หวงฝู่อี้เซวียนหลับตา น้ำตาไหลนอง สักพักหนึ่งถึงจะลืมตาขึ้นมา ดวงตาแดงก่ำ อยากเปิดปากพูดอะไรสักอย่าง
เมิ่งเชี่ยนโยวเอามือไปปิดปากของเขา หยุดเขาเอาไว้ แม้ว่าน้ำตาจะยังไหลอยู่ แต่ใบหน้าก็ได้แสดงออกถึงรอยยิ้ม “อี้เซวียน เจ้าลืมไปแล้วหรือ ข้ารู้วิชาการแพทย์ ก่อนมา ข้าได้เตรียมการไว้เรียบร้อยแล้ว วางใจเถิด ข้าจะไม่ให้เจ้าตายอย่างแน่นอน พวกเรายังจะต้องมีลูกมีหลานด้วยกัน อยู่กันไปจนแก่เฒ่านะ”
ดวงตาของหวงฝู่อี้เซวียนก็เป็นประกาย มีหยดน้ำตาซ่อนอยู่ พยักหน้าแล้วพูดว่า “ข้าเชื่อเจ้า!”
องครักษ์หลวงที่ยืนอยู่ข้างๆ ก็ได้ยินคำพูดของเมิ่งเชี่ยนโยวเช่นกัน จึงแสดงท่าทางดีใจออกมาอย่างไม่ได้นัดกัน
เมิ่งเชี่ยนโยวถึงได้นึกขึ้นได้ว่าตนไม่ได้เอาเม็ดยาที่ทำไว้มา จึงวางแขนของหวงฝู่อี้เซวียนลงอย่างรีบร้อน พร้อมลุกขึ้นแล้วบอกว่า “พวกเจ้ารอข้าสักครู่” เมื่อพูดจบ ก็เดินออกไปข้างนอกอย่างรวดเร็ว
หวงฝู่อี้เซวียนนอนอยู่ที่พื้น มองนางที่กำลังรีบรน ก็แสดงสีหน้าแห่งความสุขขึ้นมา
เดินมาถึงรั้วสถานกักตัว เมิ่งเชี่ยนโยวก็ได้ตะโกนเรียกชิงหลวนที่กำลังมองมาที่ทางนี้อย่างร้อนรนว่า “เอาเม็ดยาที่ข้าเตรียมไว้โยนเข้ามา”
ชิงหลวนจึงรีบหยิบกระสอบหนึ่งออกมาจากอานม้า แล้วหยิบขวดดินเผาออกมาสองขวด โยนไปที่เมิ่งเชี่ยนโยว
เมิ่งเชี่ยนโยวรับ แล้วสั่งว่า “แจกให้กับพรรคพวกของเราและใต้เท้าจางคนละหนึ่งเม็ด”
เมื่อพูดจบ ก็หันหลังเดินกลับไปที่ด้านใน
ชิงหลวนก็หยิบขวดดินเผาออกมาอีกหลายขวด โยนให้กับพวกองครักษ์ลับ เหลือไว้ให้ตนเองหนึ่งขวด เปิดออกมา เทใส่ในมือไว้หลายเม็ด แล้วยื่นไปที่ด้านหน้าของจูหลี
จูหลีหยิบไว้สองเม็ด เม็ดหนึ่งใส่เข้าไปในปาก ส่วนอีกเม็ดหนึ่งก็ส่งให้กับกัวเฟย ส่งสัญญาณให้เขาอ้าปาก จะได้กลืนยาลงไปได้
และชิงหลวนก็เอายาเม็ดสุดท้ายส่งให้กับจางเจ๋อหวย
จางเจ๋อหวยก็ไม่ได้เกรงใจ รับไว้ แล้วใส่เข้าในปาก กลืนลงไป
คิดถึงคำที่น้องสาวของตนได้บอกไว้ เรื่องวิชาการแพทย์ของเมิ่งเชี่ยนโยว เฮ่อเหลี่ยนได้แต่กะพริบตา แล้วร้องเรียกอย่างไม่ละอายว่า “ขอข้าด้วยหนึ่งเม็ด”
ไม่มีใครสนใจเขา
เฮ่อเหลี่ยนโกรธ แล้วตะโกนต่อว่าไปที่จางเจ๋อหวย “ข้าหลวงจาง เจ้าเบื่อชีวิตนักหรือไง จัดการพวกเขาซะ ข้า…”
พูดยังไม่ทันจบ ก็โดนจูหลีเอามีดสั้นไปจี้ไว้ที่คอ ร่างกายของเขาอ่อนลงโดยทันใด ล้มกองลงไปที่พื้น
“คุณชายใหญ่!” องครักษ์เงาที่ติดตามเขามาร้องออกมาด้วยความตกใจ
“ร้องเรียกอะไรกัน เขาไม่ตายหรอก” ชิงหลวนบอกพวกเขาด้วยความไม่สบอารมณ์
ทุกคนปิดปากเงียบ ไม่กล้าพูดอะไรอีก
“ใต้เท้าจาง พวกเขาเป็นอุปสรรคยิ่งนัก ไม่ทราบว่ามีที่ใดสามารถคุมตัวพวกเขาได้บ้าง” ชิงหลวนหันมาถามจางเจ๋อหวยอย่างมีมารยาท
จางเจ๋อหวยได้ตำแหน่งข้าหลวง เป็นเจ้าเมืองมาภายในเวลาไม่กี่ปี ความคิดหลักแหลมเป็นที่สุด ก็เข้าใจในความหมายของคำพูดของนางโดยทันที ก็คือจะเอาเฮ่อเหลี่ยนและคนอื่นๆ จับกุมเอาไว้ ถึงแม้ว่าจะเป็นความผิด แต่ว่าในตอนแรกเขาได้เลือกช่วยเมิ่งเชี่ยนโยวแล้ว เปรียบเสมือนว่าเขาได้ยืนตรงข้ามกับฝั่งของเฮ่อเหลี่ยนแล้ว ไม่มีทางถอยแล้ว หลังจากนี้ไม่ว่าจะเป็นหรือตาย ทุกอย่างขึ้นอยู่ที่เมิ่งเชี่ยนโยวผู้เดียว พยักหน้า ออกคำสั่งว่า “ทหาร เอาตัวคุณชายใหญ่และลูกน้องไปขังไว้ที่คุกก่อน เป็นการควบคุมตัวชั่วคราวก่อน”
ทหารตอบรับ ก็ก้าวเข้ามาพยุงเฮ่อเหลี่ยนที่นอนกองอยู่ที่พื้นเพื่อเตรียมนำตัวไปที่คุก
องครักษ์เงาของเฮ่อเหลี่ยนก็พูดออกมาด้วยน้ำเสียงโกรธเกรี้ยวว่า “ข้าหลวงจาง เจ้าช่างสามหาวยิ่งนัก คุณชายใหญ่เป็นถึงผู้ที่ฮ่องเต้ทรงโปรดให้มาจัดการเรื่องโรคระบาด เจ้าทำแบบนี้ ไม่กลัวว่าคุณชายใหญ่จะกลับไปรายงานฮ่องเต้ให้ตัดหัวเจ้ารึ”
จางเจ๋อหวยก็ตอบกลับไปอย่างไม่ยอมเช่นกันว่า “คุณชายใหญ่ของเจ้ามาก็ตั้งหลายวันแล้ว แต่ไม่สามารถทำอะไรได้เลย ทำให้ชาวบ้านติดเชื้อเพิ่มตั้งมากมาย เดี๋ยวข้าจะเขียนจดหมายไปรายงานฮ่องเต้ แล้วส่งม้าเร็วไปที่เมืองหลวง ดูสิว่า ฮ่องเต้จะตัดหัวข้า หรือว่าหัวของเขากันแน่”
หลังจากที่เฮ่อเหลี่ยนมาที่หลินเฉิง นอกจากวันๆ เอาแต่เร่งหมอหลวงจากสำนักหมอหลวงให้คิดหาวิธีจัดการโรคระบาดโดยเร็วที่สุด ส่วนอย่างอื่นก็ไม่เห็นจะทำอะไรเลย ทุกอย่างล้วนแล้วแต่ใช้ของที่มีอยู่แล้ว แต่เพราะว่าเขาเป็นคนที่ฮ่องเต้ส่งมาก็เท่านั้น จางเจ๋อหวยถึงแม้ว่าอยากจะด่าเขาแค่ไหน แต่ก็ไม่กล้า แต่ว่าตอนนี้เมิ่งเชี่ยนโยวมาแล้ว มีคนคอยคุ้มกันแล้ว จางเจ๋อหวยจึงไม่เกรงกลัวอีกต่อไป จึงกล้าพูดออกมา
องครักษ์เงาทุกคนที่ได้ยินคำพูดของเขาก็ไม่รู้จะพูดอะไรอีก
จางเจ๋อหวยโบกมือ ทหารพยุงเฮ่อเหลี่ยน และเหล่าองครักษ์ลับก็คุมตัวองครักษ์เงาทั้งหลายไปที่คุก
จูหลีไม่วางใจ จึงบอกกับกัวเฟยว่า “หัวหน้ากัว พวกเขามีฝีมือล้ำเลิศ เกรงว่าคุกจะขังพวกเขาไม่ได้ ขอให้ท่านจัดองครักษ์ลับไปเฝ้าที่นั่นเอาไว้ อย่าพลาดให้พวกเขาออกมาทำให้นายหญิงของพวกเราลำบากเป็นอันขาด”
กัวเฟยพยักหน้า ออกคำสั่งไป แล้วก็มีองครักษ์ลับตามอยู่ทางด้านหลัง
องครักษ์เงาของเฮ่อเหลี่ยนโกรธแค้นอยู่ในใจ พวกเขาเป็นถึงองครักษ์เงาแห่งจวนเสนาบดี ออกไปทำเรื่องต่างๆ อยู่ไม่ขาด ไม่ว่าจะไปที่ไหนก็มีแต่คนต่างเกรงกลัว ไม่คิดว่าจะมีวันนี้ที่พวกเขาโดนจับเข้าคุก
หลังจากที่เมิ่งเชี่ยนโยวได้ขวดยามาแล้ว ก็รีบเดินกลับมาที่ห้องเล็กอย่างรวดเร็ว คุกเข่าอยู่ทางด้านหน้าหวงฝู่อี้เซวียน เทเม็ดยาออกมา แล้วใส่เข้าไปในปากของเขา
หวงฝู่อี้เซวียนกลืนลงไป
และให้ยาแก่องครักษ์หลวงที่เหลือคนละหนึ่งเม็ด
เมื่อทุกคนกลืนยาลงไปแล้ว ก็รู้สึกได้ถึงความร้อนในร่างกายนั้นหายไปโดยทันทีทันใด
รอให้หวงฝู่อี้เซวียนกินหมด เมิ่งเชี่ยนโยวก็ถามด้วยน้ำเสียงอันอบอุ่นว่า “ดีขึ้นหรือไม่”
กะพริบตามองไปที่นาง หวงฝู่อี้เซวียนก็พยักหน้าเบาๆ
เมิ่งเชี่ยนโยวก็ยิ้มออกมาด้วยความดีใจ แบบนี้ถึงได้วางใจลงบ้าง นั่งอยู่ที่พื้นด้านหน้าเขา แล้วจับมือเขาอย่างระมัดระวัง เอามือเขาวางไปที่บนตักของตน แล้วใช้มือของตนจับชีพจรที่ข้อมือของเขา เมื่อจับลงไป คิ้วขมวดขึ้น นานกว่าจะกลับเป็นปกติ แล้วเปลี่ยนเป็นมืออีกข้างหนึ่ง
เวลาผ่านไปเนิ่นนาน เมิ่งเชี่ยนโยวก็ปล่อยมือของเขาพร้อมถามว่า “อี้เซวียน เจ้ารู้ว่าตัวเองติดโรคตั้งแต่เมื่อใดกัน”
หวงฝู่อี้เซวียนมองไปที่นาง แล้วตอบอย่างอ่อนแรงว่า “ก่อนหน้าสามวัน”
“ตอนนั้นรู้สึกอย่างไรบ้าง”
“ร้อนไปทั้งตัว ไร้เรี่ยวแรงไปหมด อีกทั้งยังไอไม่หยุด รู้สึกเหมือนมีอะไรติดอยู่ที่ในลำคอ”
“ทุกคนเป็นแบบนี้หรือไม่”
หวงฝู่อี้เซวียนพยักหน้า “เป็นแบบนี้กันหมด ในตอนที่มาจัดระเบียบผู้ประสบภัยมีเพียงแค่ไม่กี่คนเท่านั้น ข้าก็เลยไม่ได้สนใจ นึกว่าพวกเขาเป็นเพียงแค่ไข้หวัดธรรมดา ใครจะไปรู้ว่าต่อมาจะมีคนไอเยอะขึ้นเรื่อยๆ และอีกทั้งคนที่มีอาการเดียวกันนี้ก็เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ตอนนั้นเองทื่ข้าถึงรู้ได้ว่านี่เป็นโรคระบาด จึงได้ออกคำสั่งให้เอาพวกเขากักตัวเองไว้ แต่ว่ามันสายไปแล้ว มีผู้คนมากมายติดเชื้อไปแล้ว” เมื่อพูดจบ ก็แสดงสีหน้าเจ็บปวดและพูดโทษตัวเองว่า “ถ้าหากว่าข้าเจอมันเร็วกว่านี้ก็คงดี จะได้ไม่มีคนตายมากมายขนาดนี้”
เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้มออกมา แล้วพูดอย่างอบอุ่นว่า “ฮ่องเต้ได้ส่งเฮ่อเหลี่ยนและหมอหลวงห้าคนมาจัดการโรคระบาด หลายวันนี้ดูท่าพวกเขาจะปวดขมับกันอยู่เหมือนกัน เจ้านอนพักเถิด ข้าจะไปปรึกษากับพวกเขา ไว้รอเจ้าตื่น ข้าก็กลับมาแล้ว”
ตัวร้อนติดต่อกันหลายวัน ทำให้ร่างกายของหวงฝู่อี้เซวียนสูญเสียน้ำไปมาก แต่เมื่อฟังนางพูดจบ ก็สบายใจขึ้นหน่อย ในทันทีทันใดก็รู้สึกว่าตนเองไม่เหลือเรี่ยวแรงเลยแม้แต่น้อย พยักหน้าอย่างช้าๆ พร้อมกำชับว่า “เจ้าระวังตัวด้วย รักษาชีวิตตนเองเป็นสำคัญ”
เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้มแล้วพยักหน้า
หวงฝู่อี้เซวียนหลับตาลง
รอให้เขาหายใจเป็นปกติ เมิ่งเชี่ยนโยวจึงลุกขึ้น แล้วเดินมุ่งออกไปข้างนอก
เดินไป ก็คิดไป จากการที่นางได้จับชีพจรของหวงฝู่อี้เซวียน นี่ไม่ใช่โรคห่า แต่ว่าเป็นไวรัสไข้หวัดระบาดชนิดร้ายแรงของสมัยนี้ แต่ว่าสมัยนี้ ไม่มียาต้าน ผู้คนติดเชื้อเยอะเพียงนี้ หากไม่จัดการให้ดีก็มีแต่รอความตายเท่านั้น
คิดไปเดินไปอย่างรวดเร็ว
ชิงหลวนและจูหลีที่ยืนเฝ้าอยู่ทางด้านทางนอก เห็นนางเดินออกมาด้านนอกอย่างร้อนรนก็คิดว่านางจะสั่งอะไร จึงตะโกนออกไปว่า “นายหญิง!”
เมิ่งเชี่ยนโยวหยุดยืนห่างจากพวกเขาสามจั้ง แล้วตะโกนถามจางเจ๋อหวยว่า “ใต้เท้าจาง หมอหลวงจากสำนักหมอหลวงทั้งห้าคนล่ะ”
“พวกเขาอยู่ในพื้นที่ลี้ภัยในเมืองโน้น กำลังตรวจดูกันอยู่ว่ามีคนที่ติดเชื้ออีกหรือไม่” จางเจ๋อหวยตอบ
“ไปตามพวกเขามาที่นี่เดี๋ยวนี้ บอกว่าข้าจะปรึกษาเรื่องรักษาโรคระบาดนี้”
จางเจ๋อหวยดีใจเป็นอย่างมาก ตอบรับ แล้วสั่งคนให้ไปบอก