอทะยานคนเดิม การเดิมพันในรอบชิงชนะเลิศจึงเป็นที่นิยมมากขึ้น และเงินเดิมพันก็มากมายมหาศาลทีเดียว ดังนั้นจึงเป็นเรื่องสมเหตุสมผลไม่น้อยที่เจ้าหน้าที่จากหอนภาเร้นลับซึ่งคุมโต๊ะพนันจะเปลี่ยนมาเป็นหัวหน้าสาขาของแคว้นธาราคราม ซึ่งเป็นผู้บำเพ็ญเซียนที่มีตบะขั้นเปลี่ยนวิญญาณช่วงปลาย เพื่อให้แน่ใจว่าจะไม่มีใครกล้าเล่นตุกติกในการพนันครั้งนี้
สองวันนี้ ทั้งหลิวหลีและหวังลู่ไม่มาปรากฏในที่สาธารณะ พวกเขาต่างเก็บตัวอยู่บนยอดเขาของตัวเอง แม้แต่เหล่าศิษย์ที่ใกล้ชิดกับคนทั้งสองก็ยังไม่มีโอกาสได้เจอะเจอหน้า
ผู้ชมต่างพากันพูดคุยโต้เถียงถึงการแข่งขันที่กำลังจะมาถึงอย่างกระตือรือร้น
หลังจากได้เห็นการต่อสู้ที่แท้จริงในรอบรองชนะเลิศ ผู้คนส่วนใหญ่ต่างถือหางหลิวหลี ไม่ว่าจะเป็นตบะขั้น วิชา หรือจิตในการต่อสู้ที่สมบูรณ์แบบบนเวทีของนาง หลิวหลีนั้นไม่ต่างจากตำนาน พวกเขาต่างนึกถึงความเป็นไปได้ที่นางจะพ่ายแพ้ไม่ออกเลย
ส่วนหวังลู่นั้น แม้การต่อสู้สองครั้งก่อนหน้าของเขาจะสุดวิเศษ จนเหล่าคนดูได้ประจักษ์ในความสามารถที่แท้จริง แต่หากไม่มีการโจมตีด้านจิตใจ เขาก็เป็นเพียงผู้บำเพ็ญเซียนตัวเล็กๆ ที่มีตบะเพียงขั้นฝึกปราณระดับสูง แม้จะมีความสามารถในการตั้งรับและทักษะในการโต้กลับที่ดีเลิศ แต่เมื่อเทียบกับกระบี่กระจ่างใจของหลิวหลีแล้ว สิ่งเหล่านั้นก็ช่างไร้ความหมาย
แม้แต่พวกที่สนับสนุนหวังลู่ก็ยังเชื่อว่าหากต่อสู้กันอย่างยุติธรรมโดยที่ไม่มีการใช้เล่ห์เหลี่ยม หวังลู่ก็ไม่ถือว่าเป็นคู่ต่อสู้ของหลิวหลี และในรอบชิงชนะเลิศเช่นนี้ เขาจะสามารถใช้เล่ห์เหลี่ยมได้ง่ายๆ หรือ
แต่ว่าการแข่งขันสองครั้งก่อนหน้านั้นของเขามีครั้งไหนที่ผู้ชมคาดหวังบ้าง แต่เขาก็สามารถพลิกสถานการณ์และเอาชนะมาได้ไม่ใช่หรือ ความมหัศจรรย์เช่นนี้ของหวังลู่ค่อยๆ แพร่กระจายในหมู่ผู้ชมอย่างเงียบๆ
ในที่สุด การแข่งขันรอบชิงชนะเลิศที่ทุกคนตั้งตารอก็มาถึง
บนลานเมฆาฝั่งเดียวกับเหล่าผู้คนที่ส่งเสียงให้กำลังใจ หลิวหลีที่ทุกคนต่างเทใจให้ก็ปรากฏขึ้นมาบนเวทีเป็นคนแรก ชุดที่งดงามของนางไม่อาจซ่อนจิตกระบี่คมกริบที่นางรวมรวบไว้เนิ่นนานได้
จุดพักผ่อนของหวังลู่ที่อยู่อีกด้านหนึ่งยังคงว่างเปล่า เมื่อเห็นว่าการแข่งขันกำลังจะเริ่มขึ้นแต่หวังลู่ยังไม่ปรากฏกายเสียที ปรมาจารย์เฟิงอิ๋นที่เป็นประธานในการแข่งขันรอบชิงชนะเลิศนี้ก็ส่งเสียงฮึ “เลิกดึงเวลาเสียที”
ในเวลาเดียวกันที่ยอดเขาไร้ลักษณ์ เมื่อได้ยินเสียงเตือนจากผู้เป็นศิษย์พี่ หญิงสาวในชุดขาวก็ยิ้มแหย “หวังลู่ ทุกคนกำลังรอเจ้าอยู่แน่ะ”
“งั้นก็ดี” หวังลู่ตอบเสียงเบา จุดยันต์ในมือและหายตัวไปในทันที
อึดใจถัดมา เสียงถอนหายใจอย่างเหนื่อยอ่อนก็ดังขึ้นที่ยอดเขาไร้ลักษณ์
“ศิษย์พี่หญิง ท่านนี่รับศิษย์เกินธรรมดามาจริงๆ ไม่ถึงสองวันเขาก็สามารถทำได้แล้ว”
หญิงสาวในชุดขาวแสดงสีหน้าพูดไม่ออกบอกไม่ถูก
“ใน…ในการบำเพ็ญเซียนหนึ่งร้อยปีของข้า นี่เป็นครั้งแรกที่ข้าได้เจอคนที่ไร้ยางอายพอๆ กัน! เจ้าเด็กนี่คือผู้ที่ถูกเลือกอย่างแท้จริง อนาคตของเขาต้องไร้ขอบเขตอย่างแน่นอน”
พูดจบนางก็ยิ้มหยันขึ้น “ศิษย์น้อง ช่วยข้าทำความสะอาดสมรภูมิรบหน่อย”
ที่จุดสูงสุดของยอดเขาไร้ลักษณ์ พื้นดินที่ราบเรียบกลับเต็มไปด้วยหลุมบ่อจำนวนมาก ราวกับถูกพลังรุนแรงทำให้เกิดหายนะขึ้น
——
บนลานเมฆา การแข่งขันกำลังจะเริ่มขึ้นในไม่กี่อึดใจ ขณะที่ทุกคนเริ่มรู้สึกหงุดหงิดที่ต้องรอ หวังลู่ก็ปรากฏตัวจนได้
เพราะเขาไม่มีความสามารถในการบินมาพร้อมกระบี่บิน หวังลู่จึงมาปรากฏตัวที่ลานประลองด้วยยันต์เคลื่อนย้ายในพริบตา ซึ่งสร้างความตกใจให้คนดูจำนวนไม่น้อย
ครั้งนี้หวังลู่สวมชุดสีเข้มต่างจากการแข่งขันสองครั้งที่ผ่านมา ไม่มีใครรู้ว่ามีความลึกลับประเภทใดแอบแฝงอยู่ในชุดตัวนี้ เขายิ้มแย้มอย่างผ่อนคลายขณะรีบสาวเท้าเข้ามาในลานเมฆา
หลิวหลียืนรอบนลานเมฆาอยู่พักใหญ่ หญิงสาวมองดูคล้ายกระบี่เล่มยาวและจิตกระบี่ของนางก็แผ่ไปทั่วบริเวณ
เมื่อต้องเผชิญกับจิตกระบี่ที่แผ่ไปทั่วเช่นนี้ หวังลู่กลับทำเป็นว่ามันเป็นเพียงสายลมของฤดูใบไม้ผลิ ฝีเท้าของเขายังคงหนักแน่นมั่นคงจนเมื่อก้าวมาประจำตำแหน่งของตัวเอง หวังลู่ก็ยิ้มออกมา
เมื่อเห็นทั้งสองฝ่ายยืนนิ่งกันแล้ว เสียงกดต่ำของปรมาจารย์เฟิงอิ๋นก็ดังขึ้นเพื่อยืนยันการแข่งขันในรอบชิงชนะเลิศ ” พวกเจ้าพร้อมหรือยัง”
หลิวหลียกมือขึ้นสูง “พร้อมแล้ว!”
หวังลู่พยักหน้า “พร้อมตลอด!”
“เช่นนั้นก็เริ่มได้!”
ทันทีที่เสียงของปรมาจารย์เฟิงอิ๋นเงียบลง เท้าของหวังลู่ก็ขยับ กระบี่แห่งเขาคุนในมือเขาพุ่งตรงไปที่หลิวหลีราวกับสายลม เป็นหวังลู่ที่เปิดฉากโจมตีก่อน!
…
[1] (ชื่อตอน) หมายถึง ศิษย์ที่ภายหลังเหนือกว่าผู้เป็นอาจารย์