ตอนที่ 41 เจ้าปรารถนาที่จะ…รวยหรือจน โดย Ink Stone_Fantasy
“กระบี่กระจ่างใจไม่ใช่วิชาที่ไร้เทียมทาน จุดอ่อนและข้อได้เปรียบของมันนั้นมีเท่าๆ กัน แม้มันจะมีพลังโจมตีที่รุนแรง แต่การตั้งรับกลับไม่เท่าไร ดังนั้นความคิดพื้นฐานของสำนักเซียนหมื่นเวทนั้นถือว่าถูกแล้ว ทว่าแม้พวกเขาเข้าใจ แต่ก็ประเมินคุณสมบัติที่เปลี่ยนแปลงได้ตลอดเวลาของกระบี่กระจ่างใจต่ำไป ฝ่ายนั้นกระเหี้ยนกระหือรือที่จะได้ชัยชนะในไม่กี่กระบวนท่า ผลก็คือเขากลับถูกหลิวหลีโจมตีไม่ทันตั้งตัวและเล่นงานเข้าให้ เด็กคนนี้ไม่ได้มีความคิดซับซ้อนนักหรอก นางก็แค่ยึดติดอยู่กับการสัญชาตญาณว่าตัวเองจะชนะ เป็นคนของสำนักเซียนหมื่นเวทเองต่างหากที่ไม่อาจรับมือกับการสัญชาตญาณของหญิงสาวได้”
บนยอดเขาไร้ลักษณ์ อาวุโสห้าในชุดขาวกำลังแสดงสีหน้าจริงจังที่หาดูได้ยาก
“ความจริงแล้วหากมองในมุมที่ต่างออกไป พวกเขาก็แทบจะได้ชัยชนะอยู่แล้ว ปัจจัยสำคัญที่จะตัดสินแพ้ชนะอยู่ที่ความสามารถในการทนต่อพลังโจมตีเต็มขั้นจากหลิวหลี หากลู่เฉียนไช่สามารถทนต่อพลังของกระบี่วารีกระจ่างใจ แค่ยันต์วิญญาณสองชิ้นในมือก็เพียงพอที่จะเอาชนะอีกฝ่ายได้ และหากจ้านจื่อเย่สามารถทนรับการโจมตีของกระบี่บินทั้งสิบสอง เขาก็อาจจะใช้เพลงกระบี่อสนีบาตทำลายล้างทำให้อีกฝ่ายบาดเจ็บ ไม่ใช่ทำให้มันระเบิด ซึ่งจะทำให้เขาได้ชัยชนะ โชคร้ายที่คนพวกนั้นไม่พยายามที่จะตั้งรับเพลงกระบี่กระจ่างใจของหลิวหลี ที่พวกเขาคิดได้ก็เพียงแค่หลบฉาก หนี หรือใช้เล่ห์กลอื่นๆ จากนั้น… เฮ้ เฮ้ เสี่ยวหวังลู่ ในเมื่อมีผู้ยอมพลีชีพให้เห็นตั้งมาก ดังนั้นเจ้าก็ควรจะรู้ว่าต้องทำยังไงใช่ไหม”
หวังลู่กล่าว “เลิกคิดเรื่อง ‘ปล่อยไปตามโอกาส’ และตั้งรับการโจมตีจากเพลงกระบี่กระจ่างใจซึ่งๆ หน้า ทว่าตั้งรับตรงๆ แบบนั้นก็ไม่ต่างจากฆ่าตัวตาย นางไม่จำเป็นต้องใช้กระบี่บินสิบสองเล่มด้วยซ้ำ แค่กระบี่อัคคีอย่างเดียวก็สามารถเจาะกระบี่ตั้งรับของข้าได้แล้ว วิชาไร้ลักษณ์ไม่ได้ทรงพลังขนาดนั้นเสียหน่อย”
“ระยำเถอะ เห็นชัดๆ ว่าขั้นตบะของเจ้ามันสูงไม่พอ อย่าให้ร้ายวิชาบำเพ็ญเซียนของตัวเองเชียวนะ แม้ข้าจะด้อยกว่าศิษย์พี่โจวหมิงอยู่ขั้นหนึ่ง แต่ข้าก็ไม่กลัวเขา ปัญหาที่ใหญ่ที่สุดของเจ้าในตอนนี้คือ รากฐานของเจ้ามันบางเกินไป และพลังอิทธิฤทธิ์ก็ต่ำเกิน หากขั้นตบะของเจ้าเท่าๆ กับหลิวหลี ก็คงไม่เป็นปัญหาขนาดนี้หรอก”
หวังลู่กล่าว “งั้นข้าก็จำเป็นต้องเพิ่มขั้นตบะ ถ้างั้นไว้ข้าค่อยไปหาท่านอาเจ็ดดีไหม”
อ้าวกวนไห่ส่ายหน้า “ข้ามีโอสถหลายขนานที่ช่วยเพิ่มขั้นตบะได้ก็จริง แต่การเพิ่มขั้นตบะแบบก้าวกระโดดในเวลาเพียงสองวัน… เรื่องนี้ไม่ง่าย ต่อให้เป็นโอสถที่ออกฤทธิ์รุนแรง มันก็ต้องใช้เวลาก่อนที่ผลจะสำแดงออกมา หนำซ้ำการใช้โอสถเพื่อเพิ่มขั้นตบะ จะทำให้รากฐานไม่มั่นคง”
หวังลู่เมินเฉยกับคำเตือน “เรื่องความไม่เสถียรที่เกิดจากการพัฒนาขั้นตบะแบบปุบปับจะเกิดเฉพาะกับพวกที่สมดุลไม่ดีเท่านั้น ดังนั้นท่านจงสบายใจได้หากจะมอบโอสถออกฤทธิ์รุนแรงนั้นให้ข้า จะยิ่งดีใหญ่หากมันทำให้ข้าบรรลุถึงขั้นสร้างแกนได้ไวๆ”
ผู้เป็นอาจารย์เหยียดยิ้ม “เจ้าว่าบรรลุถึงขั้นสร้างแกนไวๆ งั้นหรือ จะว่าไปก็มีโอสถแบบนั้นเหมือนกัน เรียกว่าโอสถแยกส่วนมาร หลังจากกินเข้าไป ในห้าถึงสิบนาทีตบะของเจ้าจะทะลุไปถึงขั้นสร้างแกน ทว่าผลข้างเคียงของมันก็คือร่างของเจ้าจะระเบิดแล้วตายไป วิญญาณของเจ้าจะลอยออกมาแล้วก็แตกสลาย อยากลองหน่อยไหมเล่า ฟังให้ดี เจ้ามีเวลาแค่สองวัน โอสถออกฤทธิ์แรงนั้นจำเป็นก็จริง แต่เจ้าจะหวังพึ่งโอสถเพื่อรับมือกับหลิวหลีไม่ได้ ในฐานะศิษย์ผู้สืบทอด นางเองก็กินโอสถมาไม่น้อยแล้วเหมือนกัน”
“แล้วยังไง”
“เจ้าก็ทำได้แค่ต้องเดินทางสายมาร ทว่าในเมื่อมันเป็นทางสารมาร ผลข้างเคียงย่อมต้องมีแน่ ดังนั้นเจ้าต้องใคร่ครวญให้ดี” สีหน้าของผู้เป็นอาจารย์เคร่งเครียดผิดธรรมดาทำเอาหวังลู่หวั่นไหวไม่น้อย
“บอกข้ามาเร็ว”
“สาบานกับปีศาจในใจ” ผู้เป็นอาจารย์ตอบเสียงเย็น “หากสาบานกับปีศาจในใจแล้ว เจ้าก็จะได้พลังเพิ่มขึ้นเป็นการแลกเปลี่ยน”
“การสาบานกับปีศาจในใจใช้ทำอะไรแบบนี้ได้ด้วยรึ” หวังลู่ประหลาดใจไม่น้อย นี่ไม่เหมือนการเซ่นสังเวยของลัทธิมาร ต่อให้เขามีใจอยากแลกเปลี่ยนจริง เขาก็ย่อมต้องมีสิ่งที่จะใช้ในการแลกเปลี่ยนก่อน แล้วในการแลกเปลี่ยนที่ว่านี้ใครเป็นคนเพิ่มพลังให้เขากัน
“ต้องสาบานยังไง”
“ง่ายมาก แค่สาบานว่าจากนี้ไปเจ้าจะไม่ใช้วิชาเซียนใดๆ ทำร้ายใครก่อน”
หวังลู่ขมวดคิ้วทันที “ห้ามใช้วิชาเซียนทำร้ายผู้คน?”
“ใช่ หากจะให้ยกตัวอย่างที่สุดโต่งสักหน่อย เอาเป็นว่าถ้าศัตรูตัวฉกาจอยู่ตรงหน้าเจ้า เจ้าก็ห้ามทำอันตรายอีกฝ่าย ไม่อย่างนั้นปีศาจในใจจะยึดครองร่างเจ้าและพลังวิญญาณขั้นปฐมของเจ้าจะพังทลายลง”
หวังลู่พลันใช้ความคิด ด้วยความรู้อันกระจ่างแจ้งในเรื่องโลกบำเพ็ญเซียน เขาก็เข้าใจจุดประสงค์หลักได้ทันที “อืม ให้ข้าสาบานอย่างสุดโต่งแบบนี้ เพื่อที่ว่าข้าจะได้ไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากจดจ่ออยู่กับการตั้งรับ เพื่อพัฒนาความสามารถในการตั้งรับให้ดีขึ้น แม้ข้าจะยังไม่กระจ่างเรื่องหลักปฏิบัติ แต่โดยรวมก็ถือเป็นความคิดที่ดี ยังไงซะวิชาไร้ลักษณ์ก็ไม่มีพลังโจมตีตั้งแต่แรกอยู่แล้ว…”
“ใครบอกกันว่ามันไม่มีพลังโจมตีตั้งแต่แรก” ผู้เป็นอาจารย์ขัดขึ้นเบาๆ “คิดให้ดี”
หวังลู่ทำหน้างุนงงอยู่ครู่หนึ่งจากนั้นก็ตะโกนออกมา “ท่านก็สาบานเหมือนกัน! เพราะข้อห้ามของการสาบานกับปีศาจในใจ ท่านเลยโจมตีใครไม่ได้ จากนั้นท่านจึงเพ่งความสนใจในวิชาไร้ลักษณ์ไปที่การตั้งรับเพียงอย่างเดียว เพราะว่าพัฒนาวิชาจู่โจมไปก็เท่านั้น”
“ไม่ใช่ว่าวิชาไร้ลักษณ์จะทำร้ายผู้คนไม่ได้ ความจริงหลังจากที่กระดูกกระบี่ไร้ลักษณ์ช่วยให้เจ้าหลุดพ้นจากการผูกมัดของรากวิญญาณแล้ว ในทางทฤษฎีเจ้าสามารถฝึกวิชาจู่โจมที่รุนแรงได้ และพอเจ้าบรรลุตบะขั้นสร้างฐาน วิชาของเจ้าก็จะราบลื่นขึ้น… วิชาไร้ลักษณ์น่ะถือเป็นรากฐานที่ครอบคลุมรอบด้าน ด้วยสติปัญญาและการหยั่งรู้ของเจ้า เจ้าสามารถฝึกวิชาระดับเซียนที่ทรงพลังทั้งหลายในสำนักได้เมื่อถึงเวลา ไม่ใช่ว่าเจ้าจะเป็นเหมือนหลิวหลีและกระบี่ไร้เทียมทานของนางไม่ได้”
หวังลู่หัวเราะขำ “อาจารย์ ท่านไม่ต้องใช้คำพูดเหล่านั้นทดสอบข้าก็ได้… เราเลิกพูดเรื่องคนอื่นกันดีกว่า ต่อให้ข้าฝึกวิชากระบี่กระจ่างใจเสียเดี๋ยวนี้ มันจะช่วยให้ข้าชนะในวันมะรืนได้หรือเปล่าเถอะ”
“ยังดีที่เจ้าตระหนักเรื่องนี้ได้ ด้วยสติปัญญาของเจ้า เจ้าคงจะรู้ว่าต้องสังเวยไปเพียงใดเมื่อคำสาบานเป็นผล เจ้ากับข้าต่างกันตรงที่เจ้ายังมีทางเลือก เจ้าไม่จำเป็นต้องตั้งรับเกินไปนักก็ได้”
ด้วยความชาญฉลาดของหวังลู่ เขาก็รู้ได้ทันทีว่ามีเรื่องราวมากมายอยู่เบื้องหลังอาจารย์ผู้เป็นเจ้าของวิชาไร้ลักษณ์นี้
“ท่านไม่มีทางเลือก? พูดถึงเรื่องนี้ตอนที่ข้าใช้กระบี่ไร้นาม ความจริงแล้ว…”
“พอแล้ว ไว้ค่อยคุยเรื่องซุบซิบนินทากันทีหลัง ตอนนี้บอกข้ามาว่าเจ้าเลือกยังไง”
หวังลู่ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง “เมื่อคำสาบานเป็นผล ข้าย่อมไม่อาจทำร้ายผู้คนก่อนได้ แล้วข้าจะยังใช้โล่หนามได้รึเปล่า”
“ในทางทฤษฎี เจ้าไม่อาจใช้วิชากระบี่ไร้นามได้ เจ้าไม่อาจเล่นลิ้นกับการสาบานกับปีศาจในใจได้ ทว่าด้วยนิสัยของเจ้าแล้ว เจ้าย่อมไม่ยอมให้คำสาบานเล่นงานเจ้าจนตายแน่ แต่เพลงกระบี่ไร้นามก็เป็นวิชาเดียวที่เจ้ามี” ผู้เป็นอาจารย์ยิ้ม “แน่ละว่ามีวิธีอื่นด้วย ไม่มีการห้ามใช้ความรุนแรงทางวาจา เพราะงั้นอย่างน้อยเจ้าก็ยังด่าคนได้”
“ฮ่าๆๆ ในเมื่อมีช่องให้ดิ้นได้ ถ้างั้นก็ไม่มีอะไรให้ต้องลังเล บอกวิธีสาบานกับข้ามาเร็วเข้า”
“ดีมาก… ศิษย์น้อง เอาผงวิญญาณแข็งตัวมาให้ข้าที เราต้องทำให้พลังวิญญาณขั้นปฐมของเด็กนี่แข็งเป็นความว่างเปล่าเสียก่อน [1] แล้วค่อยเริ่มสาบานต่อปีศาจในใจ”
ในทางทฤษฎี มีเพียงผู้บำเพ็ญเซียนตบะขั้นพิสุทธิ์หรือสูงกว่าที่สามารถใช้วิธีสาบานต่อปีศาจในใจได้ ทว่าสำหรับสำนักห้าวิเศษแล้ว กฎนั้นย่อมมีข้อยกเว้นเสมอ
แม้คนที่รู้เรื่องผงวิญญาณแข็งตัวจะมีไม่มากนัก แต่ประสิทธิภาพของมันก็สามารถทำให้มันเป็นโอสถระดับหนึ่งได้ ทันทีที่เขากลืนผงวิญญาณแข็งตัวเข้าไป หวังลู่ก็รู้สึกราวกับว่ามีแสงสว่างเจิดจ้าอยู่ในใจ พลังวิญญาณขั้นปฐมของเขาแข็งตัวกลายเป็นความว่างเปล่า และยังคงแข็งตัวต่อไปจนอยู่ในสภาวะกึ่งว่างเปล่ากึ่งมีอยู่จริงก่อนที่จะหยุดลง… ตามมาตรฐานของสำนักกระบี่วิญญาณ นี่คือระดับความแข็งแกร่งของพลังวิญญาณขั้นปฐมของผู้บำเพ็ญเซียนตบะขั้นพิสุทธิ์ แม้ยานี้จะรักษาสถานะที่ว่าได้เพียงแค่ไม่กี่อึดใจ แต่ก็นานเกินพอที่จะสาบานต่อปีศาจในใจได้
การสาบานต่อปีศาจในใจไม่ใช่วิธีสาบานที่ยากเย็นอะไร ก่อนหน้านี้หลังจากที่ผู้เป็นอาจารย์อธิบายจุดสำคัญ หวังลู่เองก็ลองฝึกอยู่หลายรอบ ดังนั้นครั้งนี้เขาจึงสามารถปล่อยพลังวิญญาณขั้นปฐมที่แข็งแกร่งกว่าเดิมถึงหนึ่งร้อยเท่าเพื่อทำการสาบานได้สำเร็จ แม้คำสาบานจะมีชื่อว่า ปีศาจในใจ แต่ตอนที่เขาสาบาน ใต้ฐานและพลังวิญญาณขั้นปฐมของเขากลับสงบ มีเพียงคลื่นเล็กๆ ไร้สีสันที่แผ่ออกมาจากใจกลางของใต้ฐาน ซึ่งกวาดล้างทุกอย่างที่ใต้ฐานออกไปก่อนที่จะแผ่วลงบริเวณขอบของใต้ฐาน นอกจากสิ่งนี้ ก็ไม่มีสัญญาณอื่นที่จะบ่งบอกว่าการสาบานต่อปีศาจในใจเป็นผลแล้ว… ทว่าหวังลู่ก็มั่นใจว่าทันทีที่คำสาบานเป็นผล หากเขาคิดฝ่าฝืน เขาย่อมตายอย่างแน่นอน
หลังจากสาบานแล้ว หวังลู่ก็ลืมตาขึ้นช้าๆ ความรู้สึกที่อยากกอบโกยทุกอย่างเพราะพลังวิญญาณขั้นปฐมที่ขยายออกก่อนหน้านี้ได้สูญสลายไปแล้ว ทว่าผลของคำสาบานได้ถูกสลักลงในใต้ฐาน กายเนื้อของเขา พลังวิญญาณขั้นปฐม… รวมถึงทุกสิ่งทุกอย่างของเขา ตอนที่หวังลู่ยืดตัวเล็กน้อย กระดูกในร่างก็ส่งเสียง ‘กา-กา’ ออกมา ร่างทั้งร่างของเขาเปลี่ยนไปหมดจริงๆ
“เจ้ามีเวลาสองวันในการซึบซาบคำสาบานต่อปีศาจในใจก่อนที่มันจะส่งผลกับตัวเจ้าแต่เจ้าจำเป็นต้องเปลี่ยนกลยุทธ์ ต่อไปนี้ห้ามเจ้าใช้วิธีโจมตีใดๆ… ปกติแล้วหากผู้บำเพ็ญเซียนขั้นพิสุทธิ์ให้คำสาบาน พลังวิญญาณของพวกเขานั้นแข็งแกร่รงเพียงพอที่จะยับยั้งอุปนิสัยของตัวเองได้ ทว่าหากมีการใช้ยาช่วยในการให้คำสาบาน ก็เสี่ยงที่จะเกิดการพลาดพลั้งได้ แต่นั่นคงไม่ใช่ปัญหาสำหรับเจ้าหรอกใช่ไหม”
หวังลู่พยักหน้า “วางใจเถอะ ข้าเป็นนักผจญภัยมืออาชีพที่มีคุณสมบัติดีพร้อม”
ทันทีที่พูดจบ ท่านอาเจ็ดก็ขัดขึ้น
“เอาละ งั้นก็เริ่มแผนการต่อไปในตารางของเราได้แล้ว นั่นคือการต่อสู้จริงๆ”
เพราะเวลามีจำกัด อ้าวกวนไห่ที่คุ้นเคยกับลีลาของคนบนยอดเขาไร้ลักษณ์ดีจึงไม่อยากเสียเวลา ทว่าหวังลู่ก็ดูเหมือนเตรียมพร้อมอยู่แล้วเช่นกัน เขาแกว่งกระบี่แห่งเขาคุนและสกัดการโจมตีของท่านอาเจ็ดได้ทันท่วงที
“โอ้?” เมื่อกระบี่ทั้งสองประสานกัน หวังลู่ก็ตื่นตกใจ แน่นอนว่าท่านอาเจ็ดไม่ได้ใส่เต็มแรง แต่พลังของกระบี่ที่ปล่อยมาก็ยังอยู่ในขั้นพิสุทธิ์ ที่ผ่านมาหวังลู่มักได้รับผลกระทบจากการโจมตีเช่นนี้ และเขามักจะบาดเจ็บภายใน ทว่าตอนนี้หวังลู่รู้สึกเหมือนเพียงมีไฟฟ้าดูดตามร่างเท่านั้น และเขาก็รับมือได้อย่างไม่ยากเย็น
ไม่น่าเชื่อว่าในช่วงเวลาสั้นๆ คำสาบานกับปีศาจในใจจะทำงานได้อย่างน่าอัศจรรย์เช่นนี้
“อย่ารีบดีใจไป พลังกระบี่นี้เมื่อเทียบกับมาตรฐานของหลิวหลีแล้วคิดเป็นห้าส่วนเท่านั้น ในสองวันนี้เจ้ายังจำเป็นต้องฝึกให้หนัก” อาวุโสเจ็ดถอนหายใจ กวัดแกว่งกระบี่ในมืออีกครั้ง พลังของมันเพิ่มขึ้นเล็กน้อย
“ฮ่าๆๆ เข้ามาเลย”
หวังลู่ไม่ได้แสดงจุดอ่อนแม้แต่น้อย ไม่เพียงกระบี่แห่งเขาคุนของเขาจะปัดป้องการโจมตีได้สำเร็จ ที่น่าทึ่งยิ่งกว่าคือ กระดูกกระบี่ไร้ลักษณ์ของเขาสั่นไหว มันสะท้อนคืนพลังโจมตีกลับไปด้วยกระบี่ไร้นาม!
การตอบโต้ที่รุนแรงสร้างความตกใจให้อาวุโสเจ็ด เจ้าเด็กหวังลู่ได้สาบานกับปีศาจในใจไปแล้ว ดังนั้นเขาควรระวังอย่างยิ่งในการสะท้อนกลับพลัง! แต่เขากลับยังกล้าทำ! ทว่า…หากเจ้าเด็กนี่ไม่ทำเช่นนี้ ก็ไม่มีความจำเป็นที่จะต้องขึ้นไปสู้ในสองวันให้หลัง วิธีที่ดีที่สุดคือโยนผ้าขาวทิ้งเสีย หากไม่คิดจะต่อสู้ซึ่งๆ หน้ากับหลิวหลี ก็เป็นเรื่องยากที่จะรับรู้ถึงพลังที่หลิวหลีมี
ในสองวันนี้ แม้หวังลู่จะฝึกพิเศษด้วยจิตใจที่มุ่งมั่น แต่โอกาสที่เขาจะชนะก็ยังมีไม่ถึงสามส่วน ซึ่งนี่เป็นตัวเลขที่อาวุโสเจ็ดประเมินในแง่บวกแล้ว
อย่างไรเสียช่องว่างในการบำเพ็ญเซียนของหลิวหลีและหวังลู่ก็ต่างกันอยู่ถึงสองหรือสามปี และยิ่งเป็นพวกที่มีพรสวรรค์หาใดเปรียบด้วยกันทั้งคู่ เวลาที่แตกต่างกันเพียงสองสามปีก็ทำให้ยากจะเอาชนะได้แล้ว…
“ฮึบ!”
ไม่นานหวังลู่บาดเจ็บภายในจากแรงกระตุกของคลื่นพลังกระบี่ ทว่านี่ยังเพิ่งเริ่มต้นเท่านั้น…
“ระยำเอ๊ย ซวยชะมัดที่ต้องมาหลั่งเลือดเพราะท่านอามืด”
…
[1] ซวีของคำว่าซวีตั้น ที่แปลว่าขั้นพิสุทธิ์ หมายถึง เสมือนจริง พื้นที่โล่ง ความว่างเปล่า