ภาคที่ 4 ช่วงชิงตำแหน่งสูงสุด ตอนที่ 42.1 เขียวกำเนิดจากน้ำเงิน (1)

กาลหนึ่งเคยมีเขากระบี่วิญญาณ

ตอนที่ 42 เขียวกำเนิดจากน้ำเงิน (1) โดย Ink Stone_Fantasy

 

          “ศิษย์พี่ใหญ่ ท่านดื่มน้ำสักหน่อยสิ”

          ขณะที่หวังลู่กำลังดิ้นรนอยู่กับการฝึกฝนพิเศษนรกแตกอยู่นั้น ที่หอชมพูบนยอดเขาสระวิญญาณ ศิษย์จากสำนักเซียนหมื่นเวทเองก็กำลังอยู่ในอารมณ์ที่หม่นมัว

          การพ่ายแพ้ในรอบรองชนะเลิศของจ้านจื่อเย่สร้างความตื่นตะลึงให้กับทุกคนของสำนักเซียนหมื่นเวท อัจฉริยะมากพรสวรรค์ ความหวังร้อยปีของสำนักพ่ายแพ้แล้วจริงๆ พ่ายแพ้ให้กับผู้ที่ฝึกบำเพ็ญเซียนมาในเวลาใกล้ๆ กันและมีปูมหลังคล้ายกันแต่ทว่าเป็นหญิงสาวโง่เขลาในสายตาพวกเขา หากพวกเขาไม่ได้ประจักษ์ด้วยตาตัวเอง ต่อให้ใครมาเล่าให้ฟังพวกเขาก็รู้สึกว่ายากที่จะเชื่อทั้งนั้น

          การพ่ายแพ้ครั้งนี้สร้างหายนะใหญ่หลวงต่อขวัญและกำลังใจของศิษย์สำนักเซียนหมื่นเวท พวกเขาจำไม่ได้ด้วยซ้ำว่าตนเองออกจากลานเมฆาแล้วกลับมายังหอชมพูได้อย่างไร ตอนที่ได้สติขึ้นมา พวกเขาเห็นเพียงใบหน้าไร้สีของคนอื่นๆ ต่างฝ่ายต่างก็นิ่งอึ้งไร้คำจะกล่าว

          สุดท้ายแล้วผู้ที่มีสภาพจิตใจดีกว่าเพื่อนก็คือไห่อวิ๋นฟาน หลังจากถอนหายใจและโยนเรื่องที่เสียเงินพนันจำนวนหนึ่งแสนศิลาวิญญาณกลับไปในใจแล้ว เขาก็เริ่มกระตุ้นขวัญและกำลังใจเพื่อนร่วมคณะ

ไห่อวิ๋นฟานไม่ได้รีบร้อนพูดเรื่องการแข่งขันที่สุดวิเศษทว่าน่าเศร้าแต่ทำเพียงรินน้ำร้อนให้ศิษย์พี่แต่ละคน จัดหาของหวานหลากหลายชนิดมาให้ และพูดเรื่องสัพเพเหระอื่นๆ เพื่อทำให้บรรยากาศผ่อนคลาย… ทว่าผลตอบรับกลับไม่ดีนัก ผลการแข่งขันดูเหมือนจะกระทบจิตใจของทุกคนอย่างหนักหนาสาหัส และวิธีง่ายๆ เหล่านี้ก็ไม่อาจช่วยอะไรได้

          แต่ขณะที่ไห่อวิ๋นฟานกำลังคิดจะไปขอความช่วยเหลือจากผู้อาวุโสนั้นเอง เขาก็ได้ยินเสียงศิษย์พี่ใหญ่ดังขึ้น “ข้าขอโทษ ข้าทำให้ทุกคนผิดหวัง”

          น้ำเสียงของจ้านจื่อเย่นั้นเซื่องซึมแต่ยังฟังดูทรงพลังสำหรับทุกคน เย่เฟยเฟยที่ยังคงมึนงงอยู่และพวกที่เหลือจึงได้สติขึ้นมา

          “ข้าแพ้โดยไม่มีข้อกังขาเพราะฝ่ายตรงข้ามนั้นแข็งแกร่งกว่าข้า ดังนั้นเรื่องการแข่งขันครั้งนี้ข้าจึงไม่มีอะไรจะพูด ข้ายอมรับความพ่ายแพ้แต่โดยดี ไม่กี่ปีมานี้ข้ามัวหลงระเริงกับความสำเร็จและความสามารถของตัวเองในสำนัก ข้าคิดว่าต่อให้โลกนี้กว้างใหญ่ ก็มีเพียงไม่กี่คนที่สามารถต่อกรกับข้าได้… ซึ่งไม่ต่างจากการมองดูท้องฟ้าจากก้นบ่อเลยสักนิด”

          ขณะพยายามพูดจาปลอบใจเหล่าศิษย์น้องของตัวเอง จ้านจื่อเย่ก็ส่ายศีีรษะ “หลังการแข่งขัน ข้าคำนวณในใจซ้ำไปซ้ำมาเป็นร้อยๆ รอบ ต่อให้หลิวหลีไม่ได้สำแดงไพ่ใหม่ๆ และต่อสู้กับข้าด้วยทักษะที่นางมี ถ้าให้สู้กันร้อยรอบ ข้าก็คงจะชนะนางได้มากสุดแค่สิบรอบ ช่องว่างของความแข็งแกร่งของทั้งสองฝ่ายนั้นมีมากเกินไป… ข้าไม่รู้จริงๆ ว่านางฝึกจนสำเร็จถึงขั้นนั้นได้อย่างไร”

          เอาเข้าจริงแล้ว จ้านจื่อเย่จำเป็นต้องพูดเรื่องเหล่านี้ออกมาด้วยหรือ ตราบใดที่ทุกคนได้ดูการแข่งขันครั้งนี้ พวกเขาย่อมเห็นว่าพลังของหลิวหลีนั้นมากกว่าคู่ต่อสู้ของนางอยู่เล็กน้อย เพลงกระบี่กระจ่างใจที่เปลี่ยนแปลงได้ตลอดของนางสามารถกลบข้อด้อยเรื่องการตั้งรับของนางได้อย่างดีเยี่ยม หนำซ้ำตอนที่ต่อสู้กันจิตใจของนางกลับผ่องใส สิ่งรบกวนใดๆ ก็ไม่อาจส่งผลกระทบได้ ซึ่งถือว่าไร้ข้อบกพร่องอย่างแท้จริง แม้จ้านจื่อเย่จะพ่ายแพ้เพียงกระบวนท่าเดียว แต่มันก็มาจากฝีมือไม่ได้เป็นเพราะโชคช่วยหรือเหตุบังเอิญแต่อย่างใด

          ทว่าการที่ทุกคนตระหนักถึงเรื่องนี้ได้ยิ่งทำให้หมดกำลังใจเข้าไปใหญ่ หากก่อนหน้านี้จิตใจของพวกเขาเกือบแหลกเป็นผง ตอนนี้มันก็แหลกเป็นผงเรียบร้อยแล้ว ในเมื่อศิษย์พี่ใหญ่ของพวกเขายังตกอยู่ในอารมณ์สิ้นหวัง ดังนั้นความหยิ่งผยองของสำนักเซียนหมื่นเวทที่ซึมลึกถึงกระดูกจึงสั่นคลอนเล็กน้อยอยู่ครู่หนึ่ง ตอนแรกพวกเขาคิดว่าตนเองในฐานะศิษย์รุ่นปัจจุบันของสำนักมีคุณสมบัติมากพอที่จะยืนอยู่บนยอดสุดในโลกบำเพ็ญเซียนของอาณาจักรเก้าแคว้น ทว่าตอนนี้พวกเขากลับได้รู้ว่ามีคนอื่นที่ยืนได้สูงกว่าตนเองเสียอีก… มันราวกับว่าจู่ๆ พวกเขาก็ได้เห็นฟ้าผืนใหม่ที่ไม่คิดฝันว่าจะมี ทำให้พวกเขารู้สึกหวาดกลัวยิ่งนัก

          ทว่าตอนนั้นเองจ้านจื่อเย่ก็คลี่ยิ้มออกมาเล็กน้อย ทำเอาจิตใจของเหล่าศิษย์น้องโล่งขึ้น

          มันคือรอยยิ้มที่เขามักยิ้มทุกครั้งที่พวกเขาพบเจอกับอุปสรรคต่างๆ ในสำนักเซียนหมื่นเวท

          “สำนักเซียนหมื่นเวทไม่ใช่สำนักที่วางโต หรือสำนักป่าเถื่อนไร้กฎหมาย เราคือปราชญ์ ไหนบอกซิหลักในการเรียนรู้คืออะไร”

          ศิษย์รุ่นน้องตอบโดยไม่ต้องคิด “สำรวจสิ่งที่ไม่รู้ ทำความเข้าใจสิ่งที่ไม่รู้ ทำนายสิ่งที่ไม่รู้”

          “ถูกต้อง ดังนั้นสำหรับคนที่เก่งกาจกว่าเรา เราก็แค่ต้องมุ่งมั่นใฝ่ศึกษาในตัวเขาและพัฒนาตัวเองให้ดีขึ้น”

          “อืม…”

          “ดังนั้นข้าจะไปพบหลิวหลีเพื่อแลกเปลี่ยนความรู้เรื่องโลกบำเพ็ญเซียนเสียหน่อย พวกเจ้าทั้งหลายก็พักผ่อนกันเยอะๆ เถอะ”

          เสียงของจ้านจื่อเย่เบาลงเรื่อยๆ ขณะที่กายของเขากลายเป็นลำแสงพุ่งตรงไปยังทิศทางของยอดเขากระจ่าง ทิ้งให้เหล่าศิษย์น้องนั่งอึ้งกันอยู่

——

          จ้านจื่อเย่ควบคุมลำแสงและมุ่งตรงไปยังยอดเขากระจ่าง ทว่าเมื่อไปถึงเพียงครึ่งทาง สีหน้าของเขาก็พลันเปลี่ยนไป

          ที่ตรงหน้าของเขา พลังอิทธิฤทธิ์ของหยวนฉาวเหนียนกำลังกระเพื่อมไปมาปิดทางเบื้องหน้าของเขาอยู่ นี่คือการเตือนของผู้เป็นอาจารย์ให้รู้ว่าทางข้างหน้านั้นคือทางตัน

          จ้านจื่อเย่หงุดหงิดไม่น้อย อาจารย์กำลังอยู่ที่ยอดเขากระจ่างเช่นนั้นหรือ แล้วเขาห้ามข้าทำไม นี่เป็นโอกาสในการเรียนรู้ที่ดีเยี่ยม! เหตุใดเขาถึงขัดขวางความต้องการเรียนรู้ที่แสนบริสุทธิ์ของศิษย์กันเล่า

          อีกด้านหนึ่งที่บนยอดเขากระจ่าง หยวนฉาวเหนียนส่ายศีรษะพลางยิ้ม “ขออภัยให้ศิษย์ไม่เอาไหนของข้าด้วย”

          ที่ตรงหน้าเขาคือเหล่าผู้อาวุโสของสำนักกระบี่วิญญาณ อาวุโสสองหลิวเสี่ยน อาวุโสสี่โจวหมิงและอาวุโสเก้าฮว๋าอี้

          หลังการแข่งขันรอบรองชนะเลิศ สำนักเซียนหมื่นเวทพ่ายแพ้ทั้งสองรอบ ความเย่อหยิ่งก่อนหน้านี้ของพวกเขาสลายไปกับสายลม สิ่งที่สำนักเซิ่งจิงบอกให้พวกเขาทำนั้นไม่ได้เกิดขึ้น และกิจกรรมแลกเปลี่ยนของทั้งสองสำนักก็กลับมาเข้ารูปเข้ารอยในที่สุด

          การที่หยวนฉาวเหนียนมายังยอดเขากระจ่างในครั้งนี้เป็นการแสดงความปรารถนาดีของสำนัก แม้เขาเองจะยังรู้สึกผิดหวังกับผลการแข่งขัน แต่ในหมู่ผู้อาวุโสทั้งสามที่เดินทางมายังสำนักกระบี่วิญญาณ เขาเป็นเพียงคนเดียวที่มีความฉลาดทางอารมณ์มากพอที่จะควบคุมสถานการณ์เช่นนี้ได้ เพราะหากเป็นผู้อาวุโสอีกสองคนที่เหลือ พวกเขาต้องหาเรื่องปะทะกับอีกฝ่ายบนยอดเขากระจ่างแน่นอน ทว่าการมาเยือนในครั้งนี้ หยวนฉาวเหนียนต้องการมาพูดเรื่องการศึกษาของศิษย์ทั้งสองสำนักเท่านั้น

          เมื่อได้แลกเปลี่ยนบทสนทนาในเรื่องนี้ หยวนฉาวเหนียนก็รู้ว่าตนนั้นประเมินสำนักกระบี่วิญญาณต่ำไป แม้ขั้นตบะของผู้อาวุโสเหล่านี้จะเทียบชั้นกับเขาไม่ได้ แต่ว่าแต่ละคนก็มีจุดแข็งในการให้ความรู้ต่อเหล่าศิษย์ หนำซ้ำ…เขายังต้องยอมรับว่าทัศนคติที่อีกฝ่ายมีต่อเขานั้นไม่แย่เลย

          หลิวเสี่ยนกล่าว “ศิษย์พี่หยวนถ่อมตัวไปแล้ว จ้านจื่อเย่นั้นบำเพ็ญเซียนมาเพียงแค่แปดปีแต่สามารถเข้าใจวิชาหยั่งรู้หมื่นเวทได้อย่างลึกซึ้ง ทั้งยังสำเร็จวิชาเซียนจิตเซียนห้าอสนียบาตได้ถึงขั้นที่เป็นอยู่ ความฉลาดและพรสวรรค์ของเขานั้นหาได้ยากยิ่งถึงขนาดที่ว่าโลกนี้มีเพียงไม่กี่คนเท่านั้น”

          หยวนฉาวเหนียนกล่าวบ้าง “สำนักคาดหวังในตัวเขาไว้มากจริงๆ หลังจากเหตุการณ์เมื่อสิบเจ็ดปีก่อน เหล่าผู้มีพรสวรรค์ต่างปรากฏตัวขึ้นในอาณาจักเก้าแคว้นทีละคนสองคน ทว่ามีไม่กี่คนที่จะนำพาอนาคตของห้าวิเศษได้ พวกเราสำนักเซียนหมื่นเวทรู้สึกโชคดีนักที่มีจ้านจื่อเย่อยู่ ทว่าพวกเรากลับไม่คาดคิดเลยว่าสิ่งที่สำนักกระบี่วิญญาณได้รับมานั้นจะมากกว่าเราเสียอีก”

          หยวนฉาวเหนียนพูดต่อด้วยน้ำเสียงริษยาเล็กน้อย “แม้สำนักกระบี่วิญญาณจะอยู่ในลำดับสุดท้ายของห้าวิเศษ แต่ในเมื่อมีอัจฉริยบุคคลอย่างหลิวหลีอยู่ในสำนัก ภายในหนึ่งปีลำดับในห้าวิเศษของพวกท่านอาจจะสูงขึ้นหนึ่งหรือสองลำดับก็ได้”

          ผู้อาวุโสของสำนักกระบี่วิญญาณทำหูทวนลมกับคำพูดของหยวนฉาวเหนียนที่ว่าสำนักกระบี่วิญญาณรั้งท้ายสุดในหมู่ห้าวิเศษ ทว่าโจวหมิงกลับตอบว่า “แม้หลิวหลีจะฉลาดและมีไหวพริบ แต่นางไม่อาจรับผิดชอบหน้าที่ใดๆ ได้ หากเราฝากอนาคตของสำนักไว้ที่นาง ข้าเกรงว่าในอีกหนึ่งศตวรรษ สำนักกระบี่วิญญาณคงจะย่อยยับเป็นแน่”

          “ท่านอาจารย์ สำนักกระบี่วิญญาณจะย่อยยับงั้นหรือ” ขณะที่พวกเขาพูดคุยกันอยู่ หลิวหลีในชุดหลากสีก็เหาะเข้ามา นางทำตาโตเอ่ยถามอย่างไร้เดียงสา “เช่นนั้นข้าจะไปหาข้าวกินที่ไหนเล่า”

          โจวหมิงดุอย่างหงุดหงิด “เจ้าเด็กโง่ มัวแต่ห่วงเรื่องกิน! กลับไปฝึกกระบี่บินรวมร่างต่ออีกหนึ่งชั่วยาม… ห้ามกลับมาจนกว่าเราจะคุยกันเสร็จ!”

          ใบหน้าของหญิงสาวหม่นหมองลงในทันที “อ้อ ก็ได้”

          หลังจากจัดการหลิวหลีเสร็จ โจวหมิงก็ยิ้มขื่น “อภัยแทนศิษย์ของข้าด้วย”

          ทว่าใบหน้าของหยวนฉาวเหนียนกลับเปี่ยมไปด้วยความริษยาขณะมองร่างของหลิวหลีที่ค่อยๆ ไกลออกไป “จิตบริสุทธิ์ เรือนร่างราวกับเป็นกระจกสีใส (หลิวหลีแปลว่า กระจกสี) เหมาะสมถึงเพียงนี้ ข้าจึงไม่แปลกใจเลยว่าเหตุใดนางจึงเรียนวิชาเก่าแก่ได้… ทว่าข้ารู้สึกว่าวิชากระบี่กระจ่างใจนี้แตกต่างกับรูปแบบเก่าแก่ที่ตกทอดกันมาอย่างมาก ว่ากันว่าจุดด้อยเล็กๆ น้อยๆ ของวิชากระบี่กระจ่างใจได้ถูกกลบอย่างแยบยลไปหมดแล้ว”

          โจวหมิงยิ้มแต่ไม่ได้กล่าวอะไร

          หยวนฉาวเหนียนกล่าวต่อ “ทว่าข้าเข้าใจในสิ่งที่อาวุโสโจวพูด ด้วยลักษณะของนางการจะประสบความสำเร็จในโลกบำเพ็ญเซียนนั้นเป็นเรื่องที่ไม่น่าประหลาดใจ ทว่านางไม่มีความสามารถที่จะเป็นเจ้าสำนักได้… ดังนั้นสำนักของท่านจึงตั้งใจปูทางให้หวังลู่พร้อมรับตำแหน่งเช่นนั้นหรือ”

          เมื่อได้ยินชื่อของหวังลู่ สีหน้าของเหล่าผู้อาวุโสก็ผิดปกติขึ้นมาทันที

          หยวนฉาวเหนียนกล่าวต่อ “เมื่อเทียบกับหลิวหลี หวังลู่เจ้าความคิดกว่าเป็นร้อยๆ เท่า ทว่าวิธีของเขานั้นไม่ถูกต้องแถมตบะของเขาก็ยังไม่ถึงขั้น แม้ก่อนหน้านี้เขาจะชนะการแข่งขันได้เพราะโชคช่วย แต่ถ้าพูดอย่างตรงไปตรงมาแล้ว วิชาประเภทที่มุ่งเน้นแต่การตั้งรับและการเอาตัวรอดนั้นถูกต้องแล้วหรือ”

          สีหน้าของเหล่าอาวุโสหลายคนยิ่งดูประหลาดเข้าไปใหญ่

          ทว่ายิ่งพูดหยวนฉาวเหนียนก็ยิ่งสงสัย “ข้าได้ยินมาว่าหวังลู่มาจากยอดเขาไร้ลักษณ์ และอาจารย์ของยอดเขาไร้ลักษณ์เพิ่งมีตบะเพียงขั้นสร้างแกน… ข้าว่าในเมื่อหวังลู่มีจุดแข็งที่โดดเด่น แม้ความสามารถของเขาจะไม่ถือว่าสุดยอดที่สุด แต่ข้าไม่เห็นด้วยที่เขาจะมีอาจารย์ไม่เอาไหน พวกท่านว่าไหม ดูแค่พรสวรรค์อันโดดเด่นของเขา ไม่แน่ว่าอนาคตต่อไปเขาอาจจะต้องมีหน้าที่รับผิดชอบใหญ่หลวงก็ได้”

          “จิ๊ ท่านต่างหากที่ไม่ได้ความ!” ทันทีที่ได้ยินหยวนฉาวเหนียนพูดจาให้ร้ายศิษย์พี่หญิงของนาง อาวุโสเก้าฮว๋าอี้ก็โกรธขึ้งขึ้นมาทันใด “อย่างไรเสียท่านก็เป็นถึงผู้อาวุโสของห้าวิเศษ เหตุใดถึงยังตัดสินความสามารถของคนอื่นจากขั้นตบะอยู่อีกเล่า นางเป็นแค่ขั้นสร้างแกนแล้วอย่างไร นางอัดท่านยับได้อย่างแน่นอน!”

…………………………………….