ตอนที่ 52 - 1 เดิมพันชั่วชีวิต

เขาสั่งให้ข้าเป็นราชินี [ส่วนที่ 1]

“แม้ว่าจะถูกหลอกใช้ซ้ำยังมีอันตรายจากการถูกต่อย…” อีชีที่ถูกคล้องแขนไว้เดินตามนางอย่างคล้อยตาม พึมพำว่า “ได้ยินเสียงหนึ่งนี้คงเพียงพอจะทำให้ไอ้เด็กนั่นโกรธจนสิ้นชีพ คุ้มแแล้ว คุ้มแล้ว…” 

 

 

“พลั่ก” พริบตาต่อมาเขาลอยออกไปจากข้างกายของจิ่งเหิงปัว เส้นทางที่ลอยไปตรงดิ่งยิ่งนัก 

 

 

โชคดีที่เจ้าคนนี้เตรียมตัวล่วงหน้า แม้เพิ่งลอยออกไปยังเปลี่ยนทิศทางอย่างสวยงามหนึ่งครั้งกลางอากาศ ศีรษะห้อยลงเท้าชี้ขึ้น ม้วนกายไปบนต้นไม้ต้นหนึ่งแล้วห้อยตนเองลงมาประหนึ่งค้างคาว 

 

 

จิ่งเหิงปัววิ่งไปทางผู้ลงมือเนิ่นนานแล้ว 

 

 

“เจ้ายังรู้จักมาอีกหรือ ในที่สุดเจ้าก็กล้าให้เกียรติมาแล้วสินะ” พริบตาหนึ่งที่อีชีลอยออกไปนั้น นางกะพริบออกไปสามจั้งดังสวบ มือถอดรองเท้าส้นสูงบนเท้าแล้วเขวี้ยงออกไปอย่างรุนแรง พลางตะโกนว่า “กงอิ้น! ไอ้สารเลวนี่!” 

 

 

นางเลือกจังหวะได้เหมาะเจาะยิ่งนัก กงอิ้นเพิ่งส่งอีชีไปไกลเกินพันลี้ มือยังไม่ทันได้หดกลับมา รองเท้าส้นสูงเปิดหน้าสีแดงข้างนี้จึงกระทบกับหน้าอกของเขาดังพลั่กเสียงหนึ่งพอดิบพอดี 

 

 

แท้จริงแล้วเขาสามารถใช้ปราณแท้โจมตีรองเท้าเหินทะลุฟ้าข้างนี้จนลอยล่องไปไกลเกินพันลี้ได้เลย ทว่ายามมองเห็นชัดเจนว่าของสิ่งนั้นคือสิ่งใด เขาลังเลโดยพลัน 

 

 

พอเขาลงมือ คาดว่ารองเท้านั้นคงสูญสลายจนไม่เหลือแม้แต่เศษธุลี คล้ายว่าของสิ่งนี้คือของสุดรักของนาง… 

 

 

พอลังเลขึ้นมาเพียงเท่านี้ เสียงพลั่กดังขึ้นอีกเสียงหนึ่ง รองเท้าข้างที่สองของจิ่งเหิงปัวจุมพิตลงตรงหน้าอกของเขาเช่นกัน 

 

 

มือของกงอิ้นคว้าเพียงครั้ง หิ้วรองเท้าสองข้างไว้ในมือแล้วกวัดแกว่งไปทางนาง 

 

 

“อาละวาดพอหรือยัง” เขาเอ่ย 

 

 

“ยัง!” พริบตาต่อมาจิ่งเหิงปัวปรากฏกายตรงเบื้องหน้าเขา ตบกระดาษแผ่นหนึ่งลงบนหน้าผืนอกของเขาดังเพียะ กล่าวว่า “กงอิ้น เจ้าจะทำอะไรกันแน่!” 

 

 

หนังสือสัญญาแผ่นนั้นเปรอะคราบเลือดกำเดาของอีชี ประทับลงบนหน้าผืนอกของกงอิ้นทั้งๆ ที่เปียกชุ่มโชก พาให้อาภรณ์ขาวดุจหิมะของเขาเปรอะเปื้อนสีแดง 

 

 

กงอิ้นพลันก้มหน้า รู้สึกขยะแขยงจนสีหน้าซีดเผือดฉับพลัน แขนเสื้อสะบัดเพียงครั้ง อาภรณ์บริเวณหนังสือสัญญารวมถึงบริเวณหน้าอกต่างสลายกลายเป็นจุณ 

 

 

แม้เป็นเช่นนี้ความขยะแขยงยังคงไม่จางหาย ลมหายใจของเขาไม่สงบนิ่งหน้าอกอึดอัดกลัดกลุ้ม คราบสกปรกแทบจะเป็นสิ่งที่เขามิอาจอดทนได้ที่สุดในโลก มันอยู่เหนือขอบเขตของโรครักสะอาดเสียแล้ว โดยเฉพาะคราบเลือดเช่นนี้ ทำให้แม้แต่ลมหายใจของเขายังมิอาจสงบนิ่งอยู่บ้าง 

 

 

ภายใต้การระเบิดโทสะ เขาพลันยื่นมือเหนี่ยวรั้งจิ่งเหิงปัวที่มองเห็นสีหน้าเขาผิดปกติจึงคิดหลบหนีเอาไว้ 

 

 

หากฉวยมือยกขึ้นเพียงครั้ง จิ่งเหิงปัวคงจะลอยกลับไปไกลเกินพันลี้ 

 

 

จิ่งเหิงปัวดิ้นรนจ้องมองเขากลางอากาศ แววตาไม่อ่อนแอเลยแม้แต่น้อย 

 

 

กงอิ้นชะงักเล็กน้อยโดยพลัน 

 

 

เขาเคยเห็นนางเอาอกเอาใจ เคยเห็นนางประจบประแจง เคยเห็นนางทำตนน่ารักใคร่ เคยเห็นนางยั่วเย้า สตรีนางนี้แลคล้ายใจร้อนปล่อยตนตามใจ แท้จริงแล้วรู้สถานการณ์รู้ก้าวรู้ถอยยิ่งนัก ยอมที่จะจัดการผู้อื่นในภายหลังและรู้จักประมาณตนเอง ทว่ายามนี้เพลิงโทสะแจ่มชัดเช่นนี้ของนางได้บดบังสีหน้าท่าทางงามเพริศแพร้วแต่กาลก่อน 

 

 

นางคล้ายโกรธเคืองยิ่งนัก… 

 

 

พอหยุดชะงักเพียงครั้งหนึ่งนี้ สายตาของเขาทอดลงบนรองเท้าส้นสูงในมืออีกครั้ง ใจลอยนึกถึงรองเท้าส้นสูงลายเสือดาวที่ห้อยอยู่ในนิ้วมือของตนเอง ณ ริมฝั่งแม่น้ำใต้หน้าผาครานั้นอีกครั้ง 

 

 

แผ่นหลังงดงามอ่อนช้อยผืนนั้น 

 

 

ท้ายทอยนุ่มลื่นกระจ่างใสดั่งหิมะช่วงหนึ่งนั้น 

 

 

ผมยาวอัศจรรย์หยักเพียงน้อยปอยหนึ่งนั้น 

 

 

ลมหายใจเข้าและลมหายใจออกที่รวยรินกลิ่นหอมหวานหอมหวนนั้น 

 

 

วันเวลาที่พึ่งพาแนบชิดสนิทสนมในตาข่ายเหล่านั้น 

 

 

… 

 

 

นิ้วมือที่เหวี่ยงออกไปเบื้องนอกของเขาแปรเปลี่ยนเป็นกระหวัดคว้าจิ่งเหิงปัวที่เกือบลอยออกจากแผ่นดินใหญ่กลับมาได้ทันเวลา 

 

 

จิ่งเหิงปัวกลับไม่แปลกใจเลยแม้แต่น้อย ฉวยโอกาสใช้นิ้วมือจิ้มลงบนหน้าอกของเขา เงยหน้ามองเข้าไปในนัยน์ตาของเขา 

 

 

นัยน์ตาเปล่งประกายแสงน้ำเงินมืดมิดอ่อนจางคู่หนึ่งปานผลึกน้ำแข็ง นิ่งสงบดุจทะเลสาบใต้ภูผาไกลห่าง 

 

 

“กงอิ้นเจ้าหมายความว่าอะไรกันแน่” นางถามว่า “เจ้าลงนามสัญญาใดนี่ไม่เกี่ยวกับข้า ทว่าเหตุใดจึงต้องล้มเลิกพิธีเฉลิมฉลองรับขบวนเสด็จ” 

 

 

“เหตุใดจึงล้มเลิกมิได้” เขาย้อนถามว่า “เจ้าไหวหรือ” 

 

 

“ข้าไม่ไหวหรือ” การย้อนถามของนางว่องไวยิ่งกว่า กล่าวว่า “เจ้ามีสิทธิอะไรมาเข้าใจเช่นนี้” 

 

 

“อาศัยการแสดงออกของเจ้า!” เขาเอ่ยอย่างเย็นชาว่า “อย่าได้นึกว่าราชินีเป็นเช่นเด็กเล่นขายของ แลอย่าได้นึกว่าขุนนางใหญ่กับราษฎรเป็นเช่นข้าและเหยียลี่ว์ฉี ยิ่งอย่าได้นึกว่าความงามหรือความเจ้าชู้ของเจ้าจะทำให้ทุกผู้คนหมอบคลานแทบธุลีเทิดทูนเจ้าเป็นนายได้ แต่ไหนแต่ไรมาราชบัลลังก์มิใช่เรื่องง่ายดายเยี่ยงนั้น” 

 

 

“ความงามความเจ้าชู้กับน้องสาวเจ้าสิ!” ความโกรธแค้นของจิ่งเหิงปัวพวยพุ่งขึ้นมา ตบหน้าอกของเขาดังเพียะๆ พลางกล่าวว่า “กงอิ้น เจ้าดูถูกผู้อื่น!” 

 

 

กงอิ้นเปี่ยมด้วยสีหน้ายอมรับโดยดุษณี ไม่แม้แต่จะขยับเขยื้อน อย่างไรเสียการทุบตีของนางมิได้แตกต่างจากแมวน้อยสะกิดเกามากนัก 

 

 

“เจ้าคิดว่าเจ้าหวังดีต่อข้าเลยหรือ เจ้าถือว่าการลงนามครั้งหนึ่งนี้เป็นการแก้ไขปัญหาเพื่อข้า ข้าควรจะขอบใจเจ้าเลยใช่หรือไม่” จิ่งเหิงปัวเท้าหน้าผากไว้นิ่งเงียบไปสามวินาที จากนั้นเงยหน้าฉับพลัน สูดหายใจเฮือกหนึ่ง กล่าวว่า “หยุด เจ้าไม่ต้องแสร้งทำเท่เอ่ยว่านี่ไม่ใช่เพื่อข้า ข้าไม่อยากฟัง บัดนี้ข้าเข้าใจแล้ว เรื่องนี้แท้จริงแล้วนับว่าเป็นความหวังดีของเจ้า ทว่า…ข้าไม่อยากรับไว้ ได้หรือไม่” 

 

 

“ไม่ได้” กงอิ้นเชี่ยวชาญการใช้วาจาประโยคหนึ่งทำให้ผู้อื่นโกรธจนสิ้นชีพมาโดยตลอด 

 

 

จิ่งเหิงปัวสูดหายใจลึกอีกครั้ง 

 

 

“ข้ารู้ว่าเจ้าไม่วางใจข้า…โอเคๆ เจ้ามิใช่ไม่วางใจข้าโดยสิ้นเชิงเจ้าเพียงถือโอกาสแก้ไขเรื่องนี้ข้าเข้าใจ…บัดนี้ข้าไม่อยากทะเลาะกับเจ้า ข้าเพียงอยากเอ่ยกับเจ้าว่า ข้าผ่านการทดสอบได้ ข้าชนะได้ ข้าทำให้ดีได้ เจ้าไม่ต้องข้องเกี่ยวกับเรื่องนี้ ให้โอกาสข้าได้พิสูจน์ตนเองสักครั้งได้หรือไม่” 

 

 

“ไม่ได้” 

 

 

จิ่งเหิงปัวถลึงตาใส่เจ้าคนดื้อรั้นถือทิฐิคนนี้ หน้าอกหอบกระเพื่อม…ใครว่านางไม่มีเหตุผล เจ้าคนที่ไม่มีเหตุผลที่สุดบนโลกใบนี้ก็คือคนเบื้องหน้าคนนี้ชัดๆ! 

 

 

“เหตุใดจึงไม่ได้! อธิบายเหตุผลให้ข้าฟังสักข้อสิ!” 

 

 

“เหตุใดเจ้าจึงคิดว่าเจ้าทำได้ คิดว่าเจ้าทำให้ผู้คนนับสิบล้านยอมรับนับถือด้วยใจจริงได้หรือ คิดว่าเจ้าจะทำเรื่องที่ราชินีผู้ครองตำแหน่งในอดีตยังทำมิได้ได้หรือ” 

 

 

“ผู้อื่นทำไม่ได้ ข้าก็ต้องทำไม่ได้หรือ ตรรกะบ้าบออะไรของเจ้าเนี่ย” 

 

 

“สิ่งใดทำให้เจ้าพลันคิดว่าเจ้าทำได้ ไม่กี่วันก่อนเจ้ายังกลัดกลุ้มด้วยเพราะเรื่องนี้” กงอิ้นแบะมุมปากเพียงครั้ง ชี้ไปยังอีชีที่ชมเหตุการณ์อยู่บนต้นไม้ เอ่ยว่า “ด้วยเพราะรู้จักกับเขาหรือ นับว่าเจ้ามีความสามารถ พบเจอครั้งแรกก็สามารถควบคุมพี่น้องเจ็ดสังหารได้ ทว่าข้าบอกเจ้าเลยว่า แม้ว่าเจ็ดสังหารกำราบต้าฮวงได้ แต่สยบดวงใจของอาณาประชาราษฎร์ไม่ได้!” 

 

 

“เจ็ดสังหารแปดสังหารสิบสามสังหารอะไร!” จิ่งเหิงปัวเหลืออดเหลือทน ไอ้บ้านี่หมายถึงอะไร บอกเป็นนัยว่านางใช้รูปโฉมลวงหลอกคนอื่นเหรอ 

 

 

“กงอิ้น! เจ้าเอ่ยวาจาสะเปะสะปะกับข้าให้มันน้อยหน่อย! เจ้าไม่รับปากเพราะกลัวว่าข้าผ่านด่านขึ้นมา สืบราชสันตติวงศ์อย่างราบรื่นได้จริง จะขัดขวางแผนการแย่งชิงบัลลังก์อันยิ่งใหญ่ของเจ้าใช่หรือไม่” นางแย่งรองเท้าส้นสูงมาในครั้งเดียว ยัดส้นรองเท้าดุจหนามใส่มือเขาพลางกล่าวว่า “หากเอ่ยว่าขัดขวาง แท้จริงแล้วข้าขัดขวางเจ้ามาโดยตลอด เหตุใดเจ้าต้องสิ้นเปลืองเรี่ยวแรงกระทำเรื่องราวมากมายเยี่ยงนี้ ยามนี้สังหารข้าเสียเลยสิ เอาสิ เอาเลย” นางเอียงคอขึ้นมารวบผมขึ้นไป เสนอหลอดเลือดใหญ่ที่คอสู่ส้นรองเท้าในมือของเขา พลางกล่าวว่า “มา แทงสิ! แค่ทิ่มเบาๆ เพียงครั้งก็พอแล้ว! มา! เร็วเข้า!” 

 

 

กงอิ้นก้มหน้าเผชิญหน้ากับลำคอของนางพอดี ลำคอหนึ่งเรียวบางขาวราวหิมะ ผุดเผยสีโลหิตจากผิวกายเพียงน้อย ข้อต่อประณีตเกลี้ยงเกลานูนขึ้นมาเล็กน้อย เส้นผมดำขลับสยายลงไปจากหว่างนิ้วนาง กลิ่นหอมกรุ่นกำจายตลบอบอวลขึ้นมา 

 

 

เขาอยากใช้นิ้วมือลูบคลำผ่านข้อต่อประณีตเหล่านั้นทีละนิ้วละนิ้วอย่างละเอียดอ่อนโดยพลัน ซ้ำยังอยากรู้ว่าความประณีตของผิวกายเบื้องล่างส่วนหนึ่งนี้จะทรวดทรงวิจิตร แผ่นหลังงามดั่งหยกหรือไม่… 

 

 

กงอิ้นกระแอมไอเสียงหนึ่งโดยพลัน รู้สึกเพียงใบหน้าร้อนผ่าว เรือนร่างร่นถอยไปข้างหลังเล็กน้อย เจ้าคนบางคนที่แลคล้ายเจ้าชู้ทว่าแท้จริงแล้วมึนชา รอคอยอยู่เนิ่นนานเห็นว่าไม่มีความเคลื่อนไหวก็เริ่มรำคาญ รู้สึกว่าท่าทางยังดุดันไม่พอ เมื่อเห็นเขาร่อนถอย จึงกุมชัยชนะไล่โจมตีพุ่งชนไปข้างหลังแล้วพุ่งเข้าไปในอ้อมแขนของเขา กล่าวว่า “แทงสิ! แทงเลย!” 

 

 

เรือนร่างของนางแนบเข้ามาในอ้อมแขนของเขาดังพลั่กเสียงหนึ่ง สะท้านเสียจนผืนอกของเขาคล้ายสั่นไหว พริบตาหนึ่งคล้ายรู้สึกถึงความนวลนุ่มโค้งเว้า กลิ่นหอมสะกดผู้คน เขารีบเร่งใช้มือกดหัวไหล่ของนางไว้เพียงครั้ง ผลักออกครึ่งฉื่อแล้วหันนางออกไปทั้งอย่างนั้น 

 

 

“เหตุใดจึงไม่แทง” จิ่งเหิงปัวมองรองเท้าส้นสูงในมือเขาด้วยหางตา นางกำลังยั่วยุ 

 

 

“สกปรก” ชั่วพริบตาที่นางหันกายมานั้น สีแดงซ่านบนใบหน้ากงอิ้นสูญสลาย เขาฉวยมือเหวี่ยงรองเท้าส้นสูงของนางเพียงครั้งแล้วดึงแขนเสื้อของนางมาเช็ดมือ 

 

 

ความโกรธของจิ่งเหิงปัวแผ่ซ่านทั่วทุกอณู นางดึงแขนเสื้อกลับมาอย่างรุนแรง กล่าวว่า “พวกเล่นเล่ห์เพทุบายลับหลังสิสกปรก!” 

 

 

มือของกงอิ้นหยุดชะงัก ยามเงยหน้ามองนางอีกครั้ง แววตาฟื้นคืนความสงบนิ่งและเย็นชาแล้ว 

 

 

“อืม” เขาเอ่ยว่า “เจ้างดงามบริสุทธิ์ จิตใจสูงส่ง มิจำต้องเล่นเล่ห์เพทุบายลับหลังย่อมสามารถขึ้นครองราชย์ได้โดยสวัสดิภาพ กำราบโลกหล้า ที่ซึ่งเกียรติยศขจรขจายผ่านพาให้ราษฎรต้าฮวงโห่ร้องร่ายรำ กราบกรานแทบธุลี” 

 

 

จิ่งเหิงปัวเกลียดการที่เขาใช้น้ำเสียงเย็นชืดเย็นชาเอ่ยวาจาประชดประชันรุนแรงเป็นที่สุด! 

 

 

“เจ้านั่นแหละไม่เชื่อว่าข้าผ่านการทดสอบได้ เจ้านั่นแหละคิดว่าข้าไม่เหมาะสมที่จะเป็นราชินี” นางเชิดหน้าขึ้น กล่าวว่า “หากข้าทำได้เล่า” 

 

 

“เช่นนั้นเจ้าเป็นราชินีสิ” กงอิ้นเอ่ยตอบตามตามอำเภอใจว่า “ข้าจะปกป้องเจ้าหลีกทางให้เจ้าตลอดชั่วชีวิตของข้า” 

 

 

“ได้!” ดวงตาของจิ่งเหิงปัวสว่างวูบ กล่าวว่า “เดิมพัน!” 

 

 

กงอิ้นกลับเอ่ยว่า “หากเจ้าทำไม่ได้” 

 

 

“ข้าจะทำไม่ได้ได้อย่างไร” จิ่งเหิงปัวแบะปากครั้งหนึ่ง ทุบของบางสิ่งตรงหน้าอก 

 

 

“หากเจ้าทำไม่ได้” คนบางคนมักไม่ยอมเลิกราเช่นนี้ 

 

 

“หากข้าทำไม่ได้!” จิ่งเหิงปัวแบะปากครั้งหนึ่ง นิ้วมือจิ้มแก้มของเขาหนึ่งครั้งพลางกล่าวว่า “ข้าขายตัวให้เจ้า เป็นทาสเป็นอนุภรรยาย่อมได้ ปรนนิบัติเจ้าเป็นนายท่านไปตลอดชีวิต!”