ตอนที่ 51 - 3 อัดมือที่สามให้น่วม

เขาสั่งให้ข้าเป็นราชินี [ส่วนที่ 1]

จิ่งเหิงปัวได้ยินเสียงเล็กน้อย แต่นางไม่มีความสามารถในการมองเห็นในเวลากลางคืนจึงมองเห็นได้ไม่ชัดเจนว่าเกิดอะไรขึ้น แค่รู้สึกเลือนรางว่าอีชีกำลังต่อสู้กับผู้อื่นและนางไม่อยากผสมโรงไปด้วย 

 

 

ข้างกายมีเงาร่างกะพริบวูบ จิ่งเหิงปัวเงยหน้า กล่าวอย่างตื่นตะลึงว่า “ชิบ สู้กันดุเดือดขนาดนี้เลยหรือ ดูท่าทางเจ้าคล้ายเพิ่งถูกกลิ้งทับมา” 

 

 

“ใช่สิ” อีชีที่เจ็บจมูกจนหน้าบูดหน้าเบี้ยวอุดจมูกไว้ งึมงำอย่างเศร้าโศกว่า “พลาดแล้ว หากรู้แต่แรกว่าเป็นเช่นนี้คงไม่ต้องแต่งกายแล้ว…” 

 

 

“หา” จิ่งเหิงปัวได้ยินไม่ชัดเจน 

 

 

“ข้าเอ่ยว่า ข้าลำบากลำบนไม่สนใจความเป็นความตายบุกน้ำลุยไฟร่วมมหาสงครามสะท้านฟ้าสะเทือนดินคราหนึ่งถึงได้ของล้ำค่าสิ่งนี้มาให้เจ้า เจ้าต้องครุ่นคิดให้ดีว่าจะขอบคุณข้าอย่างไรมิใช่หรือ” 

 

 

เดิมทีจิ่งเหิงปัวนึกว่าความลำบากที่อีชีเอ่ยถึงคือการเสแสร้ง เจ้าคนนี้แม้ไม่เข้าท่าแต่มีลักษณะท่าทางแตกต่างจากคนธรรมดา น่าจะเป็นผู้เก่งกล้าคนหนึ่ง ใครจะรู้ว่าผู้เก่งกล้าออกไปรอบเดียวกลับมาสะบักสะบอมยิ่งกว่าที่นางจินตนาการไว้ ดูท่าจะแย่งชิงสัญญานี้มาอย่างยากลำบากจริงๆ 

 

 

“นั่นสิๆ ข้าซาบซึ้งเหลือเกิน” นางยกแขนเสื้อขึ้นมาเช็ดจมูกให้เขา อีชีจูงนางให้เปลี่ยนทิศทางในครั้งเดียว เอ่ยพลางยิ้มแย้มปรีดาว่า “ทางฝั่งนี้ ฝั่งนี้ ฝั่งนี้มองเห็นชัดเจน” 

 

 

“ประสาท” จิ่งเหิงปัวพึมพำ ในใจคิดว่าไม่ใช่แค่เช็ดให้เจ้าอย่างสะเปะสะปะ ถึงกับต้องหันไปหันมาขนาดนี้เลยเหรอ 

 

 

อีชีมองดูนางด้วยท่าทางยิ้มแย้มปรีดา…ถึงขนาดนั้นแล 

 

 

ด้วยเพราะมุมนี้ ยามมองมาจากบางทิศทาง คล้ายภรรยาโผมาอิงแอบแนบชิดเขายิ่งนักน่ะสิ! 

 

 

“เป็นสัญญาเช่นใดกันแน่ เอามา” จิ่งเหิงปัวจัดการเช็ดให้เขาอย่างลวกๆ สองครั้ง แวบหนึ่งมองเห็นกระดาษแผ่นนั้นตรงหน้าอกอีชี 

 

 

อาภรณ์บริเวณหน้าอกของอีชีหลุดลุ่ย กระดาษแผ่นนั้นโผล่ออกมากว่าครึ่งแผ่น จิ่งเหิงปัวยื่นมือไปคว้าออกมาได้แล้ว อีชีกลับหัวเราะขึ้นมาโดยพลัน ด้านหนึ่งหัวเราะอีกด้านหนึ่งยักย้ายเรือนร่าง ด้านหนึ่งยักย้ายเรือนร่างอีกด้านหนึ่งกระซิบกระซาบว่า “อย่าสิ อย่านะ อย่าทำเช่นนี้สิ…ไอ้หยาเจ้าน่ารำคาญเสียจริง เอาเถิดๆ เจ้าทำเถิด…” ด้านหนึ่งหัวเราะฮิๆ ฮ่าๆ อีกด้านหนึ่งกางแขนสองข้างออกหลับตาพริ้ม บนใบหน้าเปี่ยมด้วยการเชื้อเชิญว่า “ข้าคือบุษบารีบมาย่ำยีข้าสิ!”  

 

 

“โรคจิต” จิ่งเหิงปัวคว้าสัญญามาไว้ในมือเนิ่นนานแล้ว ชำเลืองตามองเขาอย่างแปลกประหลาดแวบหนึ่งแล้วหันกายไปพลิกดูสัญญา 

 

 

อีชียิ้มตาหยีปล่อยมือลง ชำเลืองตามองบางทิศทางพลางลูบคลำจมูก 

 

 

เจ็บปวดนัก ทว่าพอนึกว่ามีบางคนไม่สบายใจเช่นกัน พลันรู้สึกว่าไม่เจ็บปวดแล้ว 

 

 

จิ่งเหิงปัวพลิกสัญญาไปมา กระดาษเบาบางแผ่นหนึ่งถูกเลือดกำเดาของอีชีย้อมเป็นสีแดง หลายข้อความข้างหน้านางอ่านแล้วไม่ค่อยเข้าใจ ชื่อของผู้ลงนามในสัญญาก็ถูกบดบังไว้ เนื้อความส่วนใหญ่คือขอให้บรรดาผู้นำเผ่าใดเผ่าหนึ่งท่านนี้ก่อตั้งพันธมิตรลับซึ่งกันและกันหลังจากกลับไปได้และนัดแนะประชุมลับอีกครั้งในวันที่หนึ่งเดือนหนึ่งปีหนึ่ง ต่อไปในสัญญาเรียกฝ่ายหนึ่งนี้ที่ออกสัญญาว่าผู้รับสัญญา เรียกเผ่านั้นว่าผู้ให้สัญญา หากสนธิสัญญาสำเร็จเสร็จสิ้น ผู้รับสัญญาจะมอบความช่วยเหลือสนับสนุนในราชสำนักตามสมควรแก่เผ่านั้น เลื่อนตำแหน่งข้าราชบริพาร เติมเต็มคำขอร้องทางการเมือง มอบตำแหน่งทางการเมือง ขยับขยายอิทธิพลให้กว้างขึ้น รวมถึงช่วยเหลือผู้ให้สัญญาดำเนินการเจรจาหารือกับแคว้นและชนเผ่าอื่น ด้วยเหตุนี้ผู้ให้สัญญาต้องมอบสิ่งตอบแทนบางส่วนแด่ผู้รับสัญญา สิ่งตอบแทนพุ่งเป้าหมายไปยังศักยภาพและผลผลิตของทุกแคว้นสถาปนาและทุกชนเผ่าซึ่งแตกต่างกันไป 

 

 

มองโดยง่ายแล้วคือสัญญาแลกเปลี่ยนผลประโยชน์ทางการเมืองฉบับหนึ่งซึ่งสอดคล้องกับผลประโยชน์ของคนส่วนใหญ่ คนทุกเผ่าต่างน่าจะมีสัญญาที่มีเงื่อนไขแตกต่างกันของตนเอง สิ่งสำคัญที่สุดของสัญญานี้คือไม่ได้ลงนามของผู้รับสัญญา หรือกล่าวอีกแบบคือสัญญานี้ตกอยู่ในมือใคร คนนั้นก็คือผู้รับสัญญา 

 

 

จิ่งเหิงปัวครุ่นคิดคร่าวๆ อยู่ชั่วครู่ นางยังไม่ได้สืบราชสันตติวงศ์อย่างเป็นทางการจึงยังไม่ค่อยเข้าใจสถานการณ์บ้านเมืองของต้าฮวงอย่างถ่องแท้ แต่รู้สึกว่าสัญญาฉบับนี้ไม่ใช่การแลกเปลี่ยนผลประโยชน์ง่ายดายขนาดนั้นดังฉากหน้าอย่างแน่นอน กงอิ้นแอบอ้างเหยียลี่ว์ฉีลงนามในสัญญาฉบับนี้กับบรรดาผู้นำแห่งหกแคว้นแปดชนเผ่า หรือว่ามีสาเหตุที่อยากล่อเหยื่อด้วย หรือว่ายังมีสาเหตุที่ซับซ้อนกว่านั้นที่นางยังนึกไม่ออกในชั่วครู่ชั่วคราว 

 

 

นึกไม่ออกก็ไม่ต้องนึก จิ่งเหิงปัวไม่อยากตั้งตัวเป็นศัตรูกับเซลล์สมองของตนเอง เปรียบเทียบเล่ห์เพทุบายกับกงอิ้นบุคคลทางการเมืองที่มีภูมิหลังรากหญ้า ปีนป่ายสู่ตำแหน่งสูงส่ง กุมอำนาจนานหลายปี มีอำนาจล้นฟ้า นางทำเรื่องเกินตัวไปแล้วมั้ง 

 

 

นางร้อง “เอ๊ะ” เสียงหนึ่งทันที สมาธิทอดลงบนอักษรบรรทัดสุดท้ายบรรทัดหนึ่ง 

 

 

อักษรบรรทัดนั้นค่อนข้างเล็กไม่สะดุดตา วางเป็นลำดับสุดท้ายคล้ายเงื่อนไขเพิ่มเติมข้อหนึ่งซึ่งแลดูไม่สะดุดตา จนทำให้ตอนผู้นำท่านนี้ลงนามยังลงทับอักษรบรรทัดนั้น 

 

 

อักษรบรรทัดนั้นเกี่ยวกับนาง 

 

 

“…ราชินีพระองค์ใหม่ทรงไร้ประโยชน์เกินทน มิจำต้องถวายการต้อนรับให้สมพระเกียรติ ละทิ้งพิธีเฉลิมฉลองรับขบวนเสด็จ ยามหน้าลบบันทึกการรับเสด็จร้อยลี้ในพระราชพงศาวดาร” 

 

 

…หมายความว่าอะไร 

 

 

บอกว่านางไร้ประโยชน์ไม่คู่ควรกับพิธีการสูงศักดิ์ ให้คนเหล่านี้ทอดทิ้งพิธีเฉลิมฉลองรับขบวนเสด็จด้วยตนเอง ภายหลังบันทึกเกี่ยวกับการรับเสด็จนางร้อยลี้ในพระราชพงศาวดารซึ่งบันทึกประวัติศาสตร์ราชวงศ์ก็จะถูกลบออกไปในครั้งเดียวด้วย 

 

 

กล่าวอีกแบบคือนางจะกลายเป็นราชินีที่ล้มเหลวที่สุดในประวัติศาสตร์ผู้ซึ่งสืบราชสันตติวงศ์ไกลพันลี้แต่ไม่ได้รับการต้อนรับอย่างยินดีและยอมรับการดำรงอยู่เหรอ 

 

 

แม้ว่าในประวัติศาสตร์ต้าฮวง ตัวอย่างการรับเสด็จราชินีร้อยลี้มีน้อยมากจนแลดูไม่ต้อนรับหรือไม่จัดพิธีเฉลิมฉลองเป็นปกติ ทว่าคนส่วนมากละเลยไปเรื่องหนึ่งนั่นคือราชินีองค์ที่เหลือในประวัติศาสตร์ส่วนมากมาจากบริเวณรอบนครตี้เกอ ระยะห่างจากนครตี้เกอไม่ถึงร้อยลี้เสียด้วย บางพระองค์มาจากตระกูลสูงศักดิ์ในนครด้วยซ้ำ เฉกเช่นราชินีพระองค์ก่อน แบบนี้ยังมีความจำเป็นต้องรับเสด็จร้อยลี้อะไรอีก หรือว่าวิ่งออกจากนครไปรับเสด็จร้อยลี้อีกครั้งเหรอ 

 

 

ส่วนจิ่งเหิงปัวนั้นแตกต่าง นางคือราชินีองค์แรกที่ตามหากลับมาจากดินแดนแคว้นอื่นในประวัติศาสตร์ต้าฮวง นางคือราชินีผู้สืบราชสันตติวงศ์พันลี้ของจริง แท้จริงแล้วการออกมารับเสด็จร้อยลี้คือพิธีการพื้นฐานสำหรับนาง หากในประวัติศาสตร์ซึ่งเป็นของนางขาดพิธีการหนึ่งนี้ไป นางจะไม่ได้ยืดอกอย่างภาคภูมิตลอดชั่วชีวิตการดำรงตำแหน่งราชินีของนาง 

 

 

เดิมทีจิ่งเหิงปัวไม่รู้เรื่องพวกนี้ หลังจากนางสาบานว่าจะเป็นราชินีที่ดีจึงสั่งให้คนหาหนังสือตำราของต้าฮวงจำนวนมากมาให้นางอ่านระหว่างป่วย หลังจากอ่านแล้วจึงเข้าใจเช่นนี้ 

 

 

บรรทัดหนึ่งนี้ในสัญญาไร้ความใส่ใจ ซุกซ่อนตรงซอกมุม เห็นได้ชัดเจนว่าผู้ออกสัญญาไม่ได้ใส่ใจเรื่องนี้มากเพียงไหน 

 

 

แต่นางใส่ใจ! 

 

 

ราชบัลลังก์ของนาง เกียรติศักดิ์ศรีของนาง อนาคตของนางและครึ่งชีวิตที่เหลือของนางต้องถูกสัญญาน่าเหยียดหยามฉบับนี้ลบออกไปในครั้งเดียว! 

 

 

จิ่งเหิงปัวเงยหน้าฉับพลัน จักรวาลน้อยในแววตาลุกโชนโชติช่วง 

 

 

กง! อิ้น! 

 

 

ใคร่ครวญนามนั้นอยู่กลางใจ แต่ละรอบที่บดขยี้มีไอสังหาร! 

 

 

“เป็นอะไรไปเสียแล้ว” อีชีชะโงกหน้าเข้ามาพลางยิ้มตาหยี ใช้ศีรษะพิงไว้บนบ่าของนาง ท่าทางอยากอ่านสัญญาเช่นกัน เอ่ยว่า “เหตุใดสีหน้าจึงย่ำแย่เยี่ยงนี้โดยพลัน ใครแหย่เจ้าหรือ บอกข้าสิข้าจะไปต่อยเขา” 

 

 

นิ้วมือของจิ่งเหิงปัวงอครั้งหนึ่งพับสัญญาขึ้น ผลักคางของเขาออกด้วยมือข้างเดียว หันกายครั้งหนึ่งจดจ้องดวงตาของเขา 

 

 

“ย่อมได้” นางกล่าวว่า “คนนั้นที่ต่อยเจ้านั่นไง” 

 

 

“เอ่อ…” ใบหน้าขาวมนของอีชีเปลี่ยนไปในที่สุด ขยี้ผมอย่างเก้อเขินเล็กน้อย เอ่ยว่า “ที่แท้เจ้ารู้แล้วสินะ” 

 

 

จิ่งเหิงปัวแค่นเสียงเสียงหนึ่ง 

 

 

ตอนก่อนหน้านางยังนึกไม่ถึง ตอนนี้ได้อ่านสัญญาแล้วยังมีอะไรไม่เข้าใจอีก กงอิ้นจัดเตรียมคนแอบอ้างเป็นคนของเหยียลี่ว์ฉี ลักพาตัวคนเหล่านี้มาที่นี่ เล่นเองกำกับเองบังคับเขาลงนามในสัญญานี้ เรื่องแบบนี้เขาจะไม่มาคุมเองได้อย่างไร 

 

 

เดิมทีแปลกประหลาดด้วยมองแวบเดียวก็รู้ว่าอีชีมีฝีมือระดับสูงสุด ทำไมถึงถูกคนโจมตีเสียจนย่อยยับขนาดนี้ ถ้าเป็นกงอิ้นลงมือด้วยตนเอง งั้นคงไม่แปลกประหลาดแม้แต่นิดเดียว 

 

 

เขาโจมตีอีชีทำไม เพราะเขาขโมยหนังสือสัญญามาได้เหรอ ทำเขาเสียเรื่องเหรอ 

 

 

จิ่งเหิงปัวยืนอยู่หลังห้องหันหน้ามองดูในห้อง ตัวประกันยังอยู่ในห้อง ถ้าอยากจะทำลายแผนการของกงอิ้น นางแค่ต้องโก่งคอตะโกนครั้งหนึ่ง 

 

 

ขอแค่ตะโกนบอกความจริง แผนการของกงอิ้นจะถูกเปิดโปง หลังจากนั้นต่อให้เป็นเขาก็คงจะทนรับเพลิงโทสะของหกแคว้นแปดชนเผ่าไม่ไหว 

 

 

นี่ถึงจะเป็นการแก้แค้นที่มีพลังมากที่สุดสำหรับเขา! 

 

 

จิ่งเหิงปัวแหงนหน้าขึ้น กลั้วคอให้ปลอดโปร่ง…นางจะตะโกนแล้ว! 

 

 

นางจะตะโกนแล้วนะ! 

 

 

“แค่กๆๆ แค่กๆ…” นางจะตะโกนแล้วนะ! 

 

 

“แค่กๆๆ!” 

 

 

… 

 

 

หลังจากผ่านไปเกือบสิบนาที 

 

 

อีชีใช้มือเท้าคางอ้าปากหาวอย่างเกียจคร้าน เอ่ยว่า “เจ้าจะตะโกนหรือไม่ตะโกนกันแน่” 

 

 

จิ่งเหิงปัวถลึงตาโกรธเคืองใส่ความมืดมิด…กงอิ้นนายอยู่แแถวนี้ไม่ใช่เหรอ นายเชี่ยวชาญเรื่องจัดการผู้อื่นไม่ใช่เหรอ ทุกสิ่งอยู่ในการควบคุมของนายไม่ใช่เหรอ นายเฉลียวฉลาดมากไม่ใช่เหรอ นายเดาได้ว่าฉันจะทำอะไรและรู้ผลลัพธ์หลังถูกตะโกนเปิดโปงแน่นอน แต่พี่ไอมาตั้งนานแล้ว ทำไมนายยังไม่ออกมาขัดขวาง พี่ไอจนคอหอยแทบจะพังแล้วชิบ! 

 

 

… 

 

 

บนเนินสูงในความมืดมิด กงอิ้นยืนมือไพล่หลังอยู่เงียบเชียบ จดจ้องไปยังทิศทางของจิ่งเหิงปัว 

 

 

เหมิงหู่ยืนอยู่ข้างกายเขา สีหน้ากลับมิได้สงบสุขเท่าสีหน้าของกงอิ้น แลดูร้อนรนกระวนกระวายอยู่บ้าง อดทนแล้วอดทนอีก ในที่สุดจึงเอ่ยเสียงแผ่วเบาว่า “นายท่าน ดูท่าทางฝ่าบาทอยากจะตะโกนเปิด…” 

 

 

กงอิ้นกลับพยักหน้า ขานรับว่า “อืม” 

 

 

“นี่…” เหมิงหู่กระแอมเสียงหนึ่ง ไม่รูู้ว่าควรเอ่ยว่าอะไรดี เรื่องนี้มิใช่เรื่องเล็ก หากถูกเปิดโปง ราชครูจะตกเป็นฝ่ายถูกกระทำโดยพลัน ทั้งหกแคว้นแปดชนเผ่าจะไม่เชื่อถือเขาอีกต่อไปด้วยเพราะเหตุนี้ เหยียลี่ว์ฉีที่จ้องรอตะครุบดั่งพยัคฆ์มาโดยตลอดจะต้องฉวยโอกาสเป็นใหญ่ ถึงยามนั้นสถานการณ์กลับตาลปัตร ย่อมมีอันตรายถึงความเป็นความตาย 

 

 

หรือว่าราชครูอยากพนันสักหน่อยว่าฝ่าบาทจะใจอ่อนหรือไม่ ทว่าฝ่าบาทแลดูไม่คล้ายผู้ที่ลังเลไม่เด็ดขาดน่ะสิ นำความหวังเรื่องความเป็นความตายฝากฝังไว้กับอุปนิสัยแลจิตใจของฝ่าบาท จะประมาทเกินไปหน่อยหรือไม่ 

 

 

หรือราชครูโกรธาฝ่าบาทจนหน้ามืดตามัว เมื่อครู่ยามไอ้หน้ามนผู้นั้นหยอกล้อสนิทสนมกับฝ่าบาท แม้ว่าสีหน้าของราชครูไร้ซึ่งอารมณ์ ทว่าเขาผู้ที่รับใช้ราชครูมาหลายปีคนนี้ยังคงรู้สึกได้ถึงกลิ่นอายดุร้ายลึกล้ำ… 

 

 

เฮ้อ ฝ่าบาทแท้จริงแล้วงดงามยวดยิ่งอัธยาศัยดียิ่งยวด ทว่าด้วยเพราะงดงามเกินไปอัธยาศัยดีเกินไปเสียแล้ว… 

 

 

“นายท่าน ฝ่าบาทคล้ายลังเลเล็กน้อย ท่านว่าเป็นเพราะ…” 

 

 

กงอิ้นหันหน้ามา เอ่ยว่า “เจ้ารู้สึกด้วยหรือว่านางกำลังลังเล” 

 

 

ในชั่วพริบตาเหมิงหู่รู้สึกว่าตนเองมองเห็นแสงสว่างเพียงน้อยในนัยน์ตาของเขาแพรวพราวดั่งแสงเทียนกลางหุบเหว สว่างไสวจนผู้คนตะลึงพรึงเพริด 

 

 

เขาพยักหน้า…ทำท่าทางอยู่ครึ่งเค่อ สูดหายใจลึกอยู่ครึ่งเค่อ สุกรยังมองออกว่าราชินีกำลังกลัดกลุ้ม เพียงไม่รู้ว่านางกำลังกลัดกลุ้มเรื่องใด 

 

 

“ฉะนั้น” แขนเสื้อของกงอิ้นสยายออกไปอย่างเชื่องช้ากลางสายลม เสียงของเขาเมื่อครู่ยังฟังดูเย็นชาเหลือเกิน ยามนี้จึงผุดเผยความอ่อนโยนสายหนึ่งออกมาในที่สุด 

 

 

“…ข้าอยากรู้ผลลัพธ์การเลือกของนาง” 

 

 

… 

 

 

จิ่งเหิงปัวที่ไอจนคอหอยแทบจะพังยังคงรอคอยใครบางคนโผล่หน้ามาขัดขวาง 

 

 

นางหันหน้าอย่างท้อแท้ มองเห็นอีชีเท้าคางอยู่ มองดูนางด้วยท่าทางคล้ายยิ้มทว่ามิได้ยิ้ม 

 

 

จิ่งเหิงปัวถูกสายตานี้มองจนขาดความมั่นใจ หันข้างครั้งหนึ่งเดินเชิดหน้ายืดอกผ่านข้างกายเขา 

 

 

“เจ้าจะไปที่ใด” อีชีถามนางจากข้างหลัง 

 

 

“หากไม่อยากถูกผู้อื่นต่อยอีกสักครั้ง ข้าแนะนำให้เจ้าไปได้แล้ว” จิ่งเหิงปัวไม่แม้แต่จะหันหน้ามา ย่ำรองเท้าส้นสูงเดินเข้าสู่เบื้องลึกของความมืดมิดอย่างองอาจห้าวหาญ 

 

 

“เหตุใดเจ้าจึงไม่ตะโกน ตะโกนเสียงหนึ่งเขาย่อมจบเห่แล้ว คอหอยเจ้าไม่ค่อยดีใช่หรือไม่ เจ้าตะโกนไม่ออกหรือจะให้ข้าช่วยเจ้าหรือไม่” ใครบางคนที่ไม่รู้จักดูสถานการณ์ยังคงเอ่ยถามเจื้อยแจ้ว 

 

 

จิ่งเหิงปัวที่พาลโมโหโกรธา คำตอบคือเตะก้อนดินก้อนหนึ่งขึ้นมาให้เขา 

 

 

“สตรีมักปากกับใจไม่ตรงกัน” อีชีปัดฝุ่นบนอาภรณ์พลางส่ายหน้า 

 

 

ในความมืดมิดไกลออกไป ผู้ที่เอามือไพล่หลังชะเง้อมอง ดวงพักตร์ยังคงมิได้ขยับเขยื้อน เพียงผุดเผยความอ่อนโยนเล็กน้อย 

 

 

… 

 

 

จิ่งเหิงปัวเดินไปสองก้าวแล้วหยุดเดิน 

 

 

ไม่ได้ เรื่องนี้ต้องพูดกับกงอิ้นให้ชัดเจน นางต้องพูดกับเขาให้เข้าใจเพื่อแย่งชิงเกียรติศักดิ์ศรีและสิทธิประโยชน์ของตนเองกลับมา 

 

 

นางรู้จักนิสัยของกงอิ้นดี เมื่อเขาตัดสินใจทำเรื่องอะไรแล้วจะไม่ให้คำอธิบายทั้งนั้น ถ้านางไม่ไปคุยกับเขา เรื่องนั้นคงต้องเป็นแบบนี้แล้ว 

 

 

ให้เป็นแบบนี้ไม่ได้ นางยังหวังจะทลายทั้งต้าฮวงอย่างโดดเด่นเป็นสง่าในพิธีเฉลิมฉลองนะ จะให้ราษฎรต้าฮวงพลาดท่วงท่าสง่างามของนางเหรอ นี่มันไม่ยุติธรรมเลย 

 

 

ตามหากงอิ้นง่ายดายมาก ไม่ต้องแยกแยะทิศทางและไม่ต้องโก่งคอตะโกน นางยืนอยู่ตรงที่กว้างโล่ง นิ้วมือกระหวัดงอให้ความมืดมิด 

 

 

“นับถึงสาม เจ้าออกมา” นางเอ่ยว่า “มิเช่นนั้นข้าจะหนีตามผู้อื่นไปแล้ว” 

 

 

ความมืดมิดลึกล้ำไร้ซึ่งความเคลื่อนไหว แม้แต่คบเพลิงยังดับสูญ หลงฉีต่างถอยไปไกลห่างแล้ว 

 

 

“หนึ่ง สอง สาม” 

 

 

ลมราตรีคำราม รอบด้านสงบเงียบ บึงโคลนห่างไกลเปล่งเสียงพวยพุ่งเชื่องช้าออกมา กิ่งไม้กิ่งหนึ่งหักลงดังแกร๊บเสียงหนึ่งโดยพลัน เฟยเฟยกระโดดลงมาจากยอดกิ่งอย่างอ่อนช้อย นัยน์ตาทอประกาย 

 

 

จิ่งเหิงปัวหันกาย คล้องแขนของอีชีไว้ในครั้งเดียว กล่าวว่า “ไปกันเถิด ข้าเป็นภรรยาเจ้า!”