วิญญาณสีเลือดในบ้านข้าง ๆ เสี่ยวปู้นั้นมีพลังมากกว่าที่เขาจำได้ อันที่จริง ส่วนหนึ่งก็เป็นความผิดของเขาเช่นกัน เขาประมาทเกินไปหลังจากใช้เวลากับเหล่าวิญญาณสีเลือดมากเข้า ลืมความกลัวที่เคยกอบกุมใจเขาตอนที่เขาเจอกับวิญญาณสีเลือดครั้งแรก
สีแดงสดนั้นหมายถึงอันตรายและความน่ากลัว ตอนที่ผีผู้หญิงปรากฏตัวขึ้น สัญชาตญาณการเอาชีวิตรอดในกระดูกของเฉินเกอก็ตื่นตัวขึ้นมา ก่อนที่ฆาตกรคนนั้นจะทันรู้ว่าเกิดอะไรขึ้น เฉินเกอก็เผ่นไปไกลแล้ว
ตอนที่เสี่ยวปู้ผลักเปิดประตูครั้งแรก เธอก็เป็นแค่เด็กธรรมดา เธอรอดชีวิตอยู่หลังประตูนานขนาดนี้ได้อย่างไรกัน?
ฆาตกร ผี และยังสัตว์ประหลาดผิวสีเทา– ในเมืองนี้ ไม่ได้ต่างไปจากฝันร้ายเลย กระทั่งผู้ใหญ่สักคนยังรู้สึกว่ายากที่จะเอาชีวิตรอด ดังนั้นแล้วเด็กหญิงเล็ก ๆ คนหนึ่งทำได้อย่างไร? นั่นทำให้เฉินเกอสงสัย
เฉินเกอลากค้อนวิ่งหนีเอาชีวิตรอด เขาไม่กล้ามองกลับไปข้างหลัง เสียงเคาะและเสียงน้ำที่ดังมาจากด้านหลังเขานั้นเป็นแรงกระตุ้นที่เพียงพอให้เขาวิ่งไปเรื่อย ๆ เขารู้ว่าวิญญาณสีเลือดตนนั้นอยู่ด้านหลังเขานี่เองแล้ว
ผู้โดยสารสองสามคนนั้นเดิมยืนอยู่กลางเขตที่พักอาศัย พวกเขามองไปยังเมืองเล็ก ๆ ที่โอบล้อมไปด้วยหมอกสีเลือดและเบียดตัวเข้าหากัน กลัวว่าแค่กะพริบตาแล้วพวกเขาก็จะถูกลากเข้าไปในหมอกโดยสัตว์ประหลาดสักตน หลังจากแยกจากเฉินเกอ พวกเขาก็เหมือนไร้ที่ยึดเหนี่ยว รู้สึกไม่มั่นคง และไม่ปลอดภัย
“วิ่ง!” เสียงเฉินเกอดังออกมาจากในอพาร์ทเม้นท์ และนี่ก็เป็นครั้งแรกที่เหล่าผู้โดยสารได้ยินเฉินเกอใช้น้ำเสียงเร่งร้อนเช่นนั้น ในใจพวกเขาคิดว่า ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น ผู้ชายคนนี้ก็มักจะสงบนิ่งเหมือนความสยองขวัญนั้นเป็นอะไรที่อยู่ไกลจากตัวเขา ความจริงพิสูจน์แล้วว่าพวกเขาเข้าใจผิดไป ผู้ชายคนนั้นไม่ได้มีภูมิต้านทานความกลัว– มันก็แค่ว่า เขายังไม่ได้เจอกับอะไรที่ทำให้เขาหวาดกลัวได้เท่านั้น!
หลังจากได้ยินเสียงเฉินเกอ ผู้โดยสารก็หันหน้าไปทางเฉินเกอช้า ๆ แขนซ้ายของเขานั้นหิ้วกระเป๋าสองใบเอาไว้ มือขวาลาก ‘ค้อนประกอบฉาก’ ไหล่ขวาของเขานั้นมีเจ้าแมวขาวที่กำลังกระวนกระวายเกาะเอาไว้แน่น เฉินเกอมาถึงพร้อมกันสีหน้าบิดเบี้ยว ขาของเขาก้าวรวดเร็วราวกับสายลมขณะวิ่งมาทางพวกเขา “วิ่งไปทางซ้าย! ไปที่โรงแรม! โรงแรม!”
ตอนแรก ผู้โดยสารนั้นไม่รู้ว่าเฉินเกอไปเจอกับอะไรเข้า หนึ่งวินาทีให้หลัง ดวงตาของพวกเขาก็มองผ่านเฉินเกอไป ศพผู้หญิงไร้หัวเดินออกมาจากทางเดินมืด ๆ หลอดเลือดจำนวนนับไม่ถ้วนคืบคลานออกมาจากลำคอที่ถูกตัดขาดเรียบไปถักทอเป็นตาข่ายเลือดแดงสดผืนใหญ่ ที่ปลายตาข่ายนั้นเป็นหัวคนที่ดูน่ากลัวอย่างไม่น่าเชื่อ!
“เชี่ยไรน่ะ!”
“คุณทำอะไรลงไปเนี่ยคราวนี้?”
“วิ่ง!”
ตัวตนของวิญญาณสีเลือดนั้นข่มขวัญยิ่งกว่าวิญญาณทั่วไปมากนัก ตอนที่ผู้โดยสารเห็นเธอ ปฏิกริยาของพวกเขานั้นก็คล้ายกับเฉินเกอ พวกเขาเริ่มออกวิ่ง พวกเขานึกไม่ออกเลยว่าจะเกิดอะไรขึ้นถ้าพวกเขาถูกจับตัวได้ สมองของพวกเขาว่างเปล่า และมีแค่คำสั่งเดียวที่เหลืออยู่– วิ่ง! วิ่งให้เร็วเท่าที่ทำได้!
ความเร็วของผีผู้หญิงนั้นเร็วกว่าในเกม เฉินเกอนั้นวิ่งเร็วสุดชีวิตแล้วแต่ถึงอย่างนั้นระยะห่างระหว่างพวกเขาก็ยังแคบลง
โชคดีที่ฉันส่งฆาตกรเข้าไปที่นั่นก่อน ถ้าฉันเป็นคนเปิดประตูโดยไม่มีเวลาสองสามวินาทีนั้นเป็นตัวกลาง ฉันก็คงจะถูกลากเข้าไปในห้องไปแล้ว
เมื่อไม่สามารถเรียกจางหยาออกมาได้ เฉินเกอก็มีแค่ซู่อินที่อาจจะสามารถหยุดผู้หญิงไร้หัวตนนี้ไว้ได้
หลังจากทำภารกิจที่นี่สำเร็จ ไม่ว่ายังไง ฉันก็ต้องช่วยซู่อินตามหาหัวใจของเขาแล้ว!
วิ่งไปตามถนน ภาพจากเกมของเสี่ยวปู้ก็ซ้อนขึ้นมาอย่างสมบูรณ์แบบ ในถนนที่เต็มไปด้วยหมอก พวกเขาหลายคนกรีดร้องบ้าคลั่งขณะวิ่งไปตามทางถนนสู่ปลายทางอันไม่รู้จัก
“ฉันวิ่งไม่ไหวแล้ว! ขาฉันไม่ขยับแล้ว!” ชายขี้เมากุมหน้าอกตัวเอง “มันเหมือนหัวใจของฉันจะวายไปแล้ว!”
“ถ้าคุณหยุด เจ้าสิ่งนั้นก็จะมาควักหัวใจคุณออกจากหน้าอกด้วยตัวมันเอง! อย่าหยุด!” เฉินเกอร้องเตือน บางทีการให้กำลังใจของเขาอาจจะใช้ได้ผล ชายขี้เมากัดฟันแล้วพุ่งไปข้างหน้าต่อ
“ตอนนี้ผมรู้แล้วว่าทำไมคุณถึงบอกให้พวกเรารอคุณที่ทางเข้า! ถ้าคุณบอกพวกเราว่าจะเกิดเรื่องอย่างนี้ขึ้น พวกเราก็ไปรอคุณอยู่ที่โรงแรมแล้ว!” มือกรรไกรตะโกน กระทั่งฆาตกรที่น่ากลัวที่สุดก็ยังหวาดกลัวเมื่อเจอเข้ากับวิญญาณสีเลือด อย่าว่าแต่ตัวปลอมคนหนึ่งนี่เลย
ท่าทีของเฉินเกอต่อมือกรรไกรนั้นค่อนไปทางใจดีด้วย อย่างไรเขาก็วางแผนจะฟูมฟักชายหนุ่มคนนี้มาเป็นพนักงานของเขา “ไม่เป็นไร นี่ไม่ใช่เรื่องใหญ่! ตราบใดที่คุณวิ่งเร็วพอ ผีก็ไม่สามารถจับคุณได้! แค่ฟังผม! พวกเราจะปลอดภัยเมื่อไปถึงโรงแรม!”
เมื่อคนผู้หนึ่งเจอกับเรื่องเหนือธรรมชาติ สิ่งที่แย่ที่สุดก็คือการขังตัวเองเอาไว้ในอาคารปิด ตราบใดที่สามารถวิ่งได้ อย่างนั้นก็ยังมีความหวัง นี่เป็นข้อสรุปที่เฉินเกอได้มาหลังจากได้รับมือกับพวกผีหลายครั้งเข้า ในเมื่อพวกผีนั้นไล่ตามมาติด ๆ แล้ว มันก็สายเกินกว่าจะพูดอะไรแล้วตอนนี้ สิ่งเดียวที่ต้องทำก็คือวิ่ง
ตึกที่สองฟากข้างถนนนั้นมีเสียงประหลาดดังออกมา มันเหมือนสิ่งนั้นอาจจะเอื้อมมือออกมาจากหน้าต่างที่เปิดไว้ครึ่ง ๆ เมื่อไหร่ก็ได้
“อยู่กลางถนนเข้าไว้! อย่าเข้าไปใกล้ตึกพวกนั้นเกินไป!” เฉินเกอยังจำฉากในเกมของเสี่ยวปู้ได้ อันตรายอยู่ในทุกที่ในเมืองหลี่ว่านเมื่อฟ้ามืดลง สัตว์ประหลาดและผีซ่อนตัวอยู่ในตึกมักจะใช้ความมืดกำบังการโจมตี ‘ลูกแกะ’ ที่เดินมาตามถนน
“สัตว์ประหลาดและผีส่วนใหญ่นั้นจะไม่ออกมาจากตึกของตัวเอง แต่ว่ากฎนี้นั้นใช้กับวิญญาณสีเลือดไม่ได้” เฉินเกอหันกลับไปมองด้านหลังตัวเอง เขาไม่รู้ว่าเขาทำอะไรที่เป็นการท้าทายผู้หญิงคนนี้เข้าเธอถึงไม่ยอมปล่อยเขาไป “ดูเหมือนว่าในเมืองหลี่ว่าน วิญญาณสีเลือดจะเป็นผู้ที่อยู่บนสุดของห่วงโซ่อาหาร นี่น่าจะเป็นภาพสะท้อนของสภาพที่ด้านหลังประตูได้อย่างสมบูรณ์แบบเช่นกัน”
เฉินเกอนั้นเป็นคนใจดี เพราะว่าเขาวิ่งอยู่ด้านหลังคนเดียวและรับความเสี่ยงใหญ่ที่สุด หลังจากวิ่งไปตามถนนอยู่หลายนาที หมอและมือกรรไกรที่วิ่งนำหน้า ในที่สุดก็มองเห็นโรงแรมที่เฉินเกอพูดถึง นี่เป็นตึกที่ผสานร้านอาหารและโรงแรมเข้าด้วยกัน มันตั้งอยู่กลางเมืองและดูเก่า บางทีอาจจะสร้างมาหลายสิบปีแล้ว
“ที่นั่น! เข้าไปในนั้น” เฉินเกอนั้นอยู่ใกล้กับผีอย่างน่าหวาดเสียว ผลกระทบโดยตรงที่สุดจากเรื่องนี้ก็คือเจ้าแมวขาวที่เดิมเกาะอยู่บนไหล่ของเขานั้นตอนนั้นย้ายมาแอบอยู่ที่อกเขา กรงเล็บของมันจิกเสื้อของเฉินเกอเอาไว้แน่นหนาและมันก็เอาแต่ส่งเสียงขู่ฟ่อตลอดเวลา
พอเหล่าผู้โดยสารพุ่งเข้าไปในโรงแรม เฉินเกอก็ถอนหายใจอย่างโล่งอก เขายกค้อนขึ้นและเล็งไปที่ประตู เขาเหวี่ยงค้อนเข้าไปจากนั้นก็เร่งความเร็วและเบียดตัวเองเข้าประตูไปได้ฉิวเฉียด
“ปิดประตู!” ประตูกระแทกปิด และจากนั้นก็มีเสียงดังลั่น ผู้โดยสารรีบช่วยกันย้ายเครื่องเรือนมาขวางทางเข้าเอาไว้ หลายนาทีให้หลัง ประตูก็หยุดสั่น และเหลือเพียงเสียงเคาะสม่ำเสมอดังมาจากด้านนอกประตู
“ตอนนี้ไม่เป็นไรแล้ว พวกเราพักกันได้ครู่หนึ่ง” เฉินเกอหยิบค้อนขึ้นมาและยัดมันกลับเข้าไปในกระเป๋า เขาอุ้มเจ้าแมวขาวที่หมดแรงไปแล้ว เจ้าแมวดูราวกับทำกระดูกหล่นหายไปจากร่าง มันเอนตัวนอนในกระเป๋าอย่างอ่อนแรง
“พี่ชาย คุณแน่ใจเหรอว่าตอนนี้ปลอดภัยแล้ว? ผู้หญิงที่ด้านนอกยังใช้หัวกระแทกประตูอยู่เลย!” ชายขี้เมามองผ่านช่องเล็ก ๆ ออกไป “เธอใช้หัวตัวเองเคาะประตูจริง ๆ นะ!”