บทที่ 890 ล้อมรอบ

หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler

หนึ่งในใต้หล้า 大主宰

บทที่ 890 ล้อมรอบ

เศษเสี้ยวจิตวิญญาณของจักรพรรดิเทียนเจิ้นหายไปจากโลก

แสงสลัวรางบนท้องฟ้าก็ดูเหมือนจะทะลุผ่านมิติ ค่อยๆ ส่องสว่างมิติสีแดงฉานนี้

จินไถหลิวหลีมองจักรพรรดิเทียนเจิ้นที่กลายเป็นหินด้วยดวงตาแดงก่ำ ก่อนที่จะถอนหายใจด้วยความเจ็บปวด นางหันไปมองมู่เฉินพูดเบาๆ ว่า “เราไปกันเถอะ”

มู่เฉินพยักหน้า แม้ว่าเขาจะไม่ได้รับมรดกของจักรพรรดิเทียนเจิ้นในการเดินทางมายังซากอารยธรรมความตายครั้งนี้ แต่เขาก็ได้รับวิชาการฝึกจิตที่ทิ้งไว้โดยจอมยุทธ์ที่น่าสะพรึงกลัว—ราชันสงครามจิ่วเจี๋ย ซึ่งทำให้เขาพึงพอใจมากยิ่งเช่นกัน ไม่ว่าจะอย่างไรสุดท้ายเขาก็รู้วิธีการเป็นจั้นเจิ้นซือแท้จริงแล้ว

ดังนั้นเขาจึงพอใจกับการเก็บเกี่ยวนี้

จินไถหลิวหลีหมุนตัวกำลังจะจากไป ทว่าทันใดนั้นร่างก็แข็งทื่อคิ้วมุ่นเข้าหากันเล็กน้อย นางกำมือเบาๆ เปลือกหอยชิ้นหนึ่งก็ปรากฏขึ้น นางแนบไว้ข้างหูฟัง ก่อนที่ใบหน้าจะเปลี่ยนไปรุนแรง

“เกิดอะไรขึ้น?” เมื่อมู่เฉินเห็นการเปลี่ยนแปลงสีหน้าของนาง ก็อดถามไม่ได้

“ในช่วงเวลาที่เราเข้ามาที่นี่กองทัพที่ถูกทิ้งไว้โดยอาจารย์ข้าก็ค่อยๆ พังทลายลง ทุกกองทัพกำลังแย่งชิงไอหยุ่นลั้วกันน่าดู ส่วนหมู่ตึกเทวะกับตำหนักสุดนภากำลังร่วมมือกันจัดการอาณาเขตกงเวทสวรรค์” จินไถหลิวหลีกล่าวอย่างช้าๆ

“อะไรนะ?”

เมื่อได้ยินคำพูดของนาง ใบหน้าของมู่เฉินก็เปลี่ยนไปทันที จิตสังหารพลุ่งพล่านในดวงตา ไอ้บ้าพวกนั้นฉกฉวยโอกาสได้ดีจริงๆ เนื่องจากหน่วยรบทั้งห้าของอาณาเขตกงเวทสวรรค์ถูกเขานำเข้าสู่ค่ายกลศึกและอาจจะยังติดอยู่ที่นั่น เมื่อไม่มีหน่วยรบ จอมยุทธ์ฝั่งอาณาเขตกงเวทสวรรค์ก็จะอ่อนแอลงมาก แม้ว่าจะมีเหล่าผู้บัญชาการแต่ก็ยากในการจัดการกับจอมยุทธ์ชั้นสูงของหมู่ตึกเทวะและตำหนักสุดนภาที่ร่วมมือกัน

“แม่นางจินไถถึงเราจะร่วมมือกันที่นี่ แต่ถ้าออกไปเมื่อไรเราก็จะเป็นศัตรูกัน ถึงเวลานั้นอย่าโทษข้าเลยนะ” ดวงตาคมปลาบของมู่เฉินจับจ้องไปที่จินไถหลิวหลีพลางพูดด้วยเสียงอันหนักแน่น

เมื่อจินไถหลิวหลีบัญชากองทัพผลึกฟ้า พลังก็จะอยู่ในระดับที่แม้แต่มู่เฉินยังหวาดกลัว ถ้าพวกเขาต้องสู้กันในเวลานั้น คงไม่มีการยั้งมือใดๆ

แม้ว่ามู่เฉินจะไม่อยากต่อสู้กับจินไถหลิวหลี แต่ก็ไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้เนื่องจากพวกเขามาจากคนละสำนักกัน

จินไถหลิวหลีมองมู่เฉินจากนั้นดวงตาก็หลุบลง “ข้าไม่ได้สำนึกอะไรกับหมู่ตึกเทวะหรอก หากไม่ใช่เพราะข้าไม่มีทางเลือก ข้าก็ไม่อยากช่วยพวกมันด้วยซ้ำ”

มู่เฉินอึ้งไปขณะมองจินไถหลิวหลีด้วยความตะลึงงัน เขาไม่คิดว่านางจะไม่มีความรู้สึกอยากปกป้องหมู่ตึกเทวะเลย

“ในอดีตตระกูลของข้าเป็นกองทัพธรรมดาที่อยู่รอบนอกเขตแดนของหมู่ตึกเทวะ แต่ด้วยพรสวรรค์ของข้าเกี่ยวกับรัศมีจั้นยี่รั่วไหลออกไป ทำให้หมู่ตึกเทวะพยายามติดต่อให้ข้าเข้าร่วมกับพวกมัน แต่ข้าไม่สนใจที่จะอยู่ใต้อาณัติของหมู่ตึกเทวะ ดังนั้นข้าจึงออกปากปฏิเสธ ทว่าครึ่งเดือนจากนั้นก็มีกลุ่มคนลึกลับล่าสังหารครอบครัวของข้า ทำให้มีคนบาดเจ็บล้มตายจำนวนมาก จนสุดท้ายพวกข้าได้รับการช่วยเหลือจากหมู่ตึกเทวะ” จินไถหลิวหลีพูดเสียงเฉยเมย แต่ในน้ำเสียงของนางอัดแน่นด้วยความหนาวสะท้านจิต นอกจากนี้ขณะที่นางพูดถึงหมู่ตึกเทวะที่เข้าช่วยเหลือ ก็ไม่มีความกตัญญูแฝงอยู่เลย ตรงกันข้ามเสียงของนางเย็นยิ่งกว่าอะไร

มู่เฉินขมวดคิ้ว จากนั้นก็พูดว่า “กลุ่มคนลึกลับมาจากหมู่ตึกเทวะสินะ?”

“ฮ่าๆ พวกมันคิดว่าแผนไร้ที่ติ แต่ไม่มีความลับใดซ่อนอยู่ในโลกได้หรอก”

จินไถหลิวหลีเค้นเสียงเย็นชา “หลังจากนั้นหมู่ตึกเทวะก็นำคนของข้ากลับไปที่สำนัก พวกมันทำเหมือนปกป้องแต่จริงๆ แล้วเป็นการเฝ้าระวัง พวกมันบังคับให้ข้าต้องนำทัพ มิหนำซ้ำน้องสาวของข้าก็ได้รับบาดเจ็บสาหัสจากหายนะครั้งนั้นทำให้นางตกอยู่ในสภาพหมดสติ มีเพียงต้นเก้าวิญญาณเต็มสวรรค์สมุนไพรแห่งหมู่ตึกเทวะเท่านั้นที่สามารถช่วยชีวิตนางได้ แต่พวกมันไม่ยอมให้ข้าสักที ชัดว่าพวกมันตั้งใจจะควบคุมข้าในระยะยาว”

พูดถึงประโยคสุดท้ายจินไถหลิวหลีก็กำมือแน่น หยดเลือดสีแดงไหลจากปลายนิ้วมือ ใบหน้าของนางเต็มไปด้วยความเกลียดชังที่ไม่สามารถอดกลั้นไว้ได้

มู่เฉินตกอยู่ในความเงียบ เนื่องจากเขาไม่คิดว่าจินไถหลิวหลีจะแบกรับเรื่องราวมากมายไว้ คิดว่าแม้นางจะดูเหมือนมีสถานะดีเยี่ยมในหมู่ตึกเทวะ แต่นางก็ไม่ได้รับความไว้วางใจเต็มร้อย

“ขอโทษ” มู่เฉินถอนหายใจ

จินไถหลิวหลีส่ายหน้าพลางระงับอารมณ์ในหัวใจ “แต่ถ้าข้าเป็นจั้นเจิ้นซือได้ในอนาคต หมู่ตึกเทวะก็จะให้ความสำคัญกับข้าอย่างแท้จริง เมื่อถึงเวลานั้นข้าเชื่อว่าพวกมันจะไม่กล้าลากเรื่องนี้อีกต่อไป”

“แม้ว่าข้าจะไม่รู้สึกผูกพันกับหมู่ตึกเทวะ แต่ก็เป็นสถานที่ที่ดีที่มีทรัพยากรมากมายป้อนข้า นอกจากนี้ทรัพยากรก็เป็นตัวช่วยที่ดีในการบรรลุจั้นเจิ้นซือ ดังนั้นข้าไม่ถือที่จะยืนหยัดอดทนรอจนกว่าตนเองจะแข็งแกร่งพอที่จะทำลายหมู่ตึกเทวะได้!”

ใบหน้าของจินไถหลิวหลีเคลือบด้วยไอเย็นเยือก ทำให้แม้แต่มู่เฉินก็ยังรู้สึกตื่นตะลึงในใจ เขาแอบเดาะลิ้น ตราบใดที่ผู้หญิงโหดเหี้ยมขึ้นมา ก็น่ากลัวกว่าผู้ชายเสมอ หมู่ตึกเทวะคิดไม่ได้แน่ว่าสิ่งที่อยู่ภายใต้การเลี้ยงดูด้วยทรัพยากรมหาศาลของพวกเขา จะเป็นอสรพิษรอวันแว้งกัด…

มู่เฉินครุ่นคิดสั้นๆ แล้วพูดว่า “งั้นเดี๋ยวเจ้าก็ระวังให้ดี”

“ข้าไม่คิดจะสู้กับเจ้า เพราะข้ารู้สึกได้ว่าต่อให้มีกองทัพผลึกฟ้าในมือ ข้าก็ยังต้องจ่ายราคามหาศาลหากเราต่อสู้กัน ข้าไม่โง่ที่จะทำเช่นนั้นหรอก” จินไถหลิวหลียิ้มบาง

มู่เฉินอึ้งไป ในการสู้กันระหว่างสองฝ่าย จินไถหลิวหลีถือเป็นกำลังน่าเกรงขามของหมู่ตึกเทวะแน่นอน พวกฟังยี่จะยอมให้นางยืนดูอยู่ข้างๆหรือ?

“ถ้าข้าสบายดี พวกมันก็ต้องให้ข้าเข้าร่วมแน่นอน แต่ถ้าข้ารับบาดเจ็บจนไม่อาจควบคุมกองทัพได้ล่ะ?” จินไถหลิวหลียิ้มเจ้าเล่ห์ราวกับนางจิ้งจอก จากนั้นก็ยื่นมือออกมาตบลงบนหน้าอกของตัวเอง

อั้ก!

เลือดพ่นออกจากริมฝีปากสีกุหลาบ ใบหน้าจินไถหลิวหลีก็ซีดลงหลายส่วน มู่เฉินตกใจรีบพุ่งเข้าไปทันที แต่ถูกนางโบกมือหยุดเอาไว้

“ไม่เป็นไร ต้องทำให้สมจริงไว้ก่อน” จินไถหลิวหลียิ้ม จากนั้นนางก็ยีผมให้ยุ่งเหยิงทำให้ดูน่าสมเพชนัก

“เดี๋ยวข้าออกไปจะอ้างว่าได้รับบาดเจ็บหนักจากฝีมือเจ้า เนื่องจากข้าไม่ได้พากองทัพผลึกฟ้าติดตามไปด้วย ด้วยพลังที่มีข้าก็ไม่สามารถเผชิญหน้ากับเจ้าได้จริง ดังนั้นคิดว่าพวกมันคงไม่สงสัยอะไรกันหรอก”

มู่เฉินอึ้งไปขณะมองไปที่จินไถหลิวหลี จากนั้นเขาก็หายใจเข้าลึก ไม่พูดอะไรพลางพยักหน้าเบาๆ “ขอบใจมาก ถ้ามีโอกาสในอนาคตข้าจะตอบแทนแน่”

มู่เฉินรู้ว่าจินไถหลิวหลีมอบความช่วยเหลือครั้งใหญ่ให้แก่ตน ถ้านางเข้าร่วมการต่อสู้ แม้ว่านางจะไม่สามารถเอาชนะเขาได้ แต่นางก็ขัดขวางเขาไว้ได้อย่างแน่นอน เมื่อถึงเวลานั้นเหล่าผู้บัญชาการจะต้องเผชิญหน้ากับสองกองทัพใหญ่ ซึ่งอ่อนแอกว่าเมื่อเปรียบเทียบกัน ทำให้พวกเขาต้องจ่ายราคาหนักหนามากสำหรับศึกนี้

“ข้าก็ช่วยได้ไม่เยอะ แม้ว่าข้าจะไม่ลงมือ แต่ก็ไม่ง่ายสำหรับอาณาเขตกงเวทสวรรค์ที่จะรับศึกสองด้านจากหมู่ตึกเทวะและตำหนักสุดนภา ดังนั้นหลังจากออกไปจากที่นี่ สถานการณ์ของพวกเจ้าก็ไม่ได้ดีเท่าไรหรอก” จินไถหลิวหลีกล่าว

มู่เฉินพยักหน้าสายตาคมปลาบ “วางใจเถอะ พวกฟังยี่ยังไม่สามารถกลืนกินพรรคพวกข้าจากอาณาเขตกงเวทสวรรค์ได้หรอก”

จินไถหลิวหลีเม้มปากยิ้ม รอยเปื้อนเลือดที่มุมปากทำให้นางดูน่าดึงดูดอย่างยิ่ง แต่นางก็ไม่พูดอะไรต่อ เพียงแค่โบกมือให้มู่เฉิน

“งั้นก็เตรียมออกไปกันเถอะ”

เมื่อจบคำพูด ร่างนางก็กลายเป็นลำแสงทะยานออกไป ที่ด้านหลังมู่เฉินรออยู่ครู่หนึ่งก็พุ่งตามนางไปด้วยความเร็วสูงสุด ไล่ล่านางอย่างโหดเหี้ยม

พวกเขาทั้งสองมาถึงปากทางเข้าอย่างรวดเร็ว บริเวณนั้นมิติบิดเบี้ยวแล้ว จากนั้นร่างทั้งสองก็พุ่งตัวออกไปราวกับสายฟ้า

เมื่อพวกเขาออกมามิติก็กลับสู่ความสงบ ในอนาคตจะไม่มีใครสามารถเข้ามาที่นี่ได้อีกต่อไป สถานที่แห่งนี้จะถูกทำลายไปตามกาลเวลา

ฟิ้ว!

เมื่อจินไถหลิวหลีและมู่เฉินพุ่งออกจากมิติ เสียงตะโกนบ้าคลั่งก็ดังก้องจากทุกสารทิศ ขณะที่รัศมีจั้นยี่ป่าเถื่อนพวยพุ่งไปทั่วบริเวณ

ทั้งสองปรากฏตัวขึ้นในค่ายกลจตุเทวะ แต่ตอนนี้ค่ายกลก็ใกล้จะถูกทำลายเนื่องจากวิญญาณสงครามทั้งสี่หายไปนานแล้ว

เมื่อเผยตัวออกมา มู่เฉินก็เห็นห้าหน่วยรบของอาณาเขตกงเวทสวรรค์ที่ถูกขังไว้ในค่ายกลเต่าดำ เนื่องจากไม่มีการสั่งการของมู่เฉิน พวกเขาจึงไม่สามารถสร้างวิญญาณสงครามและทำลายกระทั่งค่ายกลที่กำลังจะพังทลายเพื่อออกไปได้

ตรงกันข้ามยามนี้ค่ายกลมังกรครามและวิหคเพลิงว่างเปล่า เซียวเทียนและจอมยุทธ์ทั้งสามหายไปแล้ว ชัดว่าพวกเขาทำลายค่ายกลและออกไปจากที่นี่เรียบร้อย

“เซียวเทียนก็ออกไปแล้วด้วย”

เมื่อเห็นภาพนี้ สายตามู่เฉินก็อดไม่ได้ที่จะหดลง

ภายนอกค่ายกล มู่เฉินเห็นการระเบิดรุนแรงของคลื่นหลิง ลำแสงจำนวนมากฉีกออกจากขอบฟ้า ปะทะกันเปรี้ยงปร้าง ทำให้ฟ้าดินถึงกับสั่นสะเทือนเลื่อนลั่นจากการต่อสู้ที่น่ากลัว

มู่เฉินเหมือนจะเห็นคนกลุ่มหนึ่งถูกล้อมรอบไปด้วยการต่อสู้ที่วุ่นวาย ซึ่งก็คือเหล่าจอมยุทธ์ของอาณาเขตกงเวทสวรรค์!

เมื่อเห็นภาพนี้แววตาของมู่เฉินก็ดิ่งลง

จินไถหลิวหลีที่อยู่เบื้องหน้าก็เห็นสถานการณ์นี้เช่นกัน ทันใดนั้นนางก็ส่งสายตาให้มู่เฉิน จากนั้นก็พุ่งหนีเข้าไปยังทิศทางของกองทัพผลึกฟ้าอย่างรวดเร็ว ในเวลาเดียวกันเสียงแหลมซึ่งเต็มไปด้วยความเกลียดชังก็ดังก้องระหว่างฟ้าดิน

“มู่เฉิน ข้าไม่ปล่อยเจ้าแน่นอน!”

เสียงแหลมดังขึ้นอัดแน่นด้วยความเกลียดชัง ทำให้การต่อสู้วุ่นวายที่อยู่ไกลออกไปชะงักลง สายตาจำนวนมากกวาดเข้ามาก่อนที่จะพุ่งความสนใจไปที่มู่เฉินตามด้วยเสียงอุทานตกใจ

“มู่เฉินออกมาแล้วจริงเรอะ?!”

“เขายังทำให้จินไถหลิวหลีจากหมู่ตึกเทวะบาดเจ็บด้วย!”

“…”

มู่เฉินฟังเสียงอื้ออึงที่ดังก้อง ใบหน้ากลับเย็นชาลงหลายส่วน ร่างขยับวูบไหวไปปรากฏตัวด้านในค่ายกลเต่าดำ โดยหน่วยรบทั้งห้ากำลังเฝ้ามองเหตุการณ์ที่ผู้บัญชาการถูกล้อมรอบแบบร้อนใจ

“ผู้บัญชาการมู่!”

เมื่อพวกเขาเห็นการมาถึงของมู่เฉินก็ดีใจราวกับว่าพบเสาหลักของตน

มู่เฉินพยักหน้าด้วยสีหน้าเย็นเยือก จากนั้นเขาก็ยกมือขึ้น น้ำเสียงเย็นเยือกอัดแน่นด้วยจิตสังหารสะท้อนออกมา

“เร้ารัศมีจั้นยี่ออกไปสังหารพร้อมข้า!”