ภาคที่ 5 ตอนที่ 3 หลิวหลีเป็นที่รักในแคว้นสายหมอก!

กาลหนึ่งเคยมีเขากระบี่วิญญาณ

ตอนที่ 3 หลิวหลีเป็นที่รักในแคว้นสายหมอก! โดย Ink Stone_Fantasy

          เรือคลื่นเมฆามุ่งหน้าไปทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือสู่แคว้นสายหมอก เรือเหาะที่ทะยานสูงนี้สามารถเดินทางได้ไกลถึงห้าพันลี้ต่อวัน แม้อาณาจักเก้าแคว้นจะกว้างใหญ่ไพศาล แต่ยานพาหนะนี้ใช้เวลาเพียงวันหรือสองวันเท่านั้นเพื่อบินจากแคว้นธาราครามไปยังแคว้นสายหมอกที่อยู่ติดกัน เรื่องนี้ทำเอาหลิวหลีตื่นเต้นเป็นอย่างมากแต่ก็รู้สึกลำบากใจเช่นกัน เพราะก่อนที่นางจะลงจากเขามา ผู้เป็นอาจารย์ได้กล่าวเตือนอย่างจริงจังว่าไม่ให้เปลี่ยนช่วงเวลาในการเรียนรู้ประสบการณ์ที่แคว้นสายหมอกเป็นบันทึกตามรอยอาหารอย่างที่เคยทำในการเรียนรู้สั่งสมประสบการณ์คราวก่อน หรือเป็นเรื่องไร้สาระอื่นๆ แต่ควรจะได้เห็นโลกมากขึ้น จดจำมากขึ้น หากคนทั้งคู่เดินเท้าไปยังแคว้นสายหมอกจะกินเวลาอย่างน้อยสิบวัน ระหว่างนั้นนางต้องสังเกตทุกอย่างที่เห็นอย่างละเอียดและไตร่ตรองถึงมัน…

          ทว่าเมื่อมองออกไปยังชั้นของเมฆขาวและท้องฟ้ากระจ่างใสที่ด้านนอกเรือเหาะ จิตใจที่บริสุทธิ์ของหลิวหลีก็รับรู้ได้ว่าด้วยความเร็วเช่นนี้พวกเขาย่อมไปถึงแคว้นสายหมอกภายในไม่ถึงสองวันแน่ ปัญหาก็คือนางจะจดจำทุกอย่างที่เห็นนี่ได้อย่างไร ทว่า…ในเมื่ออาจารย์เป็นคนออกปาก นางจึงทำได้เพียงเชื่อฟัง

          แม้หลิวหลีจะไม่คุ้นชินกับวิถีของโลกมนุษย์ แต่ความจำของนางนั้นดีเลิศ นางยืนนิ่งอยู่ที่ริมห้องโถง มองดูกลุ่มเมฆที่ไหลผ่านไปราวกับน้ำตกด้านนอกหน้าต่าง สมองของนางจดจำทุกอย่างที่ผ่านเข้ามาในสายตา ทั้งยังนึกไปถึงภาพอื่นๆ ที่คล้ายคลึงกับรูปร่างของเมฆเหล่านี้โดยไม่รู้ตัวด้วย ตัวอย่างเช่น บางก้อนเหมือนเนื้อย่างทรงกลม บางก้อนเหมือนเนื้อย่างทรงเหลี่ยม บางก้อนเหมือนเนื้อย่างชุ่มน้ำมัน อีกทั้งยังมี… หญิงสาวจดจำทุกสิ่งทุกอย่างอย่างกระตือรือร้นเพื่อที่ว่ายามที่กลับไป นางจะสามารถบรรยายทั้งหมดให้ผู้เป็นอาจารย์ฟังได้ และนางก็เชื่อว่าผู้อาวุโสจะต้องพออกพอใจเป็นอย่างมากแน่ๆ

ด้านหวังลู่และเย่ชูเฉิน พวกเขานั่งอยู่ที่โต๊ะชาในห้องโถงและเย่ชูเฉินกำลังรายงานเรื่องราวต่างๆ ภายในสองสามปีหลังให้อีกฝ่ายฟัง

          หวังลู่บำเพ็ญตบะอยู่บนภูเขาเนิ่นนานหลายปี ระหว่างนั้นทุกๆ สิบวัน เขาจะได้รับเอกสารรายงานสรุปการทำงานของสำนักภูมิปัญญาจากองค์กรขนส่งเยี่ยมยุทธ์ ทำให้เข้าใจถึงสภาพการณ์ทั่วไปได้เป็นอย่างดี ทว่าข้อมูลสำคัญๆ นั้นเขาต้องการฟังเพิ่มจากปากของเย่ชูเฉิน

          โดยภาพรวม การพัฒนาของสำนักภูมิปัญญานั้นอยู่ในร่องในรอย แม้จะไม่ได้รับการช่วยเหลือโดยตรงจากหวังลู่ มันก็มีพื้นฐานที่สามารถพัฒนาด้วยตัวเองได้ ตอนนี้จำนวนผู้ติดตามของสำนักภูมิปัญญานั้นเกินหนึ่งร้อยล้านคนเรียบร้อยแล้ว รากฐานของพวกเขาในประเทศต้าหมิงก็มั่นคงไม่สั่นคลอน ในประเทศต้าหมิงนั้น ชื่อเสียงของเย่ชูเฉิน หลี่น่าน่า และนักบวชหมิงหยุน สามยักษ์ใหญ่นี้มีมากพอๆ กับอัครมหาเสนาบดี การขับเคลื่อนและวิธีการบริหารจัดการของสำนักเรียกได้ว่าฝืนลิขิตสวรรค์เลยทีเดียว

          ด้วยกำลังของผู้ติดตามมากกว่าหนึ่งร้อยล้านคนบวกรวมกับเงินทุนมหาศาลของหวังลู่เมื่อห้าปีก่อน สำนักภูมิปัญญาได้สร้างโครงสร้างพื้นฐานที่มีขนาดมโหฬารได้เป็นจำนวนมาก ผลิตผลที่เป็นวัตถุวิญญาณระดับต่ำและพืชวิญญาณนั้นมีมหาศาลจนทำให้หอนภาเร้นลับสนใจและเกิดเป็นการร่วมมือกันในระยะยาวเมื่อหลายปีก่อน แค่สิ่งก่อสร้างระดับมาตรฐานเหล่านี้ก็สามารถทำให้สำนักภูมิปัญญาได้กำไรรายปีจำนวนมหาศาล ทำให้คนที่รู้เรื่องนี้ต่างประหลาดใจไปตามๆ กัน

          หากจุดประสงค์เป็นเพียงการสะสมเงินทอง ตอนนี้สำนักภูมิปัญญาก็อยู่ในช่วงตักตวงแล้ว เงินทุนมหาศาลที่หวังลู่ลงไปเมื่อหลายปีก่อนน่าจะคืนทุนได้ภายในสิบปี และหากเขาบริหารจัดการเรื่องงบการเงินด้วยละก็ ผลกำไรก็จะยิ่งน่าตะลึงพรึงเพริดเข้าไปใหญ่

          ทว่าความทะเยอทะยานของหวังลู่ไม่ได้จำกัดเพียงเรื่องนี้เพราะศิลาวิญญาณหากมีจำนวนมากมูลค่าของมันก็จะลดลง เงินหนึ่งหมื่นศิลาวิญญาณอาจซื้อผู้บำเพ็ญเซียนตบะขั้นสร้างแกนเพื่อเป็นนักเลงคุมสำนักได้ แต่หนึ่งล้านศิลาวิญญาณนั้นอาจไม่พอจ้างผู้บำเพ็ญเซียนขั้นกำเนิดใหม่ให้ทำการใดๆ ได้ หากแสดงบัตรอภิสิทธิ์ชนให้หอนภาเร้นลับดู ก็อาจจะซื้อศิลาวิญญาณระดับแปดได้ด้วยเงินหนึ่งแสนศิลาวิญญาณมาตรฐาน แต่หากต้องการซื้อศิลาวิญญาณที่สูงกว่านั้นหนึ่งระดับ ราคาที่ต้องจ่ายอาจประเมินค่าไม่ได้เลยด้วยซ้ำ

          การแก้ปัญหาของหวังลู่ในเรื่องนี้นั้นเรียบง่ายมาก นั่นคือยกระดับอุตสาหกรรมและเศรษฐกิจพอเพียงในอนาคต ในการดำเนินการตามแผนงานที่ยิ่งใหญ่นี้ อุปสรรคที่สำคัญที่สุดคือขาดผู้มีความสามารถ ตอนนี้จำนวนผู้ติดตามของสำนักภูมิปัญญามากถึงหนึ่งร้อยล้านคน แต่ขั้นตบะของรองเจ้าสำนักหลายคนยังอยู่ในขั้นพิสุทธิ์เท่านั้น หนำซ้ำยังไม่ใช่ขั้นพิสุทธิ์ที่แข็งแกร่งอีกด้วย แม้พวกเขาจะใช้เงินจ้างนักเลงตบะขั้นสร้างแกนไว้หลายคน แต่พูดตามตรงก็ยังไม่พอเพียงกับสำนักที่กำลังเติบโต

          แล้วจะแก้ปัญหาอย่างไร ง่ายมาก ก็ใช้เงินน่ะสิ สิ่งที่สำนักภูมิปัญญาขาดนั้นไม่ใช่เงินทอง แม้การใช้ศิลาวิญญาณเพียงอย่างเดียวไม่อาจดึงดูดเหล่าผู้มีชื่อเสียงและพรสวรรค์ แต่ก็อาจดึงดูดผู้บำเพ็ญเซียนที่อายุไม่น้อยในสำนักใหญ่ๆ ซึ่งมีขั้นตบะสูงกว่าผู้บำเพ็ญเซียนอิสระอย่างเย่ชูเฉินได้

          หวังลู่สั่งการให้สำนักภูมิปัญญาหาเงินจำนวนมากเพื่อดึงดูดเหล่าผู้มีความสามารถรวมทั้งผลประโยชน์มหาศาลให้อีกด้วย กลยุทธ์นี้ดำเนินการมากว่าหกเดือนแล้ว และสามารถดึงดูดผู้บำเพ็ญเซียนจากสำนักชั้นนำได้จำนวนไม่น้อย แม้พวกเขาจะเป็นเพียงเงาของผู้บำเพ็ญเซียนที่เก่งกาจกว่าในสำนักตัวเอง แต่พวกเขาก็กลายเป็นผู้มากพรสวรรค์ในสำนักภูมิปัญญา และมีบทบาทสำคัญในการพัฒนาสำนัก หวังลู่ในฐานะอันดับหนึ่งของสำนักภูมิปัญญา ย่อมมีอภิสิทธิ์ที่จะได้รับการปรนนิบัติที่เหมาะสมในฐานะผู้นำ ความจริงแล้วหากเขาไม่ตั้งมาตรฐานความเป็นผู้นำขึ้นมา หลายคนจะสงสัยในอำนาจของเขาได้ และหวังลู่ก็ต้องการใช้เรือคลื่นเมฆา 2000 นี้เพื่อบอกให้โลกได้รู้ว่าสำนักภูมิปัญญานั้นร่ำรวยอย่างน่าบัดซบ อีกทั้งยังเปี่ยมด้วยกำลังวังชา! พร้อมอ้าแขนรับผู้ที่มีความสามารถโดดเด่น!

          การรายงานเรื่องราวต่างๆ ของสำนักเสร็จสิ้นลงไปแล้ว แต่รองเจ้าสำนักตบะขั้นพิสุทธิ์คนนี้กลับรู้สึกเหน็ดเหนื่อยทั้งกายและใจ

          ความกดดันที่ต้องรายงานต่อหน้าหวังลู่และรับฟังคำสั่งของอีกฝ่ายนั้นค่อนข้างใหญ่หลวง แม้ขั้นตบะของเด็กหนุ่มที่อยู่เบื้องหน้าจะต่ำกว่าเขา แต่เย่ชูเฉินก็รู้ซึ้งถึงความแตกต่างของความแข็งแกร่งที่แท้จริงของทั้งสองฝ่าย เมื่อแปดปีก่อนตอนที่หวังลู่มีตบะเพียงขั้นฝึกปราณ เพลงกระบี่ไร้ลักษณ์ของเขายังสามารถต้านทานเพลงกระบี่เจ็ดดาราที่เย่ชูเฉินภูมิใจเป็นที่สุดได้ แล้วพอแปดปีผ่านไป ไม่แน่ว่าตอนนี้เขาอาจไม่มีคุณสมบัติพอที่จะสู้กับหวังลู่แล้วก็เป็นได้… แค่เจ้าสุนัขลายด่างเขายังสู้ไม่ได้ด้วยซ้ำ หนำซ้ำแม้ตอนหวังลู่พูด เขาจะพูดด้วยน้ำเสียงราบเรียบเสมอ แต่ก็สามารถจับผิดข้อผิดพลาดที่เล็กน้อยที่สุดในรายงานของเย่ชูเฉินได้ แม้เด็กหนุ่มจะไม่ได้วิจารณ์อีกฝ่ายตรงๆ แต่ชายชราก็อดที่จะเหงื่อแตกพลั่กไม่ได้

          เคราะห์ดีที่ช่วงเวลาที่ยากลำบากเหล่านั้นผ่านพ้นไปแล้ว เย่ชูเฉินถอนหายใจด้วยความโล่งใจ จากนั้นก็อธิบายสภาพและธรรมเนียมปฏิบัติของแคว้นสายหมอกให้หวังลู่ฟังคร่าวๆ

          แคว้นสายหมอกตั้งอยู่ทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือของแคว้นธาราคราม ที่นี่มีอาณาเขตกว้างใหญ่ไพศาล เป็นจุดสำคัญของอาณาจักรเก้าแคว้น มั่งมีด้วยทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งต่างๆ ทว่าลักษณะที่เด่นชัดที่สุดของแคว้นนี้คือความไร้ระเบียบ

          แคว้นสายหมอกต่างจากแคว้นที่ปกครองด้วยห้าวิเศษอย่างแคว้นธาราคราม ในดินแดนของแคว้นสายหมอก ไม่มีสำนักใดที่มีอำนาจชัดเจน แม้แต่ระดับอย่างสำนักลักษณ์เรือนหมื่นหรือสำนักเคลื่อนเมฆาก็ยังไม่ทรงอำนาจพอ ทั้งแคว้นถูกแบ่งแยกจากสำนักระดับสามและสี่เป็นร้อยๆ สำนัก อย่างเช่น สำนักมังกรขาว หรือสำนักเมฆษการุณย์ หากพูดให้น่าฟังแคว้นนี้เป็นแคว้นหนึ่งที่รุ่งเรืองเฟื่องฟู แต่หากพูดให้ระคายหูแคว้นนี้ก็ถูกแบ่งแยกจากเหล่าผู้นำมากมาย

          อย่างไรก็ตามสถานการณ์เช่นนี้มีทั้งข้อดีและข้อเสีย ข้อดีก็คือสถานที่ที่ไร้ระเบียบเช่นนี้ช่วยให้สำนักอย่างสำนักภูมิปัญญาเข้ามานั่งเรือตกปลาฉกฉวยผลประโยชน์ได้ง่าย ข้อเสียก็คือ หากไม่ระวังให้ดี ‘เรือ’ ก็อาจจะคว่ำได้ ตอนนี้อำนาจของสำนักภูมิปัญญายังไม่อาจเทียบได้กับสำนักระดับสามและระดับสี่เหล่านั้นด้วยซ้ำ

          ดังนั้นเมื่อไม่กี่วันก่อนหวังลู่จึงส่งสารไปยังเย่ชูเฉินให้เตรียมเรือคลื่นเมฆาและเดินทางไปยังแคว้นสายหมอกกับพวกเขา เย่ชูเฉินเองก็ย่อมสงสัยถึงจุดประสงค์ในการเดินทางครั้งนี้ของหวังลู่

          “ไม่มีอะไรมาก แค่ไปส่งจดหมายให้อาจารย์น่ะ” หวังลู่กล่าวอย่างไม่ใส่ใจ

          เย่ชูเฉินทั้งรู้สึกประหลาดใจและไม่สบายใจ “งานง่ายๆ อย่างส่งจดหมายทำไมท่านถึงไม่ให้คนของขนส่งเยี่ยมยุทธ์ทำเล่า ท่านผู้กำกับผู้ทรงเกียรติไม่น่าลดตัวลงมาทำเรื่องนี้เองเลย!?”

          หวังลู่หัวเราะขำ “เข้าเมืองตาหลิ่วก็ต้องหลิ่วตาตาม พอลงจากภูเขา ข้าก็เป็นเพียงอันดับหนึ่งของสำนักภูมิปัญญา ยังไม่มีคุณสมบัติพอจะเป็นผู้ทรงเกียรติอะไร นอกจากส่งมอบจดหมายแล้ว ข้ามีธุระส่วนตัวที่จะต้องทำ… ตาเฒ่าเย่ เมื่อเร็วๆนี้มีเหตุการณ์น่าสนใจเกิดขึ้นในพื้นที่เขาอวิ๋นไท่ใช่หรือไม่”

          เย่ชูเฉินทำการบ้านมาดี ดังนั้นหลังจากใคร่ครวญอยู่ครู่หนึ่ง เขาก็กล่าวออกมา “เขาอวิ๋นไท่ตั้งอยู่ในอาณาจักรอวิ๋นไท่ สำนักมังกรขาว สำนักเคลื่อนเมฆาและสำนักระดับต่ำอื่นๆ ถือกำเนิดขึ้นที่นี่ ภายใต้การปราบปราบของราชสำนักอวิ๋นไท่ พื้นที่แถบนั้นจึงค่อนข้างมั่นคง ทว่าเมื่อเร็วๆ นี้มีสำนักจากแคว้นอื่นเข้ามาตั้งสาขาในบริเวณเขาอวิ๋นไท่ พวกเขาทำตัวหยาบคายไร้เหตุผล และความไม่สงบที่เกิดจากความขัดแย้งของพวกเขาก็ไม่ใช่น้อยๆ”

          เมื่อได้ฟังเช่นนั้น หวังลู่ก็รู้สึกสนใจขึ้นมา พลางคิดว่ามันน่าจะมีส่วนเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้  ดังนั้นเขาจึงหยัดกายขึ้น “โอ้ งั้นทำไมเจ้าไม่เล่ารายละเอียดให้ข้าฟังสักหน่อยเล่า”

          เย่ชูเฉินตัวแข็งทื่อไปชั่วขณะ จากนั้นก็ยิ้มขื่น ข่าวคราวเกี่ยวกับเขาอวิ๋นไท่เขาก็ได้ยินมาเพียงเท่านี้ แล้วเขาจะรู้รายละเอียดเรื่องนี้ได้อย่างไร ทว่ามีเรื่องหนึ่งที่เขาเล่าได้ ดังนั้นเย่ชูเฉินจึงเริ่มเล่าเรื่องที่รู้มาให้อีกฝ่ายฟัง

          มันเป็นเรื่องที่สร้างความรำคาญใจ คนร้ายนั้นมาจากสำนักเชี่ยวชาญสรรพสัตว์ ซึ่งเป็นสำนักระดับสามของแคว้นทักษิณสวรรค์ เมื่อกว่าหนึ่งปีก่อน ผู้อาวุโสจำนวนมากของสำนัก เชี่ยวชาญสรรพสัตว์พร้อมเหล่าศิษย์เดินทางหลายร้อยลี้จากแคว้นทักษิณสวรรค์มายังแคว้นสายหมอก จากนั้นก็ตั้งสาขาขึ้นแถวบริเวณเขาอวิ๋นไท่ ผู้ปกครองของอาณาจักรอวิ๋นไท่ไม่ได้พยายามหยุดยั้งการดำเนินการนี้ ตรงข้ามราชสำนักดูจะสนับสนุนด้วยซ้ำ สำหรับสำนักที่ไม่แข็งแกร่งไม่อ่อนแอเช่นนี้ ราชสำนักสามารถเข้ามาจัดการเรื่องความสมดุลของสำนักนี้กับสำนักอื่นๆ และตักตวงผลประโยชน์ได้

          สำนักท้องถิ่นในอาณาจักรอวิ๋นไท่เองก็ไม่ได้ต่อต้าน ด้านหนึ่งเพราะเมื่อสามปีก่อน หัวหน้าสาขาของสำนักเชี่ยวชาญสรรพสัตว์ ฝึกสำเร็จและบรรลุถึงตบะขั้นกำเนิดใหม่ ซึ่งสำหรับสำนักระดับสามแล้วถือว่าแข็งแกร่งไม่น้อย และเมื่อเทียบกับสำนักระดับสี่อย่างสำนักมังกรขาวก็ถือว่าแข็งแกร่งกว่าหลายเท่านัก ประการที่สองคือแถบภูเขาอวิ๋นไท่นั้นไม่มีทรัพยากรธรรมชาติที่มีค่า เช่นนั้นเหตุใดพวกเขาจึงต้องใส่ใจด้วยหากพื้นที่ไร้ราคาสักผืนจะตกเป็นของคนอื่นไป พวกเขาค่อยฉกฉวยผลประโยชน์จากโอกาสเช่นนี้แทนจะดีเสียกว่า

          ทว่าหนึ่งปีให้หลังมานี้ พวกเขากลับไม่อาจรักษาบรรยากาศแห่งความกลมเกลียวไว้ได้ สำนักเชี่ยวชาญสรรพสัตว์มีมุมมองที่ขัดต่อเจ้าหน้าที่บ้านเมืองและผู้บำเพ็ญเซียนหลายคนของที่นั่นก็ทำร้ายผู้คนที่อยู่ในละแวกเดียวกัน ภายหลังเมื่อทางการส่งเจ้าหน้าที่มาสอบสวนเรื่องราว พวกเจ้าหน้าที่กลับถูกทำร้ายและดูหมิ่น หากจะกล่าวว่าเป็นเรื่องใหญ่ มันก็ไม่ถือว่าใหญ่ อย่างไรเสียเหล่าผู้บำเพ็ญเซียนก็อยู่เหนือคนทั่วไปอยู่แล้ว ดังนั้นพวกเขาจึงมักทำตัวไม่สนใจกฎหมายและศีลธรรม ทว่าเมื่อทูตจากสำนักมังกรขาวเข้ามาขอคำอธิบายจากหัวหน้าสาขาของสำนักเชี่ยวชาญสรรพสัตว์ คนผู้นั้นกลับถูกเหยียดหยามจนต้องอับอาย หลังจากนั้นความขัดแย้งก็รุนแรงขึ้นจนบานปลายกลายเป็นการใช้กำลังในที่สุด

          “โชคดีที่หลังจากนั้น พันธมิตรหมื่นเซียนเข้ามาไกล่เกลี่ย เรื่องราวจึงไม่บานปลายกันไปใหญ่ เมื่อสาขาของสำนักเชี่ยวชาญสรรพสัตว์กล่าวขออภัย สำนักมังกรขาวและอาณาจักรอวิ๋นไท่จึงต้องยอมรับอย่างเสียไม่ได้… ทว่าปมของปัญหายังไม่ถูกแก้ไข ดังนั้นข้าว่าเรื่องนี้คงสงบได้ไม่นาน”

          “ปมของปัญหา?”

          เย่ชูเฉินส่ายศีรษะ ใบหน้าแสดงอาการรังเกียจอย่างเห็นได้ชัด “คนจากสำนักเชี่ยวชาญสรรพสัตว์ที่มาตั้งสาขาที่นี่เป็นคนที่มีความคิดสุดโต่งกว่าผู้คนทั่วไปในสำนักเชี่ยวชาญสรรพสัตว์ ความคิดของพวกเขานั้นแตกต่างจากคนทั่วไปโดยสิ้นเชิง หนำซ้ำพวกเขายังยึดมั่นในความคิดของตน ทั้งยังมีท่าทีที่รุนแรงต่อคนที่เห็นต่าง”

          “ที่เจ้าพูดนั้นหมายถึง?”

          เย่ชูเฉินกล่าว “ท่านผู้กำกับ ท่านก็รู้ว่าผู้บำเพ็ญเซียนจากสำนักเชี่ยวชาญสรรพสัตว์มักมีนกภูตหรือสัตว์ภูตติดสอยห้อยตามมาด้วย และพวกเขาก็มีความรู้สึกที่ลึกซึ้งกับพวกมัน ดังนั้น…”

          สมองของหวังลู่ทำงานอย่างว่องไวเพื่อเดาเหตุผลของเรื่องนี้ จากนั้นเขาก็อดเหยียดยิ้มออกมาไม่ได้

          “น่าสนใจ ครั้งนี้ฝ่ายตรงข้ามคือพวกรักสัตว์อย่างนั้นหรือ”

          พูดจบหวังลู่ก็หันศีรษะไปมองเจ้าสุนัขลายด่างที่นอนอยู่บนพื้น และมองหลิวหลีที่จ้องมองเมฆด้านนอกหน้าต่าง

          “เวรเถอะ พวกเจ้าต้องเผชิญหน้ากับพวกพ้องที่รักเสียแล้ว…”