ตอนที่ 2 เช่นนั้นความทุกข์ยากในโลกมนุษย์ก็ล้วนแล้วแต่เป็นเรื่องโกหก โดย Ink Stone_Fantasy
“หลิวหลี ข้าขอถามหน่อย เจ้าว่าครั้งนี้เราลงจากเขาไปทำอะไรกัน”
“กินกับเล่น”
“ให้ทายอีกที”
“กินให้ทั่วอาณาจักรเก้าแคว้น?”
“ทายอีกที”
“…ที่ข้าทายไปผิดหมดเลยหรือ”
“ถามมาได้ แหงล่ะว่าต้องผิดหมด!”
ต่อหน้าหวังลู่ที่กำลังโวยวาย หลิวหลีได้แต่กะพริบตาและทำหน้าราวกับว่าทำความผิด “ได้ยังไงกัน เห็นชัดๆ ข้อตกลงก็คือมากินกับมาเล่น!”
หวังลู่ยื่นมือออกไปตีศีรษะของอีกฝ่าย โดยไม่สนความจริงที่ว่าหลิวหลีเข้าสำนักมาก่อนและย่อมเป็นศิษย์พี่หญิงของเขา
“ข้าเพิ่งจะบอกเจ้าก่อนที่เราจะลงจากเขามานี่เอง ข้าจะบอกซ้ำอีกครั้งก็ได้ เพราะงั้นตั้งใจฟังให้ดี ที่เราลงจากเขาในครั้งนี้ มีสามสิ่งที่จะต้องทำ ข้อแรกคือส่งมอบจดหมายของอาจารย์ นางมีสหายผู้หญิงอยู่บนเขาอวิ๋นไท่แห่งแคว้นสายหมอกที่กำลังมีเรื่องราวใหญ่โตเกิดขึ้น และข้าต้องไปส่งจดหมายให้กับนาง ข้อสองคือจดบันทึกทุกอย่างที่เราเห็นและได้ยินไปตลอดทาง เพื่อเพิ่มพูนประสบการณ์และเปิดหูเปิดตาให้กว้างขึ้น และเพื่อขัดเกลาพลังวิญญาณขั้นปฐมกับจิตเซียนด้วย ข้อสามคือคิดหาวิธีเพื่อให้ได้ประลองยุทธ์เพื่อเผยแพร่ชื่อเสียงของสำนักให้ได้ไวที่สุด จากนั้นเราถึงค่อยกินค่อยเล่น ใช้ชีวิตอย่างเบิกบานใจได้นิดหน่อย แต่เจ้ากลับจำได้แค่ส่วนท้ายสุดเนี่ยนะ”
หลิวหลีเม้มปาก “ก็ส่วนแรกมันซับซ้อนไป ข้าฟังไม่เห็นเข้าใจสักนิด”
“…ช่างเถอะ เจ้าจำไว้อย่างเดียวก็พอ นั่นคือทำตามที่ข้าบอกให้ทำ”
“อ้อ ก็ได้”
เมื่อเห็นว่าหลิวหลีไม่มากวนตัวเองอีก หวังลู่ก็ถอนหายใจให้กับสิ่งที่เขารู้สึกมาตลอดห้าปีหลัง หลิวหลีก็ยังคงเป็นหลิวหลีอยู่วันยังค่ำ ขณะเดียวกันเขาก็หยิบเนื้อแห้งออกมาจากย่ามสีเหลืองตุ่นและยื่นให้หญิงสาวเป็นรางวัลที่นางทำตัวดี
หลิวหลียิ้มออกมาอย่างสุขใจ เปิดกระดาษที่ห่อเนื้อออกจากนั้นก็ลงมือเคี้ยวไม่หยุดปาก ทำเอาเจ้าสุนัขลายด่างรู้สึกริษยายิ่งนัก
ทั้งคู่ต่างเป็นสหายสนิทของหวังลู่ แต่การดูแลที่แตกต่างกันเช่นนี้ช่างน่าช้ำใจไม่น้อย…
ตอนนี้หลิวหลีกำลังเพลิดเพลินใจอยู่ นางเดินไปมาอย่างผึ่งผายขณะเอานิ้วป้ายเกลือและหัวหอมบนเนื้อมาเลียกิน ปลายนิ้วของนางตอนนี้แวววาวไปด้วยของเหลวสีใส ท่าทางที่กำลังเอร็ดอร่อยกับอาหารนั้นทำเอาน้ำลายของเจ้าสุนัขหน้าโง่ไหล่ท่วมออกมา
ทว่าเมื่อกินไปได้ครึ่งเดียว นางก็ม้วนห่อเนื้อกลับและเก็บมันไว้ราวกับเป็นสมบัติล้ำค่า ไม่รู้สึกหิวโหยในอาหารอีก เมื่อเห็นดังนี้หวังลู่ก็ถามออกมาด้วยความสงสัย “ทำไมเจ้าไม่กินต่อ”
หลิวหลีตอบกลับอย่างจริงจัง “ถ้าข้ากินตอนนี้ หลังจากนี้ข้าก็จะไม่ได้กินอีก”
หวังลู่หัวเราะ “ตรรกะอะไรของเจ้า ทำไมหลังจากนี้ถึงจะไม่ได้กินอีกล่ะ”
“อาจารย์บอกว่าพอศิษย์ของสำนักกระบี่วิญญาณลงจากเขาไปเพื่อเรียนรู้สั่งสมประสบการณ์ พวกเขาย่อมต้องเผชิญความทุกข์ยากในโลกมนุษย์ ไม่สามารถดื่มด่ำกับชีวิตที่หรูหราได้… ยังไงซะครั้งสุดท้ายที่ข้าลงจากเขามา ข้าไม่เคยได้กินจนอิ่มท้อง ศิลาวิญญาณและเงินที่อาจารย์ให้มามีไม่มากนัก แถมข้ายังใช้มันหมดอย่างรวดเร็วด้วย”
“ท่านลุงให้ศิลาวิญญาณและเงินกับเจ้าไปเท่าไร”
เคราะห์ดีที่หลิวหลีไม่โง่เรื่องจำนวน นางรีบตอบในทันที “ห้าพันตำลึงกับอีกสามร้อยศิลาวิญญาณ”
ว่ากันตามตรงโจวหมิงไม่ได้ขี้เหนียวเลย ตอนนั้นตบะของหลิวหลียังอยู่เพียงขั้นฝึกปราณช่วงปลาย ดังนั้นเงินรายวันของนางจึงไม่มากนัก เงินห้าพันตำลึงและสามร้อยศิลาวิญญาณเพียงพอที่จะให้นางใช้ชีวิตไปได้อีกหลายปี ทว่าเมื่อหลิวหลีได้ลงจากเขาเป็นครั้งแรก นางกลับไม่รู้จักความพอดี ซ้ำยังไม่เข้าใจเรื่องราคา พอไปถึงโรงเตี๊ยมหรูหราในเมืองหลวงที่คึกคักแห่งหนึ่ง นางก็สั่งอาหารเลิศรสทุกชนิดมากินและใช้จ่ายเงินไปหมดสิ้นภายในไม่กี่วัน จากนั้นนางก็ทำได้เพียงกลืนน้ำลายและเดินคอตกออกมา หลังจากนั้นเกือบหนึ่งปีนางจึงตกอยู่ในสภาพที่ทุกข์ยากมาตลอด
เมื่อได้ยินหลิวหลีเล่าถึงความยากลำบากที่ผ่านมา และดูจากท่าทางที่นางถนอมห่อเนื้อแห้งเป็นอย่างดี หวังลู่ก็ได้รู้ว่าหญิงสาวได้รับประสบการณ์ที่แสนชอกช้ำจากการเรียนรู้สั่งสมประสบการณ์ด้านล่างภูเขาไม่น้อย เขาอดขำออกมาและตบหัวของหญิงสาวเบาๆ ไม่ได้ “ในเมื่อตอนนี้เจ้าลงเขามากับข้า ย่อมไม่มีสิ่งใดให้ต้องเป็นกังวล ท่านลุงฝากฝังเจ้าไว้กับข้า ข้าย่อมไม่ยอมปล่อยให้เจ้าหิวตายแน่ๆ”
ถ้อยคำเหล่านี้ทำเอาหลิวหลีงงงวย ครั้งนี้อาจารย์ของนางไม่ได้ให้เงินกับนางมากมายเท่าครั้งก่อน แถมหวังลู่… ยอดเขาไร้ลักษณ์ก็โด่งดังเรื่องความยากจนอีกต่างหาก
ทว่าขณะที่หญิงสาวกำลังสับสนอยู่ นางกลับเห็นลำแสงสีเงินพุ่งตรงจากขอบฟ้าเข้ามายังพวกเขาอย่างรวดเร็ว ตอนนั้นทั้งสามเพิ่งเดินพ้นเขตแดนของสำนักกระบี่วิญญาณ ดังนั้นนางจึงไม่รู้ว่าใครกันที่คิดจะมาเคาะประตูสำนัก
หลิวหลีกรอกตาไปมาและครั้งนี้นางสามารถเห็นได้ชัดเจนว่าลำแสงสีเงินที่พุ่งตรงเข้ามาอย่างรวดเร็วนั้นคืออะไรกันแน่ มันคือเรือคลื่นเมฆา วัตถุที่มีอยู่ในบทเรียนของหอเถิงอวิ๋น ซึ่งทุกวันนี้เหล่าผู้บำเพ็ญเซียนใช้เป็นยานพาหนะที่เหาะเหินไปไหนมาไหนได้ทั่วไป ความเร็วในการบินของมันนั้นรวดเร็วจนน่าทึ่ง และการเดินทางด้วยเรือนี้ก็ราบรื่นสะดวกสบาย ทำให้มันเป็นที่นิยม ทว่าเรือเหาะสีเงินลำนี้หรูหรากว่าที่บรรยายไว้ในตำราเรียนมาก ด้านนอกของมันเคลือบด้วยเมฆสีเงินทำให้แม้แต่หลิวหลีเองก็รู้ว่ามันย่อมเป็นของล้ำค่า หนำซ้ำความเร็วของมันก็ยังเร็วกว่าที่เคยมีการบันทึกไว้และยังเสถียรกว่าด้วย
เมื่อใช้จิตกระบี่กระจ่างใจตรวจสอบและพบว่าเรือเหาะนี้ไม่เป็นอันตราย นางก็เบนความสนใจไปยังสิ่งอื่น อย่างไรเสียเรือเหาะนั่นก็ไม่อาจขึ้นไปบนภูเขาได้หากไม่ได้รับอนุญาต
ทว่าอึดใจถัดมา เรือเหาะดังกล่าวกลับลดระดับลงและลงจอดต่อหน้าคนทั้งคู่ ผู้บำเพ็ญเซียนในชุดขาวค่อยๆ ก้าวลงมาจากเรือสีเงินแจ่มจ้าจากนั้นก็คำนับหวังลู่ “คารวะท่านผู้กำกับ”
หวังลู่หัวเราะ “ตาเฒ่าเย่ ไม่ได้พบกันนาน ตบะของท่านพัฒนาขึ้นเยอะเลย”
ผู้ที่ลงมาจากเรือเหาะคือเย่ชูเฉิน รองเจ้าสำนักภูมิปัญญาและรองผู้กำกับศูนย์อากรเชาวน์ปัญญา เป็นเวลาแปดปีแล้วที่สำนักภูมิปัญญาของหวังลู่ผนวกสำนักเจ็ดดาราเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของสำนักตัวเอง และอดีตเจ้าสำนักเจ็ดดาราก็กลายมาเป็นรองเจ้าสำนักของสำนักเขาอย่างเต็มตัว ถึงตอนนี้เย่ชูเฉินรู้สึกสำนึกบุญคุณของหวังลู่อย่างล้นเหลือในเหตุการณ์ผนวกรวมสำนักครั้งนั้น หากไม่ใช่เพราะหวังลู่ พวกเขาคงเป็นเพียงผู้บำเพ็ญเซียนอิสระตัวเล็กตัวน้อยทั่วไป แม้ตอนนี้แม้ว่าสำนักภูมิปัญญาจะยังอยู่ในแถวล่างๆ ของพันธมิตรหมื่นเซียน แต่สถานะของเขากลับเปลี่ยนไปมหาศาล และในฐานะผู้บำเพ็ญเซียนเขาย่อมได้ผลประโยชน์ส่วนตัวไม่น้อย
ข้อแรกคือตอนนั้นหวังลู่ช่วยปรับวิธีบำเพ็ญเซียนของเขา พันธนาการที่รั้งขั้นตบะของเขาไว้มานานหลายปีจึงมลายไป ข้อสอง ในฐานะรองเจ้าสำนักภูมิปัญญา เขาย่อมได้รับอภิสิทธิ์มากมาย ด้วยแหล่งทรัพยาการที่จัดสรรมาเพื่อเขา ก็ไม่ใช่เรื่องยากอะไรที่ตบะขั้นของเย่ชูเฉินจะพัฒนาอย่างก้าวกระโดด หลายปีที่ผ่านมา แม้ขั้นตบะของเขาจะเพิ่มขึ้นไม่กี่ระดับ แต่กับผู้บำเพ็ญเซียนที่มีมันสมองปานกลางเช่นเขาแล้ว การพัฒนาขึ้นเพียงแค่ระดับเดียวหลังจากบรรลุตบะขั้นพิสุทธิ์ก็นับได้ว่าก้าวกระโดดมิใช่หรือ หนำซ้ำความแข็งแกร่งโดยรวมของเขาก็เพิ่มขึ้นเป็นเท่าตัว ตอนพบกันครั้งแรก เจ้าสำนักเจ็ดดาราคนนี้เป็นเพียงสวะขั้นพิสุทธิ์ระดับเก้า -3 แต่ตอนนี้ระดับของเขาเท่าเสี่ยวหมิงในขั้นพิสุทธิ์ระดับแปด ซึ่งหมายความว่าระดับขั้นของเขาก้าวหน้าขึ้นมาสี่ระดับภายในแปดปี ซึ่งถือว่าเป็นการพัฒนาที่ก้าวกระโดดอย่างแท้จริง หากเย่ชูเฉินไม่ต้องมาจัดการธุระต่างๆ ของสำนักซึ่งต้องใช้ความอุตสาหะไม่น้อย เขาน่าจะประสบความสำเร็จได้มากกว่านี้อีก
ทั้งหมดนี้แน่นอนว่าต้องขอบคุณหวังลู่ ดังนั้นเย่ชูเฉินจึงจงรักภักดีและอุทิศตนให้กับอีกฝ่าย แม้ในช่วงสองสามปีให้หลังหวังลู่จะทุ่มเทให้กับการบำเพ็ญตบะของตนที่บนเขากระบี่วิญญาณ จนทำให้ต้องละทิ้งงานเกือบทั้งหมดของสำนักไปก็ตาม
“ท่านผู้กำกับ ข้ารีบมาทันทีที่ได้รับคำสั่งจากท่าน และข้ายังนำคลื่นเมฆา 2000 ซึ่งเป็นเรือคลื่นเมฆาที่ปรับปรุงขึ้นมาใหม่มาตามที่ท่านสั่งไว้อีกด้วย”
พูดจบ เย่ชูเฉินก็ร่ายอาคมและประตูทางเข้าของเรือเหาะที่มีความยาวมากกว่าสิบห้าวาลำนี้ก็เปิดออก เมื่อมองเข้าไปในประตู ภายในของมันกลับดูกว้างขวางยิ่งกว่าที่ดูจากภายนอกเสียอีก
ดวงตาของหลิวหลีเบิกกว้างด้วยความประหลาดใจ พลางคิดว่าเจ้าสิ่งนี้กับเรือเหาะที่อยู่ในตำราช่างแตกต่างกันยิ่งนัก ในตำราเรือคลื่นเมฆานั้นใช้งานง่าย ราคาสมเหตุสมผล แต่ห้องโดยสารเล็ก ทำให้ผู้บำเพ็ญเซียนรู้สึกไม่ค่อยสะดวกสบายที่จะบินไปกับมัน แต่ตอนนี้ดูเหมือนคำบรรยายเหล่านั้นจะผิดเพี้ยนไปอย่างสิ้นเชิง
เมื่อเห็นใบหน้าที่งงงวยของหลิวหลี หวังลู่ก็ยิ้มพลางอธิบาย “นี่เป็นเรือคลื่นเมฆาฉบับปรับปรุงเองที่ข้าบอกให้คนของข้าสั่งให้ฝ่ายงานช่างนภาของหอนภาเร้นลับทำขึ้น ข้างในนั้นเป็นโถงสี่เหลี่ยมที่มีทุกสิ่งทุกอย่างที่ควรจะมี เข้ามาคุยเรื่องนี้กันข้างในเถอะ”
ทันทีที่เข้ามาในเรือเหาะ หญิงสาวก็นิ่งอึ้งไป ไม่เพียงด้านในเรือจะใหญ่โตกว่าขนาดของเรือที่มองเห็นจากภายนอกแล้ว แต่ที่มุมของห้องโถงยังมีบันไดพาขึ้นไปยังชั้นบนและลงไปยังชั้นล่างด้วย หนำซ้ำจำนวนห้องก็มีมากมายนับไม่ถ้วน
ในขณะที่หญิงสาวยังคงอยู่ในสภาวะตกตะลึง เย่ชูเฉินก็ร่ายอาคมเพื่อปิดประตูทางเข้า จากนั้นเรือเหาะก็ทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้าอย่างราบรื่นไม่มีสิ่งรบกวนใดๆ
หลังจากที่ออกเรือแล้ว เย่ชูเฉินก็กล่าวกับหวังลู่ “โชคร้ายที่งานฝีมือระดับสามของฝ่ายงานช่างนภาไม่ได้ถูกติดตั้งมาด้วย ดังนั้นงานฝีมือภายในเรือนี้จึงเป็นอย่างที่เห็น ทิวทัศน์และพืชพรรณรวมถึงหุ่นร้องเต้นที่ท่านอยากได้จึงไม่มี โปรดให้อภัยกับความไม่เอาไหนของผู้น้อยด้วย ท่านผู้กำกับ”
หวังลู่เดินตรงไปยังเก้าอี้พับได้ในห้องโถง เขานั่งลงพลางโบกไม้โบกมือ “ไม่เสียหายอะไร ยังไงซะได้เรือที่หรูหราระดับนี้มาภายในระยะเวาไม่กี่วันก็ถือว่าดีมากแล้ว อีกอย่างเราก็ไม่ใช่ลูกค้าระดับสูงสุด แต้มคะแนนของเรามีไม่ถึง ไว้รอโอกาสหน้าแล้วเราค่อยทำให้มันเป็นไปอย่างที่ใจต้องการก็ได้ ตอนนี้ก็เอาเท่าที่มีไปก่อนละกัน”
พูดจบ หวังลู่ก็มองไปที่หลิวหลีซึ่งกำลังสำรวจภายในเรือไปทั่วด้วยความสนใจ เขากล่าวพร้อมรอยยิ้ม “ตาเฒ่าเย่ เอาอาหารและเครื่องดื่มมาให้เราหน่อย”
“ขอรับ”
ไม่นานนัก อาหารและเครื่องดื่มหรูหราชุดใหญ่ก็ถูกจัดเตรียมไว้บนโต๊ะ ซึ่งดึงดูดความสนใจหลิวหลีที่กำลังวิ่งขึ้นวิ่งลงบันไดอย่างบ้าคลั่งในทันที และเมื่อได้เห็นอาหารเหล่านี้ หลิวหลีก็ไม่อาจละสายตาไปจากพวกมันได้
น้ำเชื่อมสวรรค์หอมหวาน ห้าบุปผาหยกแดง กะหล่ำปลีหยก เนยแข็งเย็นลี้ลับ… แม้แต่ในโรงเตี๊ยมเลิศหรู หลิวหลีก็ยังไม่เคยเห็นอาหารที่หรูหราเช่นนี้มาก่อน นี่ นี่คือของจริงใช่ไหมนะ
แม้วิชากระบี่กระจ่างใจจะทำให้นางมีจิตใจที่บริสุทธิ์ผ่องใส แต่มันก็ไม่อาจทำให้นางหลุดจากอาการตกใจใหญ่โตนี้ได้ ขณะกำลังตื่นตะลึงอยู่ หลิวหลีก็อดที่จะกลืนน้ำลายลงคอไม่ได้
หวังลู่หัวเราะพลางกล่าว “เจ้ามัวยืนบื้ออยู่ทำไม พวกนี้ของเจ้าทั้งนั้น!”
“จะ จริงหรือ!?”
หวังลู่ตรงเข้าไปหยิบขาแกะฉ่ำๆ และโยนไปให้เจ้าสุนัขหน้าโง่ ซึ่งกลืนมันลงท้องไปทั้งชิ้น
“หากเจ้าไม่อยากกิน งั้นก็ตามใจ”
“ข้าอยากกิน ข้าอยากกิน!”
ไม่นานนัก โต๊ะที่เต็มไปด้วยอาหารซึ่งเหมาะสำหรับคนมากกว่าสิบคนกินก็เกลี้ยงเกลาด้วยฝีมือของหวังลู่และสหายสนิททั้งสองของเขา เป็นเรื่องยากที่จะทำให้ร่างโปร่งของหลิวหลีรู้สึกอิ่มได้ แต่หลังจากที่พวกเขากวาดอาหารบนโต๊ะเสียเรียบ นางก็อดรู้สึกแน่นท้องขึ้นมาไม่ได้
“ตาเฒ่าเย่ หมดเวลากินดื่มแล้ว เรามาเข้ารายการกันเสียที”
“ได้”
จากนั้นเสียงจากเครื่องสายและเครื่องดนตรีไม้ก็ดังก้องไปทั่วทั้งโถง หวังลู่เอนหลังอยู่บนเก้าอี้ แกว่งตัวไปมาตามจังหวะดนตรี
ในตอนนั้นเองหลิวหลีก็ไม่อาจเก็บงำความสงสัยได้อีก “หวังลู่… เจ้าซื้อเรือเหาะลำนี้หรือ”
“ถูกต้อง”
“ใช้เงินไปเท่าไร” แม้จะไร้เดียงสา แต่หลิวหลีก็ตระหนักดีว่าเรือเหาะหรูหราเช่นนี้ย่อมมีราคาสูงลิบเป็นแน่ แค่อาหารบนโต๊ะเมื่อครู่นี้เพียงอย่างเดียวก็อาจจะมีค่าถึงหนึ่งหมื่นตำลึงเงิน ไม่ก็หลายร้อยศิลาวิญญาณ
หวังลู่หัวเราะคิกคัก “ได้ราคาพิเศษน่ะ แปดแสนศิลาวิญญาณ”
“ปะ แปดแสนศิลาวิญญาณ!?” หลิวหลีทวนราคาอย่างไม่เชื่อหู “พะ แพงจัง”
หวังลู่หัวเราะออกมาเสียงดัง “ถูกแล้ว ยังไงซะมันคือยานพาหนะของสำนักที่ซื้อด้วยเงินกองทุนสาธารณะ!”
“เงินกองทุนสาธารณะ?”
“ใช่ ข้าไม่เคยเล่าให้ฟังหรือ ข้ามีธุรกิจส่วนตัวที่ด้านล่างภูเขา ข้ามีสำนักของตัวเอง” หวังลู่พยักหน้าและพูดอย่างจริงจัง “แม้สำนักภูมิปัญญาจะเป็นสิ่งที่ข้าสร้างขึ้นมากับมือ แต่ผู้บริหารที่ดีย่อมต้องแยกเงินส่วนตัวกับเงินส่วนรวมออกจากกัน เงินแม้เพียงตำลึงเดียวที่เอามาใช้จ่ายส่วนรวมย่อมต้องไม่ออกมาจากกระเป๋าส่วนตัว!”
“หือ!?” หลิวหลีรู้สึกว่าคำอธิบายอย่างตรงไปตรงมาของหวังลู่ฟังดูแปลกๆ แต่นางบอกไม่ได้ว่าตรงไหนที่มันสะดุดหู
หลังจากนิ่งคิดอยู่พักใหญ่ หลิวหลีก็กล่าวขึ้น “แต่อาจารย์บอกว่า เราต้องออกเดินทางเรียนรู้สั่งสมประสบการณ์อย่างมัธยัสถ์…”
หวังลู่โบกไม้โบกมือขัดอีกฝ่าย “เหลวไหลน่า! ข้าเป็นถึงอันดับหนึ่งที่ทรงเกียรติของสำนักภูมิปัญญา ทุกคำพูดและทุกการกระทำของข้าเป็นตัวแทนของคนทั้งหลายที่อยู่ใต้ข้า หากข้าทำตัวตระหนี่ ผู้คนก็จะหัวเราะเยาะสำนักภูมิปัญญาเอาได้”
พูดแล้วเขาก็เอนกายลงบนเก้าอี้อย่างมั่นใจและผ่อนคลาย “หลิวหลีน้อย จำคำข้าไว้ให้ดี นี่ละสิ่งที่ผู้นำควรได้รับ!”