หนึ่งในใต้หล้า 大主宰
บทที่ 891 ยมทูตโลหิตสังหารหวนคืน
ครืน**!!!**
ในดินแดนมืดมิดนี้ เกิดความเปลี่ยนแปลงใหญ่หลวงเมื่อเทียบกับก่อนหน้า กองทัพนักรบผีดิบที่ขัดขวางการเข้ามาของกองทัพต่างๆ สลายหายไปพร้อมกับการทำลายล้างของวิญญาณชั่วร้ายในร่างจักพรรดิเทียนเจิ้น
เมื่อนักรบผีดิบสลายไป ไอหยุ่นลั้วในร่างกายก็ถูกปลดปล่อยออกมากระจายทั่วฟ้าดิน
เมื่อกองทัพต่างๆ เห็นฉากนี้ ดวงตาแต่ละคนก็เปลี่ยนเป็นสีแดงก่ำทันที แววตาอัดแน่นไปด้วยความหิวกระหาย เพราะเหตุผลสำคัญที่พวกเขาเข้ามาในซากอารยธรรมความตายก็เพื่อกลั่นเม็ดยาหยุ่นลั้ว
ซากอารยธรรมความตายนี้อยู่ในระดับหนึ่ง ปริมาณไอหยุ่นลั้วที่อยู่ภายในสามารถกลั่นจนได้เม็ดยาหลายแสนเม็ด ซึ่งเป็นจำนวนที่น่าตกใจมากเลยทีเดียว
ปริมาณเม็ดยาหยุ่นลั้วเหล่านี้เพียงพอที่จะทำลายผนึกขุมทรัพย์ตี้จื้อจุนเลยทีเดียว ตราบใดที่พวกเขาคว้าเอามาได้ กองทัพของพวกเขาก็ไม่ต้องกังวลว่าจะไม่สามารถทำลายผนึกหลังจากที่พบขุมทรัพย์นั่น
ดังนั้นแม้แต่กองทัพชั้นนำของภูมิภาคทางเหนืออย่างอาณาเขตกงเวทสวรรค์ หมู่ตึกเทวะ และตำหนักสุดนภาก็ยังถูกล่อลวงด้วยปริมาณเม็ดยาเหล่านี้
ความจริงก็เป็นไปตามที่คาดไว้ เมื่อกองทัพผีดิบกลายเป็นไอหยุ่นลั้วกระจายไปทั่วฟ้าดิน กองทัพชั้นสูงก็ลงมือโดยไม่ลังเล แต่ละฝ่ายเริ่มแย่งชิงไอหยุ่นลั้วกันอย่างบ้าคลั่ง
การกระทำของพวกเขา ทำให้กองทัพต่างๆ ก็ไม่เต็มใจจะรั้งท้าย แต่ละคนเคลื่อนไหวอย่างบ้าคลั่งเช่นกัน
ดังนั้นต่อหน้าไอหยุ่นลั้วมหาศาล พันธมิตรชั่วคราวที่ก่อตั้งขึ้นก่อนหน้าก็สลายเป็นควัน
แม้ว่าไอหยุ่นลั้วจะเข้มข้นมากแต่ก็ลดลงอย่างรวดเร็ว ภายใต้การแย่งชิงของสามขั้วอำนาจสูงสุดและกองทัพอื่นๆ หลังจากนั้นการต่อสู้ก็ระเบิดขึ้นอย่างสมบูรณ์
จากนั้นกองทัพต่างๆ ก็หันหากันเพื่อฉกฉวยไอหยุ่นลั้ว แม้ว่าสามขั้วอำนาจสูงสุดจะเริ่มจากการกำจัดกองทัพที่อ่อนแอก่อน แต่ก็เป็นไปไม่ได้ที่เสือร้ายสามตัวจะอยู่ในถ้ำเดียวกัน
ดังนั้นไม่นานเสือร้ายทั้งสามก็เริ่มปะทะกัน แต่สิ่งที่ทำให้คนอื่นตกใจก็คือเสือสองตัวดันร่วมมือกันเพื่อกำจัดเสืออีกตัวให้สิ้นซาก
แล้วเสือที่ถูกรุมก็คืออาณาเขตกงเวทสวรรค์
นั่นเพราะเมื่อเปรียบเทียบระหว่างสามขั้วอำนาจสูงสุด ตอนนี้พวกเขาอ่อนแอลงอย่างไม่ต้องสงสัย เนื่องจากพลกำลังทั้งหมดถูกมู่เฉินนำไป ยิ่งเมื่อมู่เฉินหายตัวไปก็เป็นไปไม่ได้ที่นักรบจะทำลายค่ายกลด้วยพลังที่ตนเองมี ดังนั้นยามนี้อาณาเขตกงเวทสวรรค์จึงอ่อนแอลงไปหลายส่วน
แต่ถึงแม้ว่าจะไม่มีหน่วยรบทั้งห้า แต่เสือร้ายก็ไม่ทิ้งลาย ผู้บัญชาการทั้งหกเป็นจอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นหกที่แท้จริง พวกเขาประสานพลังทำให้สถานการณ์มีเสถียรภาพอย่างรวดเร็ว แม้ว่าจะถูกล้อมรอบด้วยกองทัพใหญ่ทั้งสอง แต่ก็ไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะจัดการจอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นหกหกคน
ครืน!
คลื่นหลิงรุนแรงทำให้ฟ้าดินสั่นสะเทือนเลื่อนลั่นในดินแดนที่มืดมิดนี้ ขณะที่คลื่นหลิงที่น่าสะพรึงกลัวกวาดหายนะไปทั่ว ทำให้เกิดรอยแตกขนาดใหญ่บนพื้นดิน
ปัง! ปัง!
บนท้องฟ้า ริ้วแสงปะทะกันปลดปล่อยการโจมตีที่น่ากลัว ทุกการปะทะทำให้มิติบิดเบือน
ทว่าพื้นที่ส่วนนี้ถูกควบคุมอย่างชัดเจนโดยหมู่ตึกเทวะและตำหนักสุดนภา ทั้งสองล้อมกรอบผู้บัญชาการอาณาเขตกงเวทสวรรค์เอาไว้
“ฟิ้ว!”
บนท้องฟ้า จิ่วโยวสาดสีหน้าเย็นชา กระบี่ยาวขนสีนกดำในมือลุกโชนด้วยเพลิงสีม่วง เจาะทะลุมิติอัดแม่ทัพฟ้าคนหนึ่งของตำหนักสุดนภากระเด็นถอยไป
ตู้ม!
ขณะที่บีบให้แม่ทัพฟ้าที่เป็นจอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นหกของตำหนักสุดนภาถอยไป คลื่นหลิงน่ากลัวก็พัดวาบมาจากเบื้องหลังของนาง เจ้าภูเขาเอ่อแห่งหมู่ตึกเทวะปรากฏในพริบตาและซัดกำปั้นเหล็กออกมา คลื่นหลิงแปรเปลี่ยนเป็นจระเข้สวรรค์ตัวใหญ่พุ่งเข้าหาจิ่วโยวอย่างดุร้าย
ใบหน้าของจิ่วโยวเย็นชาลงหลายส่วนขณะที่วาดตราประทับ คลื่นหลิงไร้ขอบเขตระเบิดออกจากร่างถักทอเป็นวิหคอนธโลกันตร์ขนาดใหญ่เมื่อปีกกระพือ ลมใบมีดก็ผ่าท้องฟ้าลงมาปะทะกับจระเข้สวรรค์
ปัง!
คลื่นหลิงรุนแรงระเบิดออก ทำให้เกิดรอยร้าวบนมิติ ร่างทั้งคู่ถลากลับไปก่อนที่จะเร้าคลื่นหลิงของตัวเองเพื่อทรงตัวไว้ ใบหน้าแต่ละดวงค่อนข้างเคร่งเครียด
“ฮ่าๆ จิ่วโยว พวกแกหยุดต่อต้านได้แล้ว ประจันหน้ากับหมู่ตึกเทวะและตำหนักสุดนภาแบบนี้ พวกแกแพ้แน่ ถ้ายอมมอบเม็ดยาหยุ่นลั้วมาซะดีๆ พวกข้าอาจจะปล่อยให้พวกแกไปก็ได้!” เจ้าภูเขาเอ่อจ้องจิ่วโยวขณะที่หัวเราะสาแก่ใจ
ขณะที่เจ้าภูเขาเอ่อกำลังหัวเราะ แม่ทัพฟ้าที่กระเด็นออกไปโดยจิ่วโยวก็พุ่งเข้ามา ล้อมหน้าล้อมหลังจิ่วโยวเอาไว้
เผชิญหน้ากับจอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นหกสองคนแม้แต่จิ่วโยวก็ยังเสียเปรียบ ทว่าไม่มีริ้วความกลัวบนใบหน้าเลย นางพูดเสียงเยือกเย็น “นั่นก็ขึ้นอยู่กับว่าพวกแกมีความกล้าพอที่จะแย่งเม็ดยาไปได้ไหม ถ้าคิดจะล้างบางอาณาเขตกงเวทสวรรค์ ก็เตรียมตัวที่จะได้พักผ่อนอยู่ที่นี่ชั่วนิรันดร์เลย มีใครกล้าไหมล่ะ?”
เมื่อได้ยินคำพูดของจิ่วโยว สีหน้าของทั้งสองก็เปลี่ยนไป แม้ว่าหมู่ตึกเทวะและตำหนักสุดนภาจะจับมือกันเพื่อจัดการอาณาเขตกงเวทสวรรค์ แต่ไม่ได้หมายความว่าพวกเขาเป็นหนึ่งเดียวกัน พวกเขายังต่างระมัดระวังอีกฝ่าย ดังนั้นจึงเป็นไปไม่ได้ที่พวกเขาจะโง่จ่ายราคามหาศาลปล่อยให้อีกฝ่ายได้รับประโยชน์
เนื่องจากพวกเขาต้องเฝ้าระวังซึ่งกันและกัน สถานการณ์ยามนี้จึงอยู่ในสภาวะชะงักงัน แม้ว่าจะร่วมมือกันแล้วก็ตาม
“ฮ่าๆ จิ่วโยวพูดถูก ถ้าพวกแกต้องการรับผลประโยชน์ก็ต้องมีคนใช้ชีวิตมาจ่าย!” เลี่ยซันที่กำลังสู้กับจอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นหกที่ทรงพลังที่สุดของทั้งสองกองทัพก็หัวเราะร่วนออกมา เสียงหัวเราะราวกับฟ้าคำรน จิตสังหารที่แฝงในน้ำเสียงทำให้หัวใจผู้คนสั่นสะเทือน
“หึ ทุกคนไม่ต้องกลัว ถ้าเราไม่สามารถจัดการพวกมันได้แม้ว่าจะร่วมมือกัน ก็คงไม่สามารถไปรายงานกับท่านประมุขได้” ในระยะไกลฟังยี่ที่เฝ้ามองสถานการณ์ก็พ่นคำพูดออกมาอย่างเย็นชา
“ใช่เลย ตำหนักสุดนภาจงฟังจัดการพวกมันให้สิ้นซาก ข้าไม่เชื่อว่าพวกมันจะกล้าเสี่ยงชีวิตเพื่อเม็ดยาหยุ่นลั้วแค่นี้” หลิ่วเหยียนเค้นเสียงเย็นออกมา
เมื่อจอมยุทธ์จากหมู่ตึกเทวะและตำหนักสุดนภาได้ยิน พวกเขาก็ผงกหัว แม้พวกเขาจะรักษาชีวิต แต่ก็ไม่อยากปล่อยให้สถานการณ์ได้เปรียบนี้เสียไป ตอนนี้เป็นโอกาสที่ดีที่สุดในการจัดการพวกอาณาเขตกงเวทสวรรค์
“ลงมือให้สุดกำลัง”
จอมยุทธ์ทั้งสองฝั่งแลกเปลี่ยนสายตากัน ก่อนที่จะพยักหน้าปลดปล่อยพลังทั้งหมดออกมา ราวกับพายุพวยพุ่งขึ้นมาจากร่างกาย
เมื่อเหล่าผู้บัญชาการอาณาเขตกงเวทสวรรค์เห็นภาพนี้หัวใจก็ดิ่งลง แต่จากนั้นก็กัดฟันแน่น พวกเขาต้องทุ่มทุกอย่างลงไปภายใต้สถานการณ์นี้แล้ว ตราบใดที่พวกเขาสามารถลากเวลาออกไป จนกว่ามู่เฉินจะกลับมาพร้อมกับหน่วยรบทั้งห้า พลังของพวกเขาก็จะเพิ่มขึ้น เวลานั้นพวกเขาก็จะสามารถปราบปรามหมู่ตึกเทวะและตำหนักสุดนภาได้
ทว่าขณะที่พวกเขากำลังจะพุ่งเข้าโรมรัน เสียงร้องแหลมก็ดังก้องทั่วฟ้าดิน ทำให้ใบหน้าของจอมยุทธ์แต่ละสำนักเปลี่ยนไปทันควัน “มู่เฉิน ข้าไม่ปล่อยเจ้าแน่นอน!”
เสียงกรีดร้องกะทันหัน ทำให้จอมยุทธ์จากกองทัพต่างๆ อึ้งไป ก่อนที่จะหันหัวไปมองยังค่ายกลที่วินาศสันตะโร พวกเขาเห็นร่างเงาจินไถหลิวหลีทะยานออกมาในสภาพน่าอนาถ ที่เบื้องหลังกองทัพผลึกฟ้าที่มีความยิ่งใหญ่สง่างามในตอนแรกก็ตื่นตระหนกเล็กน้อยจากสภาพน่าสงสารของจินไถหลิวหลี ไม่มีท่าทางแข็งกร้าวเหมือนก่อนหน้าอีกแล้ว
“มู่เฉิน?”
เหล่าผู้บัญชาการอาณาเขตกงเวทสวรรค์ดีใจเมื่อได้ยินคำพูดของจินไถหลิวหลี เห็นได้ชัดว่ามู่เฉินทำสำเร็จแล้ว!
“ไอ้นั่นยังไม่ตายอีก!” หลิ่วเหยียนเผยสีหน้ามืดมนขณะกัดฟันกรอด
ใบหน้าฟังยี่ก็มืดครึ้มลงหลายส่วน แต่โชคดีที่เขาตระหนักว่าจินไถหลิวหลีสำคัญเพียงใด ดังนั้นเขาจึงทะยานออกไปรับตัวนางไว้ได้ทันท่วงที พูดด้วยเสียงเคร่งขรึมว่า “เจ้าเป็นยังไงบ้าง?”
จินไถหลิวหลีเช็ดคราบเลือดออกจากมุมปาก ขณะที่พูดด้วยน้ำเสียงเกลียดชัง “ไอ้บ้ามู่เฉินจะมาแย่งมรดกของข้า ทำให้ข้าบาดเจ็บ”
“มรดกถูกเขาเอาไปรึ?” ใบหน้าของฟังยี่เปลี่ยนไปอย่างมาก
“เขากับข้าได้รับมรดกคนละครึ่ง” สายตาของจินไถหลิวหลีวูบไหว นางไม่กล้าพูดว่าตัวเองไม่ได้อะไรเลย เพราะนั่นจะเป็นการลดสถานะของตัวเองในหมู่ตึกเทวะ ทำให้สูญเสียทรัพยากรจำนวนมาก
เมื่อได้ยินคำพูดของนางฟังยี่ก็โล่งใจไปเปลาะหนึ่ง จากนั้นก็พูดเสียงน่าขนลุก “ไม่เป็นไร ถ้ามันกล้าออกมา เราจะให้มันคายมรดกคืน!”
พูดจบสายตาก็เลื่อนไปที่ค่ายกลวินาศสันตะโร ขณะที่มวลลมดังสนั่นออกมาจากทิศทางนั้น หน่วยรบทั้งห้าทะยานออกมาราวกับกองทัพตั๊กแตกบุก สร้างกระบวนทัพน่าอัศจรรย์
เหนือกองทัพทั้งห้า มีร่างเงาหนึ่งสยายปีกทองคำอยู่ ม่านตาสีดำอัดแน่นด้วยไอเย็นยะเยือก สายตาจ้องไปที่กลุ่มของฟังยี่เช่นกัน
จากนั้นเขาก็ยกมือขึ้นอย่างช้าๆ แล้วสะบัดลงกะทันหัน ขณะที่เสียงตะโกนเต็มไปด้วยจิตสังหารดังก้อง
“ห้าหน่วยรบฟังคำสั่ง ลุย!”
ตู้ม!
รัศมีจั้นยี่ไร้ขอบเขตกวาดออกมาราวกับระลอกคลื่นมหึมาทั่วฟ้าดิน วิญญาณสงครามทั้งห้ายืนตระหง่านอยู่ด้านหลังมู่เฉินพร้อมกับแรงกดดันของรัศมีจั้นยี่น่าสะพรึงกลัว
ภายใต้วิญญาณสงครามทั้งห้า มู่เฉินราวกับยมฑูตโลหิตสังหารหวนคืน รัศมีของเขาทำให้กระทั่งจอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นหกอย่างเจ้าภูเขาเอ่อยังตัวแข็งทื่อ
ไม่รู้เพราะเหตุใดพวกเขารู้สึกว่ามู่เฉินตอนนี้อันตรายมากกว่าเมื่อก่อนหลายขุม