ณ โรงละครในเขตเมืองชั้นในของเมืองหลวงเก่า

ด้านนอกห้องมีเสียงปรบมือดังสนั่น นั่นหมายความว่าการแสดงอันยอดเยี่ยมได้จบลงแล้ว

ส่วนการอ่านของเคแกน เฟสเองก็มาถึงช่วงท้ายแล้วเหมือนกัน

เขาถอดแว่นตาออก แล้วนวดดวงตาที่เมื่อยล้าของตนเล็กน้อย จากนั้นเอาบทละครวางกลับเข้าไปในชั้นหนังสือ

ชื่อเรื่องบนสันหนังสือคือ ‘หัวใจแห่งหมาป่า’

ไม่ใช่เท่านั้น บทละครที่วางอยู่ตรงตำแหน่งที่หยิบถนัดมือที่สุดบนชั้นหนังสือยังมี ‘บันทึกของแม่มด’, ‘เมืองใหม่’, ‘แดดยามเช้า’ หนังสือเหล่านี้ล้วนแต่เป็นของขวัญที่เมย์มอบให้เขาก่อนจากเมืองเนเวอร์วินเทอร์มา ถึงแม้หลายๆ คนในคณะละครจะคิดว่านี่เป็นการเยาะเย้ย แต่เขาก็รับมันมาทั้งหมด แล้วยังเอามาพลิกอ่านดูอยู่หลาบรอบ

นี่ไม่ได้เป็นเพราะตัวบทละครนั้นยอดเยี่ยม คนที่แต่งมันขึ้นมาเป็นมือใหม่อย่างไม่ต้องสงสัย การบรรยายเหตุการณ์ก็ทื่อ แต่ที่เขาเอามันมาอ่านอยู่หลายรอบ นั่นเป็นเพราะว่าเขาไม่มีเรื่องอื่นให้ทำอีก

เคแกนพบว่าตัวเองนั้นสูญเสียความกระหายในการสร้างสรรค์ผลงานใหม่ๆ ขึ้นมา

เขาหยิบปากกาขึ้นมา ภายในหัวมีภาพที่อยู่ในหนังเวทมนตร์ปรากฏขึ้นมา

ซึ่งหากเป็นเมื่อก่อน สิ่งที่เขาคิดอยู่ในหัวควรจะเป็นเวทีในโรงละคร

ตอนนี้เขาพบว่าตัวเองไม่สามารถคิดถึงเรื่องตำแหน่งการยืนของนักแสดงกับการจัดวางฉากหลังได้อีก มันก็เหมือนกับการที่เราไม่อาจพึงพอใจในความหวานของน้ำค้างได้อีก หลังจากที่ได้ชิมน้ำผึ้ง ในหนังเวทมนตร์ โลกทั้งใบสามารถกลายเป็นเวทีการแสดงได้ ผู้ชมและนักแสดงจะไม่มีระยะห่างระหว่างกันอีก ภาพอันน่าตกตะลึงนี้ได้เปิดประตูบานใหม่ให้กับเขา แต่หลังจากนั้นเขาก็ถูกกันเอาไว้อยู่นอกประตูบานนนั้น

ถึงแม้จะเหลือบดูข้างในแค่เพียงแวบเดียว แต่เคแกนก็ไม่สามารถถอนตัวจากมันได้

พูดให้ชัดก็คือไม่ใช่ว่าเขาไม่อยากจะสร้างผลงานใหม่ขึ้นมา หากแต่ทุกความคิดที่ผุดขึ้นมาในหัวล้วน เขามักจะคิดไปถึงเรื่องหนังเวทมนตร์ทั้งหมด อย่างเช่นการซูมภาพรอยยิ้มในตอนที่เจ้าชายเจอกับองค์หญิงเป็นครั้งแรก หรือฉากหลังอันโดดเดี่ยวที่ค่อยๆ ถอยห่างออกไปในตอนที่ทั้งสองคนแยกจากกัน…ความคิดทำนองนี้แทบจะเอ่อล้นออกมาอยู่ตลอดเวลา

หนังเวทมนตร์ทำให้เขามีความคิดที่อยากจะลองทำนั่นทำนี่เยอะแยะเต็มไปหมด แต่ไม่มีความคิดไหนที่เกี่ยวข้องกับละครเวทีเลย

และก็เป็นเพราะความคิดที่ขัดแย้งกันนี้ที่ทำให้เคแกน เฟสรู้สึกทุกข์ทรมานอย่างมาก

มีแต่ตอนที่อ่านบทละคร เขาถึงจะลืมเรื่องพวกนี้ไปได้ชั่วคราว

แต่เขาเองก็รู้ว่านี้เป็นแค่การผ่อนคลายชั่วคราวเท่านั้น

เมย์ไม่ยอมบอก สำนักบริหารเองก็ไม่ตอบกลับ….นั่นก็หมายความว่าเมืองเนเวอร์วินเทอร์ได้ปิดประตูใส่เขาแล้ว เขารู้ว่าตัวเองจะต้องทุกข์ทรมานอยู่อย่างนี้ไปจนกว่าจะหาทางเข้าใจหนังเวทมนตร์ได้

ทันใดนั้นเอง ด้านนอกพลันมีเสียงเคาะประตูของสาวใช้ดังขึ้นมา “นายท่าน มีจดหมายส่งมาถึงท่านเจ้าค่ะ”

เคแกนหลับตาแล้วนั่งพิงไปบนเก้าอี้ “วางไว้ข้างนอกนั่นแหละ เดี๋ยวข้าไปอ่านเอง”

หลังละครเวทีจบลง พวกลูกศิษย์ของเขาอย่างเรินต์แกน อีเกรโปมักจะเข้ามาในห้องหนังสือเพื่อคุยเรื่องการแสดงและขอคำชี้แนะจากเขา เขาคิดจะใช้เวลานี้ในการปรับอารมณ์ตัวเองเสียหน่อย

“แต่ว่า….บนจดหมายฉบับหนึ่งมันมีตราประทับของราชวงศ์เกรย์คาสเซิลอยู่ด้วยนะเจ้าคะ ท่านถ้าเป็นจดหมายที่ส่งมาจากเมืองเนเวอร์วินเทอร์ ให้รีบเอามาให้ท่าน…..”

สาวใช้ยังพูดไม่ทันจบ เคแกนก็เปิดประตูห้องออกมา

“จดหมายอยู่ไหน?”

สาวใช้ที่กำลังตกใจส่งจดหมายปึกหนึ่งให้เขาอย่างลนลาน จากนั้นก็มองดูปรมาจารย์ด้านการแสดงหยิบเอาจดหมายฉบับนั้นไป ก่อนจะส่งจดหมายที่เหลือทั้งหมดกลับมาให้เธอ

จากนั้นประตูห้องก็ถูกปิดลง

เคแกนกลับมายังโต๊ะหนังสือ เขารีบแกะจดหมายออกอ่านอย่างร้อนใจ

นี่เป็นจดหมายที่ราชาวิมเบิลดันเขียนให้เขา!

หรือว่าในที่สุดอีกฝ่ายจะรู้เรื่องที่คณะละครเคแกนเดินทางไปยังเมืองเนเวอร์วินเทอร์เพื่อแสดงละครในพิธีราชาภิเษกแล้ว?

ถ้าสามารถติดต่อกับราชาแห่งเกรย์คาสเซิลได้ อย่างนั้นเขาก็ยังมีหวังเรื่องหนังเวทมนตร์น่ะสิ?

เขาพยายามสะกดความตื่นเต้นภายในใจ ก่อนจะกางจดหมายออกอ่าน

…..

“วันนี้ได้ดอกกุหลาบมากี่ดอกล่ะ?” อีเกรโปถามหยอกขึ้นมาในระหว่างที่กำลังเดินไปห้องหนังสือ

“สิบกว่าดอกมั้ง ข้าไม่ได้นับ” เรินต์แกนยักไหล่ “ยังไงซะมันก็น้อยกว่าเมื่อก่อน แต่ข้าก็ไม่ได้สนใจหรอก”

“ถ้าคนที่ชอบเจ้าได้ยินเจ้าพูดแบบนี้ หัวใจพวกเขาคงแตกสลายแน่” อีเกรโปหัวเราะขึ้นมา “ที่ได้ดอกไม้น้อยลงมันก็ช่วยไม่ได้ ก็ฝ่าบาททรงจับขุนนางครึ่งหนึ่งไปทำงานที่เหมืองหมดแล้ว ที่นี่เองก็กลายเป็นเมืองหลวงเก่า คนที่มีเวลาว่างมาดูละครก็ย่อมต้องน้อยลงกว่าเมื่อก่อน แต่ขอเพียงเมืองยังอยู่ ทุกอย่างต้องค่อยๆ กลับไปเป็นเหมือนเดิมแน่”

“แต่ข้าว่ายังมีคนส่งดอกไม้มาให้ก็ถือว่าดีมากแล้ว” เบอร์นี่พูด “คณะละคร 6 คณะ ตอนนี้เหลือแค่ 3 คณะ หวังว่าพวกเราคงไม่กลายเป็นหนึ่งในนั้นหรอกนะ”

สีหน้าเรินต์แกนดูเศร้าใจขึ้นมา “นั่นสิ สงครามครั้งนั้นมันเปลี่ยนแปลงอะไรหลายๆ อย่างไปมากทีเดียว…”

“อะแฮ่มๆ เลดี้ทั้งสอง ความจริงพวกเราเองก็ได้ประโยชน์จากเรื่องนี้นะ” อีเกรโปกระแอมออกมา “ที่คณะละครเคแกนเติบโตได้เร็วขนาดนี้ก็เป็นเพราะว่าคนจากคณะละคร 3 คณะนั้นย้ายมาอยู่กับเราไม่ใช่เหรอ? การเปลี่ยนขั้วอำนาจนั้นเราไม่อาจไปควบคุมมันได้ แต่ในประวัติศาสตร์มันก็มีการเปลี่ยนอำนาจแบบนี้มาแล้วหลายครั้ง ทุกคนก็ยังอยู่รอดมาได้ไม่ใช่เหรอ? เอาเป็นว่าอย่าท้อ อาจารย์กำลังรอพวกเราอยู่นะ อย่าทำให้อาจารย์เห็นสีหน้าท้อแท้ของพวกเราล่ะ”

เมื่อพูดถึงเคแกน เฟส ทุกคนก็พยักหน้าขึ้นมาทันที ถูกต้อง นับตั้งแต่ที่กลับมาจากเมืองเนเวอร์วินเทอร์ อาจารย์ก็เหมือนจะแก่ไปมากกว่าเดิม เป็นเพราะเมย์นั่นแหละที่ไม่ยอมเปิดเผยข้อมูลของหนังเวทมนตร์ แถมยังอ้างว่าอาจจะเป็นการเปิดเผยความลับได้ ในเมื่อเรื่องราวดำเนินมาถึงขั้นนี้แล้ว พวกเขาก็มีแต่ต้องพยายามให้มากขึ้นกว่าเดิม

“อาจารย์ พวกข้ามาแล้ว”

อีเกรโปผลักประตูเข้าไป แต่เขาก็ต้องตกตะลึงไปเล็กน้อย

บรรยากาศภายในห้องเหมือนจะแปลกไปจากเดิม

เคแกน เฟสไม่ได้นั่งรอพวกเขาอยู่ที่เบาะเหมือนอย่างทุกที่ หากแต่ยืนสีหน้าเหม่อลอยอยู่ตรงโต๊ะทำงาน ผ่านไปครู่หนึ่ง เขาถึงจะมองมาพวกอีเกรโป “…เข้ามาสิ”

“อาจารย์ เกิดเรื่องอะไรขึ้นเหรอ?” เบอร์นี่เองก็สังเกตเห็นถึงความผิดปกติของอีกฝ่าย

“เมืองเนเวอร์วินเทอร์ส่งจดหมายมา เป็นจดหมายจากฝ่าบาท” เคเกนหยิบจดหมายที่อยู่บนโต๊ะขึ้นมาส่งให้ทุกคน “พวกเจ้าลองอ่านดู”

“ดะ..ได้เหรออาจารย์?”

“อื้อ ไม่เป็นไร”

หลังได้รับอนุญาต อีเกรโปก็รับเอาจดหมายมา

คนอื่นๆ ล้อมวงเข้ามาทันที

เมื่อเห็นสายตาที่เต็มไปด้วยความหวังของทุกคน เคแกนก็แอบถอนใจออกมา เห็นได้ชัดว่าในเวลานี้พวกเขากำลังคิดเหมือนกับตัวเองตอนที่รับเอาจดหมายมาอ่าน พวกเขาคิดว่าฝ่าบาททรงรู้เรื่องที่มีคนแอบขัดขาไม่ให้พวกเขาขึ้นแสดง จนทำให้พวกเขาต้องกลับมาเมืองหลวงเก่าโดยที่ไม่ได้ทำอะไรเลย ในเมื่อตอนนี้ฝ่าบาททรงรู้เรื่องแล้ว อย่างนั้นคนๆ นั้นจะต้องโชคร้ายอย่างแน่นอน

เขาเดาถูกแค่ในช่วงแรกของจดหมาย แต่กลับเดาผิดในช่วงหลัง

จริงอยู่ที่ฝ่าบาทพอพระทัยในความอยากรู้อยากเห็นของเขา ในจดหมายก็มีการอธิบายหลักการทำงานคร่าวๆ ของหนังเวทมนตร์เอาไว้ ฝ่าบาททรงอธิบายว่าหนังเวทมนตร์นั้นใช้ ‘เครื่องมือ’ อย่างหนึ่งที่แม่มดเป็นคนสร้างและกระตุ้นขึ้นมาในการบันทึกภาพเรื่องราวต่างๆ แต่การจะสร้าง ‘เครื่องมือ’ ที่ว่านั้น แค่แม่มดอย่างเดียวนั้นยังไม่พอ มันจะต้องใช้โบราณวัตถุบางอย่างด้วย ซึ่งของเหล่านี้ล้วนแต่หายากอย่างมาก ด้วยเหตุนี้ ‘เครื่องมือ’ ที่ว่านี้จึงมีจำนวนน้อยมากเช่นเดียวกัน เรียกได้ว่ามันเป็นของที่ประเมินค่าไม่ได้ แล้วก็หาซื้อที่ไหนไม่ได้ด้วย

อีกฝ่ายนั้นเขียนบอกว่าตรงๆ ว่า ‘ตอนนี้เป็นช่วงเวลาที่ต้องเผชิญหน้ากับสงครามที่อันตรายอย่างมาก ทรัพยากรจากที่ต่างๆ จำเป็นต้องถูกใช้เพื่อความอยู่รอดของเกรย์คาสเซิลเป็นอันดับแรก หนังเวทมนตร์เองก็เช่นเดียวกัน คิดว่าพวกเจ้าคงได้เห็นแล้วว่ามันสร้างความตกตะลึงได้มากแค่ไหน มันความความสำคัญอย่างมากในเรื่องการประชาสัมพันธ์ ดังนั้นต้องขอโทษด้วยที่ไม่อาจอนุญาตให้นำมันไปใช่ในละครที่ไม่เกี่ยวข้องกับนโยบายของอาณาจักรได้’

‘แต่ไม่ได้หมายความว่ามันจะเป็นเช่นนี้ไปตลอด หลังจากที่อาณาจักรกลับสู่ความสงบสุขอีกครั้ง ในตอนนั้นหนังเวทมนตร์ก็จะกลายเป็นละครชนิดใหม่ที่ทุกคนสามารถถ่ายทำได้ เมื่อถึงตอนนี้ ข้าคิดว่าเจ้ากับคณะละครของเจ้าคงจะเตรียมผลงานดีๆ เอาไว้’

ถ้าเพียงเท่านี้ อย่างมากเขาก็คงแค่รู้สึกจนปัญญาเท่านั้น

แต่เสียดายที่ฝ่าบาททรงไม่ได้คิดเช่นนั้นจริงๆ

เขาได้รับแจ้งจากทางสำนักบริหารตั้งแต่แรกแล้ว และคนที่ปฏิเสธคณะละครของเขาก็คือตัวฝ่าบาทโรแลนด์ วิมเบิลดัน

นี่ต่างหากที่เป็นสิ่งที่ทำให้เคแกนรู้สึกปวดใจมากที่สุด

การไปแสดงละครเวทีในงานราชาภิเษกนั้นเป็นความต้องการของเขาเพียงฝ่ายเดียว

ความจริงอีกฝ่ายไม่ได้มองละครเวทีที่คณะละครเคแกนเตรียมมาอยู่ในสายตาด้วยซ้ำ ถ้าแม้แต่ละครเรื่องใหม่ที่เขาตั้งใจทำขึ้นมายังไม่อาจทำให้ราชาสนใจได้ อย่างนั้นคำพูดที่บอกว่า ‘ผลงานดีๆ’ ที่บอกเอาไว้ในจดหมายก็คงเป็นแค่เพียงคำพูดตามมารยาทเท่านั้น

เขาไม่เพียงแต่จะคิดเข้าข้างตัวเอง แต่เขายังทำร้ายเมย์ทางอ้อมด้วย

………………………………………………………………..