บทที่ 740 อู๋ชิงไม่เข้าใจ

องค์ชายวายร้ายอยากเป็นพ่อ

องค์ชายวายร้ายอยากเป็นพ่อ บทที่ 738 อู๋ชิงไม่เข้าใจ

ฉีเฟยอวิ๋นเกือบจะโดนเลือด โชคดีที่หนานกงเย่พาเธอไปอีกฝั่งหนึ่ง ฮั่วหลงตัวปลอมมือสั่นทั้งสองข้างและจับใบหน้าของเขาไว้กรีดร้องออกมา

“เจ้าเป็นใครตอนนี้มันไม่สำคัญแล้ว บอกมาว่าฮั่วหลงอยู่ที่ไหนแล้วข้าจะปล่อยเจ้าไป!”

หนานกงเย่ปล่อยฉีเฟยอวิ๋น ร่างกายของเขาเต็มไปด้วยความโมโห ถึงแม้ใบหน้าเขาจะดูเรียบเฉย แต่สีหน้าของเขาก็เต็มไปด้วยความโกรธแค้นโมโห ความโกรธแค้นที่ฉีเฟยอวิ๋นก็พบเห็นได้น้อยครั้ง

“เจ้าฝันไปเถอะ หนานกงเย่ เจ้าไม่มีวันหาเขาพบ ต่อให้ข้าตายไปเขาก็ไม่มีวันรอด” ฮั่วหลงตัวปลอมหัวเราะขึ้นมา

“เจ้าคิดผิด เจ้าได้บอกข้าแล้วว่าฮั่วหลงยังมีชีวิตอยู่ มีเพียงเท่านี้ก็เพียงพอแล้ว ถึงแม้ปีกทางด้านใต้จะใหญ่ แต่สถานที่ที่สามารถหลบซ่อนได้นั้นกลับมีไม่มาก นายของเจ้าก็คงจะแอบซ่อนคนผิดที่สำคัญไว้ภายในวัง ในเมื่อข้ารู้แล้วว่าเขาคือใคร แค่เข้าวังไปลอบสังหารก็พอแล้ว

ตอนนี้หอทิงเฟิงก็ตกมาอยู่ภายใต้การควบคุมของข้า การสังหารนายของเจ้า นับเป็นเรื่องที่ง่ายมาก”

“พวกเจาจะฆ่านายข้าหรือ?” ฮั่วหลงตัวปลอมตกตะลึงครู่หนึ่ง ฉีเฟยอวิ๋นมองไปยังหนานกงเย่ เล่ห์เหลี่ยมของผู้ชายคนนี้ช่างสุดยอดมาก พูดไปไม่เท่าไรก็สามารถทำให้ฮั่วหลงตัวปลอมกระวนกระวายได้ขนาดนี้

เมื่อเป็นเช่นนี้ รู้ว่าฮั่วหลงยังมีชีวิตอยู่ นายของฮั่วหลงตัวปลอมเป็นคนในวัง ขอบเขตของศัตรูก็แคบลงมา จะมีฮั่วหลงตัวปลอมนี้ต่อไปอีกหรือไม่ก็ไม่สำคัญ

หนานกงเย่ลงมืออย่างเหี้ยมโหด และโบกแขนเสื้อ สมองของฮั่วหลงตัวปลอมก็ระเบิด และเขาไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเขาตายไปอย่างไร

ฉีเฟยอวิ๋นสูดหายใจลึก นี่คือหนานกงเย่ หนานกงเย่ตัวจริง

เขาดูเหมือนคนที่คอยแบกรับอารมณ์ในเมืองต้าเหลียง แต่เมื่อออกจากเมืองต้าเหลียง เขาฆ่าคนอย่างโหดเหี้ยมเกินกว่าคนธรรมดาทั่วไป

ยังไม่ทันที่ร่างของฮั่วหลงตัวปลอมจะล้มลงกับพื้นก็มีคนเดินเข้ามาจากหน้าประตู และใช้ผ้าสีดำปกคลุมร่างของฮั่วหลงตัวปลอมไว้ในทันที จากนั้นรีบจัดการสถานที่และหาคนของเขาออกไป

หนานกงเย่เดินไปมองดูนอกหน้าต่าง ใบหน้าที่เย็นชาไม่แสดงอาการใดๆ ฉีเฟยอวิ๋นเดินไปหาเขา “ท่านอ๋อง ท่านจะเข้าวังหรือเพคะ?”

“เขาไม่ได้อยู่ในวัง”

ดูเหมือนหนานกงเย่จะเชื่อมั่น ฉีเฟยอวิ๋นมองออกไป “ท่านรู้ได้อย่างไร เมื่อสักครู่ก็ได้ทดสอบดูแล้วไม่ใช่หรือเพคะ?”

“ฮั่วหลงตัวปลอมก็เป็นเพียงนักฆ่าที่โง่เขลา เขามีทุกวันนี้ได้เพราะว่าเขาจับฮั่วหลงได้ เมื่อกี้ที่ข้าได้ทดสอบเขา เห็นเขายิ้มมุมปากขึ้นมา เขาได้ใจมากที่โกหกข้า แต่เขาไม่รู้ว่าข้าก็ดูออกว่าเขากำลังโกหกข้า

ในเมื่อเป็นการโกหก เช่นนั้นก็คืออีกสิ่งตรงข้าม นั่นคือฮั่วหลงไม่ได้อยู่ในวัง”

“เช่นนั้นแล้วนายของเขาล่ะเพคะ?”

“นายของเขาเป็นคนในวังแน่ ส่วนเป็นใครนั้น ข้ายังต้องสืบ วันนี้เหนื่อยมากแล้ว ข้าต้องการพักผ่อน”

หนานกงเย่หันกลับไปและเดินไปพักผ่อน ฉีเฟยอวิ๋นเดินตามกลับไปและนั่งลง “ท่านอ๋องมีเรื่องหนักใจหรือเพคะ”

“ในบรรดาคนเหล่านั้น ฮั่วหลงมีความสามารถที่แย่ที่สุด และปีกทางด้านใต้คือที่ที่ข้าไม่ไว้วางใจที่สุด และเป็นที่ที่แข็งแกร่ง ข้าจะต้องจับตาดูปีกทางด้านใต้ไว้ ฉะนั้นจึงต้องหาคนที่เฉลียวฉลาดคนหนึ่ง แต่ฮั่วหลงกลับไม่เหมาะสม แต่สุดท้ายข้าก็ตัดสินใจเลือกฮั่วหลง”

“เพราะฮั่วหลงจงรักภักดีต่อข้ามากที่สุด” ฉีเฟยอวิ๋นมองออก ในแคว้นเฟิ่งคนอย่างเฟิงหลงนั้น หนานกงเย่ไม่แยแสเลยสักนิด แต่เมื่อมาถึงปีกทางด้านใต้ เพื่อฮั่วหลงแล้ว หนานกงเย่สามารถปล่อยวางทุกอย่างลงได้

หนานกงเย่หลับตาลง “ฮั่วหลงเติบโตมาด้วยกันกับข้า ถึงแม้ว่าความสามารถของเขาจะด้อยไปบ้าง แต่ก็เพื่อข้า หลายครั้งที่รอดชีวิตจากความตาย เขาต้องการมาที่ปีกทางด้านใต้ เขาเคยบอกกับข้าว่าปีกทางด้านใต้มีแมลงเยอะ สัตว์และพืชมีพิษเยอะ คนธรรมดาไม่สามารถอยู่รอด กลัวว่าคนเหล่านั้นจะหักหลัง แต่เขาไม่ เพราะว่าเขาซื่อบื้อ

ข้าตัดสินใจอยู่สามวันถึงให้เขามา”

“ตอนที่เขามาเขาอายุเท่าไรเพคะ?”

“สิบสองปี” หนานกงเย่กล่าวด้วยเสียงเรียบ

“เช่นนั้นพวกท่านไม่ได้เจอกันมานานเท่าไรแล้วเพคะ?”

“เก้าปีแล้ว ในเก้าปีนี้ข้ามาที่ปีกทางด้านใต้ก็มักอยากจะเจอเขา แต่เขาไม่มาพบข้า ถึงแม้ว่าข้าจะเคยพูดว่าเคยพบ แต่นั่นก็เพื่อตบตาคนอื่นเท่านั้น”

“ท่านอ๋อง กองสอดแนมก็อยู่ที่นี่แล้ว ท่านยังมีสายลับอีกหรือเพคะ?”

“นั่นไม่เหมือนกัน หวังฮวายอันก็คือหวังฮวายอัน ข้าคือข้า ข้าไม่สามารถฟังจากเขาทั้งหมดได้ คนของคนอื่นนั้นล้วนเป็นดวงตาสำหรับการโกหก สิ่งที่ข้าต้องการคือความชัดเจน”

“ท่านสงสัยมากเกินไปหรือเปล่าเพคะ?” ฉีเฟยอวิ๋นนอนลงและเหลือบมองหนานกงเย่ เขาไม่พูดอะไร แต่ก็เห็นได้ชัดว่าอารมณ์ของเขาไม่ดีเท่าไรนัก

“ท่านอ๋องยังเป็นกังวลหรือเพคะ?”

“เรื่องของฮั่วหลงทำให้เจ้าต้องเสียเวลาในการไปพบจักรพรรดิปีกทางด้านใต้ ข้ารู้สึกผิดมาก”

“ไม่รีบร้อนก่อนเพคะ” ในใจของฉีเฟยอวิ๋นนั้นร้อนรน แต่เมื่อเห็นหนานกงเย่เป็นเช่นนี้ เธอก็ไม่กล้าร้อนรนอีก

หนานกงเย่ไม่ได้ตอบ ไม่นานฉีเฟยอวิ๋นก็หลับลง แต่ก็ตื่นขึ้นมากลางดึก ข้างกายของเธอไม่มีคน เมื่อจับดูก็พบว่าเตียงเย็น นั่นหมายความว่าหนานกงเย่ออกไปนานมากแล้ว

ฉีเฟยอวิ๋นลุกขึ้นมานั่ง ข้างกายของเธอมีคนยืนอยู่ ฉีเฟยอวิ๋นมองเห็นเฟิงอู๋ชิงและตกใจเล็กน้อย “เสด็จอาสาม”

“อยู่ที่นี่เรียกข้าว่าอู๋ชิง พวกเขาไม่รู้ว่าหอทิงเฟิงเป็นของข้า”

เฟิงอู๋ชิงหันกลับไปนั่ง จากนั้นเทน้ำชาใส่ถ้วยและยกขึ้นดื่ม

ฉีเฟยอวิ๋นเหลือบไปมองที่หน้าต่าง “ตั้งแต่เมื่อไรแล้ว?”

“ตั้งแต่ยามอู่”

“เขาออกไปตั้งแต่เมื่อไร?”

“เจ้านอนหลับเขาก็ออกไป”

“เขาไปไหนหรือ”

“หาคน”

“……” ฉีเฟยอวิ๋นทนเฟิงอู๋ชิงไม่ได้ เดิมทีไม่คิดว่าเขาจะเป็นคนพูดจาสั้นๆ ห้วนๆ แบบนี้ แต่เป็นเช่นนี้ก็ดี ไม่รู้สึกแปลกเท่าไร

มีเสด็จอาสามที่อายุกมากกว่าเธอไม่กี่ปีเพิ่มเข้ามา ฉีเฟยอวิ๋นรู้สึกไม่ชินเท่าไรนัก

แต่เมื่อนึกว่าซูมู่หรงที่กลับมาเกิดใหม่อีกครั้ง แถมยังอายุแค่ยี่สิบกว่าๆ และสุดท้ายก็กลับกลายเป็นพี่ชายของเธอ เรื่องที่กระทบมานี้นับว่าไม่เบาเลยทีเดียว

ฉีเฟยอวิ๋นรออยู่ครู่หนึ่ง ฟ้าใกล้จะสว่างแล้วก็ยังไม่เห็นหนานกงเย่จะกลับมา จากนั้นฉีเฟยอวิ๋นจึงรู้สึกร้อนใจขึ้นมา

ฉีเฟยอวิ๋นลุกขึ้นและเดินไปดู เฟิงอู๋ชิงถาม “เจ้าและท่านแม่ของเจ้าไม่มีความใกล้ชิดกัน แต่กลับอยู่ไม่เป็นสุขเพราะผู้ชายคนเดียว”

ฉีเฟยอวิ๋นกลับไม่คิดเช่นนั้น เธอพูดขึ้นมาขณะหันไปมอง “อู๋ชิงไม่เข้าใจ ข้าและเขาไม่อาจแยกกันได้ แต่ข้าและท่านแม่สามารถแยกกันได้”

“……” สีหน้าของเฟิงอู๋ชิงค่อยๆ เปลี่ยนไป ไม่ใช่เพราะคำพูดของฉีเฟยอวิ๋น แต่เพราะเธอเรียกชื่อของเขา

นี่นับเป็นครั้งแรกที่ฉีเฟยอวิ๋นเรียกเขาเช่นนั้น แต่กลับเป็นสถานการณ์เช่นนี้

เขาเป็นอาของเธอ เธอกลายเป็นรุ่นหลาน

เฟิงอู่ชิงนึกกลับไปยังคำพูดของซูอู๋ซินพี่รองของเขา ไม่เพียงแค่เหม่อลอยเท่านั้น

เด็กน้อยวัยห้าขวบถามผู้ชายคนนั้น “อะไรคือการชอบ?”

“ชอบก็คือชอบ” เด็กชายคนนั้นตอบกลับด้วยเสียงเรียบเย็น สีหน้าราวกับหยก แต่ดวงตาของเขาเป็นประกายอ่อนโยน เหมือนกับว่าชอบมากๆ

มีครั้งหนึ่ง เฟิงอู๋ชิงก็มีคนที่เขาคิดถึง แต่ความไม่เต็มใจและความเฉยชานั้น กลับเทียบไม่ได้กับอู๋ชิงในตอนนี้

มือของเฟิงอู๋ชิงบีบแน่นและเหลือบมองไปที่ฉีเฟยอวิ๋นที่กำลังยิ้มร่า “มีอะไรให้น่าหัวเราะหรือ เป็นผู้หญิงแถมมีสามีแล้ว ยังยิ้มให้กับผู้ชายคนอื่นเช่นนี้ ใครไม่รู้จะคิดว่าเจ้าคิดจะมีชู้เสียอีก”

“คำนี้ไม่ควรเป็นคำที่อู๋ชิงพูด” ฉีเฟยอวิ๋นเดินไปที่หน้าต่างและเปิดหน้าต่างออก ภายในเรือนเงียบสงัดขึ้นมา

ตอนเช้ายังไม่มีคนตื่นเยอะเท่าไร ฉีเฟยอวิ๋นรู้สึกไม่วางใจจึงออกไปหาหนานกงเย่

เมื่อออกไปหนานกงเย่ก็ยังไม่กลับมา กลับคนในเรือนกลับเริ่มทำงานกันขึ้นมา

คนของหนานกงเย่ที่นี่ต่างใส่ชุดของปีกทางด้านใต้ ฉีเฟยอวิ๋นรู้สึกไม่ค่อยคุ้นชินเท่าไรนัก และสถานะของผู้หญิงในปีกทางด้านใต้นั้นค่อนข้างต่ำต้อย บางคนถึงขนาดถูกสามีนำไปขายที่หอนางโลม ลูกๆ และพ่อแม่ก็ไม่สามารถเข้าไปยุ่งเรื่องนี้ได้

ผู้หญิงที่ปีกทางด้านใต้นั้นมีความเป็นอยู่อย่างทุกข์ยากและลำบากกว่าผู้หญิงอาณาจักรเมืองอื่นอยู่มาก!