ภาคที่ 5 ตอนที่ 4 เมืองที่กินมังสวิรัติ

กาลหนึ่งเคยมีเขากระบี่วิญญาณ

ตอนที่ 4 เมืองที่กินมังสวิรัติ โดย Ink Stone_Fantasy

          กรณีของสำนักเชี่ยวชาญสรรพสัตว์ที่เขาอวิ๋นไท่นั้นไม่ใช่เรื่องที่เกิดขึ้นนานทีปีหน มีสำนักจำนวนไม่น้อยในพันธมิตรหมื่นเซียน ที่คนส่วนใหญ่ในสำนักมีความคิดขัดแย้งกับมนุษย์ปุถุชน นี่รวมถึงสำนักคุณหลุน สำนักของผู้มีการศึกษาสูงส่งที่วางตัวเหนือกว่ามนุษย์ปุถุชนหรือแม้กระทั่งผู้บำเพ็ญเซียนทั่วไป ในเมื่อมีความคิดเห็นแตงต่าง ความขัดแย้งย่อมเกิดขึ้นอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

          สิ่งที่เกิดขึ้นนั้นไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร หนำซ้ำสำนักในพันธมิตรหมื่นเซียนที่มีมุมมองหรือความเชื่อผิดธรรมดาก็มีไม่น้อย เหล่าคนรักสัตว์อย่างสำนักเชี่ยวชาญสรรพสัตว์ยังถือว่าค่อนข้างเบามือแล้ว อย่างไรเสียผลจากการที่พวกเขามีมุมมองขัดแย้งกับคนทั่วไปก็จำกัดอยู่เพียงการทำร้ายร่างกายผู้คนและทำให้สำนักมังกรขาวและราชสำนักของแคว้นอวิ๋นไท่ขายหน้าเท่านั้น

          หากเป็นสำนักที่มีความคิดสุดโต่งยิ่งยวด ย่อมต้องได้เห็นพวกเขาผูกแก่นลาวา ยันต์ระเบิดและอุปกรณ์อื่นๆ กับศิษย์ระดับล่างๆ และส่งคนเหล่านั้นให้ไปทำภารกิจโจมตีพลีชีพแน่นอน

          สิ่งเดียวที่ดึงความสนใจของหวังลู่คือชื่อเสียงของสำนักเชี่ยวชาญสรรพสัตว์ ในฐานะสำนักระดับสาม แม้จะอยู่ที่ชายขอบล่างสุดในสายตาของสำนักชั้นนำ แต่ก็ถือว่าเป็นสำนักชั้นสูง สำนักมังกรขาวและสำนักเคลื่อนเมฆาที่ก่อตั้งมานับพันปีในอาณาจักรอวิ๋นไท่ยังเป็นเพียงสำนักระดับสี่และจัดเป็นสำนักชั้นกลาง สถานะของพวกเขาถือว่าแตกต่างกันอย่างมาก

          ความแตกต่างด้านสถานะนี้สำคัญต่อหวังลู่ไม่น้อย เพราะหากเขาต้องการจะยกระดับชื่อเสียงของสำนักตัวเองด้วยการเผชิญหน้ากับสำนักชั้นสูง ผลที่ได้ย่อมดีงามกว่าสำนักชั้นกลางอย่างเทียบไม่ติด

          หนำซ้ำตามกฎที่สำนักกำหนดขึ้นใหม่เกี่ยวกับตัวแทนหลักเมื่อหนึ่งปีก่อน นอกจากตำแหน่งตัวแทนหลักแล้ว หากศิษย์ทำสิ่งใดก็ตามที่เป็นการเพิ่มชื่อเสียงให้สำนัก เขาจะได้รับคะแนนตามขนาดของเหตุการณ์และปัจจัยอื่นๆ ทั้งยังได้รับตำแหน่งที่หลากหลายอื่นๆ จากการเอาคะแนนไปแลกที่หอกระบี่นภา

          อย่างไรเสียตำแหน่งตัวแทนหลักก็มีจำกัด ดังนั้นศิษย์ในสำนักจึงไม่รู้สึกกระตือรือร้นกับตำแหน่งนี้แต่อย่างใด ทว่าตำแหน่งอื่นๆ นั้นมีมากมาย และในทางทฤษฎีแล้วทุกคนย่อมสามารถได้ตำแหน่งกันทั้งนั้น

          หนำซ้ำตำแหน่งที่ว่านี้ไม่ได้เป็นเพียงตำแหน่งลอยๆ แต่ยังมีรางวัลมอบให้มากมายอีกด้วย หอกระบี่นภาจะมอบอุปกรณ์ให้เจ้าของตำแหน่งนั้นๆ ตามลักษณะเด่นของตำแหน่ง แล้วหอกระบี่นภาจะมีของเหล่านั้นทั้งหมดหรือ นั่นไม่ใช่ปัญหา อาวุธวิเศษระดับสูงไม่ใช่ของหายากอะไร และแม้แต่อาวุธศักดิ์สิทธิ์ก็อาจสั่งทำขึ้นเองได้

          สำหรับสำนักภูมิปัญญาที่มีกำไรสุทธิถึงหนึ่งร้อยล้านศิลาวิญญาณ อาวุธศักดิ์สิทธิ์ไม่ใช่สิ่งหายากก็จริง แต่ไม่ใช่กับอาวุธศักดิ์สิทธิ์แบบสั่งทำเอง เงินแปดแสนศิลาวิญญาณอาจซื้ออาวุธศักดิ์สิทธิ์ระดับแปดได้ แต่หากหวังลู่ต้องการสิ่งที่เข้ากันได้ดีกับกระบี่แห่งเขาคุน ต่อให้มีแปดล้านศิลาวิญญาณก็ยังไม่พอ ดังนั้นการที่หวังลู่ลงจากเขาในครั้งนี้ถือเป็นเรื่องสำคัญสำหรับเขาที่จะสร้างชื่อเสียงให้สำนักเพื่อที่เขาจะได้ตำแหน่งและอาวุธศักดิ์สิทธิ์ที่สอดประสานกัน

          ส่วนเรื่องระบบคะแนนที่สำนักตั้งขึ้น หากปราบหัวหน้าสาขาของสำนักเชี่ยวชาญสรรพสัตว์ลงได้ เขาจะได้คะแนนมากกว่าคะแนนจากการปราบสำนักมังกรขาวและสำนักเคลื่อนเมฆารวมกันเสียอีก

          แน่นอนว่าด้วยความสามารถของหวังลู่ในตอนนี้ การหาเรื่องหัวหน้าสาขาที่มีตบะขั้นสร้างแกนนั้นย่อมไม่ต่างจากฆ่าตัวตาย หนำซ้ำแม้สำนักเชี่ยวชาญสรรพสัตว์จะไม่ได้มีชื่อเสียงดีงามนัก แต่พวกเขาก็ไม่ได้ชั่วร้าย ดังนั้นจึงไม่สมเหตุสมผลสักนิดหากเขาหลับหูหลับตาเข้าไปหาเรื่องอีกฝ่าย

          หวังลู่ครุ่นคิดอยู่พักหนึ่งและตัดสินใจจะวางเรื่องนี้ลงก่อนจนกว่าเขาจะว่างจากภารกิจอื่น

          ขณะกำลังคิดอยู่ เย่ชูเฉินก็เอ่ยถามอย่างนอบน้อม “ท่านผู้กำกับ เป็นไปได้ไหมว่าการที่ท่านลงเขามาเพื่อนำส่งจดหมายให้ใครบางคนที่เขาอวิ๋นไท่จะเป็นเพราะสำนักกระบี่วิญญาณและสำนักเชี่ยวชาญสรรพสัตว์มีสัมพันธ์ที่ดีต่อกัน”

          หวังลู่ขมวดคิ้ว “ไม่ เราไม่มีสัมพันธ์ที่ดีกับใครทั้งนั้น เราเป็นพวกชอบทำตัวข้ามาคนเดียว”

          “…” เย่ชูเฉินลังเล เขาไม่รู้ว่าควรชมเชยสำนักกระบี่วิญญาณในเรื่องทำตัวสันโดษไม่ยุ่งเกี่ยวกับเรื่องทางโลกดี หรือติดสอยห้อยตามท่านผู้กำกับเพื่อไปหาเรื่องสำนักอื่นดี… สองสิ่งนี้แตกต่างกันเกินจนเขาไม่อาจเข้าใจได้

          หลังจากครุ่นคิดถึงเรื่องนี้ รองเจ้าสำนักก็ตัดสินใจเปลี่ยนเรื่อง “ข้าขอรู้นามผู้รับจดหมายได้หรือไม่ แม้สำนักภูมิปัญญาจะยังไม่ได้มีสาขาในอาณาจักอวิ๋นไท่ แต่เรามักสืบข่าวคราวจากที่นั่นมาตลอด”

          หวังลู่มองจดหมายที่อยู่ในมือพลางพูดขึ้น “ข้าเองก็ไม่เคยเจอคนผู้นี้ อาจารย์พูดถึงเขาเพียงไม่กี่คำ แต่เขาย่อมหัวล้านแน่นอน”

          “นักบวชหรือ” เย่ชูเฉินแปลกใจ “มีนักบวชไม่มากนักในอาณาจักอวิ๋นไท่ ยิ่งบริเวณเขาอวิ๋นไท่ยิ่งมีน้อยเข้าไปใหญ่ เป็นไปได้ไหมว่าคนผู้นั้นจะเป็นผู้บำเพ็ญเซียนอิสระ แต่เรื่องนั้นช่างเถิด หากท่านบอกชื่อทางศาสนาของท่านผู้นั้นมา บางทีข้าอาจรู้จักก็เป็นได้”

          “โกวรั่ว” [1]

          “…” เย่ชูเฉินเหม่อไปครู่หนึ่งจากนั้นก็ถามเสียงแผ่ว “หา?”

          “นักบวชเซนโกวรั่ว เจ้าเคยได้ยินหรือไม่”

          “ข้าน้อยไร้ซึ่งมิตรสหายทั้งยังไร้การศึกษา จึงไม่เคยได้ยินชื่อนี้มาก่อน แต่ข้าน้อยสามารถส่งผู้ติดตามของสำนักภูมิปัญญาให้ไปสอบถามคนของพันธมิตรหมื่นเซียนที่นั่นได้…”

          ก่อนที่เขาจะทันพูดจบ สายตาของหวังลู่ก็เย็นเยียบขึ้นราวกับว่ากำลังมองเจ้าโง่สักคนอยู่ “ครั้งนี้เราจะหยุดกันที่หมู่บ้านบริเวณเขาอวิ๋นไท่ หลังจากนั้นข้าก็จะไม่กวนเจ้าแล้ว เจ้าไม่ต้องไปสืบข่าวอะไรทั้งนั้น”

          ตอนแรกเย่ชูเฉินรู้สึกตกตะลึง จากนั้นเขาก็ก่นด่าตัวเองอยู่ในใจว่าช่างไร้สมอง หวังลู่กำลังจะไปหาเรื่องสำนักระดับสามอย่างสำนักเชี่ยวชาญสรรพสัตว์ แต่ถ้าเย่ชูเฉินเข้าไปมีบทบาทในเรื่องนี้ หากถูกเผยตัว เขาย่อมไม่อาจรับผิดชอบผลที่ตามมาได้แน่

——

          วันถัดมา เรือคลื่นเมฆาก็ลงจอดในดินแดนของอาณาจักรอวิ๋นไท่ ทางทิศใต้ของเขาอวิ๋นไท่ที่เมืองสว่างธรรม

          เมืองสว่างธรรมเป็นเมืองหลวงจังหวัดในอาณาจักรอวิ๋นไท่ มีพื้นที่กว้างใหญ่และมีประชากรนับล้านคน รถม้าที่วิ่งกันขวักไขว่ในเมืองเป็นข้อพิสูจน์ถึงความคึกคักของเมืองได้เป็นอย่างดี หนำซ้ำสิ่งที่ทำให้เย่ชูเฉินประหลาดใจก็คือคลื่นพลังของผู้บำเพ็ญเซียนภายในเมืองที่มีอย่างเต็มเปี่ยม ที่อยู่ของผู้บำเพ็ญเซียนจำนวนไม่น้อยลอยค้างอยู่กลางอากาศ น่าจะมีอย่างน้อยสิบหลังขึ้นไป แม้รูปร่างจะสามัญธรรมดา แต่วัตถุดิบและฝีมือในการสร้างกลับมีความวิจิตบรรจง ทว่าผู้คนในเมืองกลับไม่รู้สึกผิดหูผิดตากับสิ่งเหล่านี้ แสดงว่าพวกเขาเคยชินกับภาพที่เห็นมานานพอควรแล้ว

          และที่นี่เป็นเพียงเมืองหลวงของจังหวัดหนึ่งในอาณาจักรอวิ๋นไท่เท่านั้น หากเป็นที่เมืองหลวงจริงๆ ก็น่าจะคึกคักมีชีวิตชีวากว่านี้มากนัก

          เย่ชูเฉินถอนหายใจ “โธ่เอ๊ย สมกับเป็นแคว้นสายหมอกจริงๆ แค่เมืองหลวงของจังหวัดก็เหนือกว่าเมืองหลวงของประเทศต้าหมิงแล้ว ไม่แปลกเลยที่ผู้คนต่างพูดว่าในอาณาจักรเก้าแคว้น แคว้นธาราครามนั้นต่ำต้อยที่สุด ช่องว่างนั้นห่างกันมากเหลือเกิน”

          หวังลู่กล่าวบ้าง “หากมีช่องว่าง ก็กลบช่องว่างนั้นเสีย จะมัวแต่คร่ำครวญอยู่ทำไม หรือเจ้าจะบอกว่าอยากอพยพมาอยู่ที่นี่”

          เย่ชูเฉินรู้ในทันทีว่าเขากล่าววาจาไม่เข้าหูและแน่นอนว่าเสียคะแนนต่อหน้าผู้บังคับบัญชาไปหลายคะแนน หลังจากสาบแช่งความโง่เง่าของตัวเองแล้ว เย่ชูเฉินก็รีบขอตัว ไม่อยู่รบกวนหวังลู่อีก

          เมื่อเย่ชูเฉินจากไป หวังลู่ก็ร่ายอาคมเพื่อให้เรือคลื่นเมฆาหดขนาดลง และเก็บมันไว้ในย่ามสีเหลืองตุ่น หลังจากพินิจดูความกว้างใหญ่ของเมืองนี้จากภายนอกอย่างจริงจัง เขาก็รู้สึกว่าเมืองนี้มีอะไรแปลกๆ ดังนั้นเขาจึงเอื้อมมือไปแปะศีรษะหลิวหลี “หลิวหลีน้อย เจ้าคิดยังไงกับภาพเบื้องหน้า”

          หลิวหลีย่นจมูกขณะที่ดวงตากระจ่างใสจับจ้องไปที่เมืองที่อยู่ด้านหน้า

          หลิวหลีอาจไม่ฉลาดและมีสมองว่องไวเหมือนคนอื่นๆ แต่เพราะความใสซื่อและไม่ซับซ้อนของนาง ทำให้นางมีสายตาที่แหลมคมต่อธรรมชาติของสรรพสิ่ง เมื่อห้าปีก่อนบนลานประลอง หลิวหลีรับรู้ได้ถึงคำสาบานกับปีศาจในใจของหวังลู่รวมถึงการที่เขาบรรลุตบะขั้นสร้างฐานได้รวดเร็วกว่าเหล่าผู้อาวุโส เช่นนั้นแล้วจึงถือว่าสายตาของนางย่อมไม่ธรรมดา

          “ดูป่วยๆ” อึดใจถัดมา หลิวหลีก็สรุปด้วยถ้อยคำง่ายๆ และน้ำเสียงราบเรียบ จากนั้นก็หยิบเอาเนื้อตากแห้งมาเคี้ยว

          “ป่วย?” หวังลู่ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง หลังจากเดาเหตุผลได้คร่าวๆ เขาก็พูดขึ้น “เอาละ เข้าไปในเมืองกันก่อนดีกว่า ในเมืองที่คึกคักแบบนี้ ย่อมต้องมีอาหารท้องถิ่นอย่างแน่นอน”

          หลิวหลีร้องขึ้นมาอย่างร่าเริง “ฮูเร!”

          เจ้าสุนัขล่ายด่างก็เริ่มเห่าออกมาด้วยใบหน้าเปี่ยมสุขเช่นกัน

——

          หนึ่งคนกับสองสัตว์เลี้ยงเดินเข้าเมืองไปด้วยกันโดยไม่เผยตัวว่าเป็นผู้บำเพ็ญเซียน พวกเขาเข้าไปในเมืองในฐานะนักท่องเที่ยวต่างแดนซึ่งมีให้เห็นอยู่ทุกที่ในเมืองนี้ จากนั้นก็เริ่มเตร็ดเตร่ไปทั่วอย่างสนอกสนใจ

          หวังลู่ซื้อขนมให้หลิวหลีและเจ้าสุนัขหน้าโง่กินตลอดทาง ต่อมรับรสของคนในแคว้นสายหมอกนั้นแตกต่างจากคนของแคว้นธาราครามไม่น้อย และอาหารของเมืองนี้ก็มีความเป็นท้องถิ่นของมันเอง ทว่าหลังจากเดินมาหลายช่วงถนน หวังลู่ก็พบรูปแบบที่ไม่คาดคิดบางอย่างนั่นคือมีเนื้อหมูอยู่น้อยมากในเมืองนี้

          หวังลู่สั่งไส้กรอกหลากชนิดและเนื้อหมูรสควันหลายชิ้นที่ร้านเนื้อตระกูลเลิ่งฉิน เขาถามขึ้นขณะกำลังจ่ายเงิน “เถ้าแก่ ท่านมีเนื้อสุนัขทอดไหม”

          ทันทีที่ถามจบ สีหน้าแข็งกระด้างราวกับเหล็กของเถ้าแก่ร้านเนื้อตระกูลเลิ่งฉินก็เปลี่ยนไปทันที ในใจเขาแทบอยากจะโยนหวังลู่ออกไปนอกร้านไปเสียเดี๋ยวนั้น แต่ตอนนั้นหวังลู่รับไส้กรอกไปแล้วและกำลังควานหาเงินอยู่ ดังนั้นจึงสายเกินไปที่เขาจะยกเลิกการซื้อขาย เพราะหวังลู่ก็อาจเบี้ยวไม่จ่ายเงินได้

          ด้วยเหตุนี้เถ้าแก่จึงก้าวยาวๆ ไปด้านหน้าสองสามก้าว ปิดประตูลงและโวยวายขึ้นมาอย่างโกรธเกรี้ยว “เจ้าคิดว่าตัวเองกำลังทำอะไรอยู่ หากคิดจะก่อเรื่อง ก็อย่าดึงข้าไปเกี่ยวด้วย! ข้าคิดว่าในเมื่อเจ้ามาที่นี่พร้อมสุนัข เจ้าคงจะ… คิดไม่ถึงว่าเจ้าจะหน้าหนาเช่นนี้!”

          หวังลู่รู้สึกแปลกใจ “มีอะไรหรือเถ้าแก่ ท่านจะตำหนิข้าที่ซื้อของพวกนี้หรือ ดี ถ้างั้นข้าไม่เอาไส้กรอกพวกนี้ก็ได้ ข้าลาละ”

          เถ้าแก่รีบคว้าหลังของอีกฝ่ายไว้ “นี่เจ้าไม่รู้หรือว่าอะไรควรไม่ควร!? ข้าจะบอกให้นะ เจ้าจะไปพูดแบบนั้นที่ไหนก็ได้ แต่ไม่ใช่ที่เมืองสว่างธรรมนี่ อย่าได้เอ่ยถึงเนื้อสุนัขที่นี่จะดีกว่า” เถ้าแก่นิ่งไปครู่หนึ่งจากนั้นก็พูดต่อด้วยสีหน้าหงุดหงิด “ไม่ใช่แค่เนื้อสุนัข… ยิ่งเจ้ากินเนื้อให้น้อยที่สุดก็ยิ่งดี ข้าเกรงว่าในอีกไม่กี่ปีนี้ ทุกคนในเมืองสว่างธรรมจะกลายเป็นมังสวิรัติกันไปหมด”

          หวังลู่ถามกลับ “นี่มันอะไรกัน ข้าได้ยินว่าเมืองสว่างธรรมโด่งดังเรื่องอาหารท้องถิ่น แล้วจะกลายเป็นมังสวิรัติไปได้ยังไง”

          เถ้าแก่ร้านเนื้อมองลอดช่องว่างระหว่างประตูออกไป หลังจากแน่ใจว่าไม่มีใครอยู่แถวนั้น เขาก็นั่งลงและบ่นต่อ “คนภายนอกอย่างเจ้าจะรู้อะไร เป็นเพราะกลุ่มผู้บำเพ็ญเซียนเหล่านั้นน่ะสิ เมื่อหนึ่งปีก่อน กลุ่มผู้บำเพ็ญเซียนที่เรียกตัวเองว่าเป็นสมาชิกของสำนักเชี่ยวชาญสรรพสัตว์จากทางเหนือของเขาอวิ๋นไท่มายังเมืองสว่างธรรมแห่งนี้ และประกาศไปทั่วว่าเนื้อ ‘ชนิดนี้’ ห้ามบริโภค และเนื้อ ‘ชนิดนั้น’ ห้ามกิน กฎของพวกเขาเข้มงวดยิ่งกว่ากฎหมายบ้านเมืองอีก แม้พวกเขาจะเล่นงานเราซึ่งๆ หน้าไม่ได้ แต่พวกเขาเล่นงานลับหลังได้ ซึ่งเป็นเรื่องที่เหลืออดจริงๆ”

          หวังลู่อึ้งไป “สำนักเชี่ยวชาญสรรพสัตว์? แต่พวกเขาเลี้ยงสัตว์ภูตนี่นา อย่าบอกนะว่าคนพวกนั้นเลี้ยงสัตว์ภูตด้วยหมั่นโถวไม่ก็ขนมปัง สัตว์ภูตที่ดุร้ายของพวกเขาแตกต่างจากสัตว์ทั่วไปก็เลยไม่กินเนื้อยังงั้นหรือ”

          “หึ ใครว่าพวกมันไม่กินเล่า แต่เคราะห์ร้ายที่คนธรรมดาอย่างเราไม่อาจเทียบกับสัตว์ภูตที่พวกเขาเลี้ยงได้…” เถ้าแก่รู้สึกว่าตัวเองไร้ค่าเล็กน้อย “เมื่อสองปีก่อน ร้านของข้าถือว่าธุรกิจดีที่สุด แต่ตอนนี้ก็อย่างที่เจ้าเห็น จะมีสักกี่คนที่แวะเข้ามากัน”

          หวังลู่พยักหน้า “ขอบคุณมากที่เตือนข้าเถ้าแก่ แต่เรื่องพวกนั้นความจริงก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไรนี่นา”

          เถ้าแก่กล่าว “ใช่ พวกเขาไม่ได้ห้ามเนื้อทุกชนิด หนำซ้ำไม่ได้กินเนื้อก็ใช่ว่าทุกคนจะตาย ดังนั้นผู้คนจึงทำได้เพียงแค่บ่นแต่ก็ต้องใช้ชีวิตต่อไป เคราะห์ร้ายที่ทักษะชั่วชีวิตของข้าก็มีอยู่เท่านี้ จากนี้ไปข้าก็ไม่รู้จะหาเลี้ยงชีพยังไงแล้ว”

          “ก็แค่เริ่มใหม่อีกครั้ง” หวังลู่ได้ข้อมูลมาพอสมควร เขาจึงจบการสนทนากับเถ้าแก่และเดินตรงออกนอกประตูไป

          อิทธิพลของสำนักเชี่ยวชาญสรรพสัตว์ในเมืองสว่างธรรมยังมีอยู่อย่างจำกัด ไม่เช่นนั้นการที่เถ้าแก่วิจารณ์สำนักเช่นนี้เขาย่อมได้รับโทษตายแน่

          หากเป็นเช่นนี้ ตราบใดที่เขาไม่เป็นคนก่อเรื่องก่อนก็ไม่น่าจะมีปัญหาอะไร

          ว่ากันตามทฤษฎีน่ะนะ…

………………………………………

[1] โกวรั่ว หมายถึง สมรู้ร่วมคิด / ดึงดูด / ปลุกใจ แต่คำว่าโกวนั้นพ้องเสียงกับคำว่า โกวที่แปลว่าสุนัข และคำว่ารั่วก็พ้องเสียงกับคำว่ารั่วที่แปลว่าเนื้อ ดังนั้นชื่อนี้จึงแปลว่าเนื้อสุนัขได้เช่นกัน