บทที่ 83 หน้าแดง โดย Ink Stone_Romance

อวี๋หวั่นยังไม่รู้ว่าข้างบ้านของเธอจะมีคนมาอาศัยอยู่ เธอกำลังวุ่นอยู่กับการแบกจอบไปยังแปลงผัก

หลังจากเข้าสู้ฤดูใบไม้ผลิ อากาศก็เริ่มอุ่นขึ้นเรื่อยๆ แม้จะอุ่นขึ้นไม่มาก ทว่าไม่มีหิมะแล้ว รอให้ช่วงเวลาอันหนาวเหน็บของฤดูใบไม้ผลิผ่านพ้นไปอีกสองระรอก ก็จะเริ่มต้นฤดูกาลหว่านเมล็ดพันธุ์

ก่อนที่จะหว่านเมล็ดพันธุ์ เธอจึงจัดแจงพลิกหน้าดินเสียก่อน

เธอคิดเอาไว้ว่า แปลงของเธอไม่ใหญ่ จึงจะไม่ปลูกธัญพืชหรือถั่วเหลือง จะเปลี่ยนไปปลูกผักแทน ปลูกฟักทองและผักชีล้อมก่อน รอจนอากาศอบอุ่นขึ้นกว่านี้แล้วจึงปลูกพริก ผักกาดก้านข้าว และโต้วเหมียว[1]

อันที่จริงเธอเองก็เพาะปลูกไม่เป็น สมัยเด็กเคยตามคุณยายปลูกผัก และเคยเห็นคุณยายทำอยู่บ้าง แต่นั่นก็ผ่านไปหลายปี เธอแทบจะจำไม่ได้แล้ว เธอไม่อาจให้คนในหมู่บ้านมองจุดด้อยข้อนี้ออก จึงจำต้องคอยดูว่าคนอื่นปลูกอย่างไร แล้วเธอก็ทำอย่างนั้น

ที่ของเธอและที่ของสกุลไป๋อยู่ติดกัน ก่อนหน้านี้ป้าไป๋และลุงไป๋ก็ทำงานอยู่ในไร่ เธอคิดจะปลูกผักชีล้อม แต่ได้ยินป้าไป๋และลุงไป๋กล่าวว่า หลังจากฉลองเทศกาลซั่งหยวน[2]แล้ว ก็จะเริ่มปลูกผักชีล้อม ส่วนฟักทองนั้น ป้าจางถามเธอว่าจะเข้าไปในตำบลเมื่อไรนางจะฝากซื้อเมล็ดฟักทองชั้นดีมาปลูก

อวี๋หวั่นมองที่ของสกุลไป๋ และมองไปยังที่ของสกุลจางที่ห่างออกไป หรี่ตาด้วยความสงสัย วันนี้ทุกคนมิได้นัดกันดิบดีแล้วหรอกหรือ? ทำไมจึงยังไม่มาทำงานกัน

อวี๋หวั่นลงจอบอีกสองสามครั้ง ทันใดนั้นก็ต้องยินเสียงของล้อเกวียนเคลื่อนเข้ามา

เสียงนั่นหยุดลงใกล้กับบ้านของเธอ

เธอเขย่งเท้าขึ้น มองออกไปไกล ข้ามบ่อปลาเล็กๆ ไปยังเงาของรถม้าหลังแนวต้นไหวหน้าบ้านของเธอ

มีหลังคา ไม่ใช่เกวียนของซวนจื่อเป็นแน่

หรือว่าจะมีคนมาติดต่อธุรกิจ?

อย่างไรเสียก็ใกล้ถึงเวลาอาหารเย็นแล้ว อวี๋หวั่นพลิกหน้าดินถึงตรงนี้ก่อน เธอสะพายตะกร้าและถือจอบเดินกลับบ้าน

เมื่อเดินเข้ามาเกือบถึงบ้าน เธอก็พบว่าแท้จริงแล้วเกวียนเล่มนี้มิได้จอดที่หน้าบ้านของเธอ หากแต่จอดที่บ้านข้างๆ

อวี๋หวั่นเคยได้ยินนางเจียงกล่าวถึงเรื่องนี้ หลายปีก่อนเพื่อนบ้านของเธอเป็นคนสกุลติง หลังจากที่สกุลติงย้ายออกไป บ้านหลังนี้ก็ถูกทิ้งร้างลง

บ้านที่พวกเขาอยู่ในตอนนี้เป็นบ้านของคนสกุลติง เพียงแต่เป็นบ้านหลังเก่า นอกจากจะทั้งเล็กทั้งซอมซ่อ หลังคาบ้านยังรั่วอีกด้วย

หลังจากที่อวี๋หวั่นกลับมาจาก ‘บ้านท่านยาย’ ก็ทะเลาะกับบ้านเดิมและแยกบ้านออกมา ในตอนนั้นอาหวั่นมีเงินอยู่สองสามร้อยตำลึง เงินจำนวนนี้ซื้อบ้านได้หลังหนึ่ง ทว่ามิได้ซื้อบ้านหลังใหม่ แต่ซื้อบ้านหลังเก่าแทน เหตุผลหลักเพราะบ้านหลังนั้นมีผีสิง

กล่าวถึงสกุลติง ลูกเขยคนรองเชิญพวกเขาไปช่วยดูแลกิจการ แต่ที่จริงแล้ว เป็นเพราะว่าบ้านหลังนี้น่ากลัวจนทนอยู่ต่อไปไม่ได้ พวกเขาจึงหนีไปอยู่กับลูกเขยคนรอง

คนในหมู่บ้านไม่มีผู้ใดกล้าซื้อบ้านผีสิงหลังนี้ น่าจะเป็นคนจากนอกหมู่บ้านเสียมากกว่า คงถูกนางเฉินหลอกเข้าแล้ว

อวี๋หวั่นเดาได้ถูกต้อง นางเฉินไม่เพียงมิได้บอกอีกฝ่ายว่าบ้านหลังนี้เป็นบ้านผีสิง ยังปิดบังเรื่องที่บริเวณโดยรอบกำลังจะถูกรื้อถอน

อวี๋หวั่นเข้าไปดูบ้านหลังนั้นด้วยความเห็นอกเห็นใจ ไม่รู้ว่าเป็นคนรวยจากที่ใด

ประตูบ้านหลังนั้นปิดสนิท ตัวบ้านที่ปราศจากการดูแลและซ่อมแซมเป็นเวลานานหลายปีดูซอมซ่อเละเทะจนมิอาจทนดูได้ แต่ในความเละเทะนี้ กำมะหยี่สีแดงไร้ฝุ่นธุลีกลับดูสะดุดตา

เยี่ยนจิ่วเฉานั่งอยู่บนเก้าอี้กำมะหยี่สีแดง สองขายาวไขว้กัน สายตาอันเย็นชามองกวาดขึ้นลง พร้อมกับกล่าวว่า “ตรงนี้ ตรงนี้ แล้วก็ยังมีตรงนี้ ทำความสะอาดอีกหนึ่งร้อยรอบ!”

ลุงวั่นนั่งเกวียนมาทั้งวัน มิได้พักผ่อน ทั้งยังต้องมาทำงานประหลาดๆ ให้นายน้อยอีก เขายืนเท้าเอว หายใจหอบ “คุณชายบอกว่าเข้าเมืองตาหลิ่วต้องหลิ่วตาตามมิใช่หรือ ท่านทำเช่นนี้จะทำให้ชาวบ้านมองออกเอาได้นา”

อิ่งสือซันและอิ่งสือลิ่วที่กำลังทำความสะอาดจนตัวตายพยักหน้าเห็นด้วย!

“โอ้” เยี่ยนจิ่วเฉาพยักหน้า ลูบขนจิ้งจอกหิมะที่อยู่บนตัก “พูดได้มีเหตุผล งั้นเก้าสิบเก้ารอบก็แล้วกัน”

“…”

ทั้งสามคนหน้าดำคร่ำเครียด…

ขณะที่อิ่งลิ่วและอิ่งสือซันกำลังง่วนทำความสะอาดอยู่นั้น เด็กน้อยทั้งสามก็ใช้จังหวะนี้แอบหนีออกไป

สกุลติงหนึ่งครอบครัวมีบ้านสองหลัง ทั้งสองหลังห่างกันไม่มาก เมื่อเดินออกจากประตูหลังของบ้านใหม่ไป ก็จะไปเจอกับป่าไผ่ขน เดินไปทางซ้ายอีกสักหน่อยก็จะเห็นประตูหลังของบ้านเก่า

ประตูหลังของบ้านเก่าเปิดอยู่ อวี๋หวั่นกำลังทำกับข้าวอยู่ด้านใน

วันนี้ลุงใหญ่พาพี่น้องทั้งสามไปยังบ้านเกิดของป้าสะใภ้ใหญ่ พวกเขาจึงต้องทำกับข้าวกินเอง

เนื้อพะโล้ทำสำเร็จเอาไว้แล้ว นำใส่หม้อต้มได้ทันที ทว่าหากกินแต่เนื้อก็จะไม่ได้คุณค่าทางอาหารที่ครบถ้วน อวี๋หวั่นจึงตัดผักกาดขาวจากแปลงมาล้าง หั่นเป็นแผ่นๆ แล้วนำไปผัดกับเนื้อตากแห้ง

ยังมีหยวนเซียว[3]ที่เธอเพิ่งเรียนวิธีทำ แต่ว่าเถี่ยตั้นน้อยและนางเจียงไม่ชอบกินแบบต้ม เธอจึงตัดสินใจทำแบบทอดแทน

หยวนเซียวมีทั้งไส้เนื้อและไว้ถั่วแดงบด เธอตั้งกระทะให้ร้อน แล้วนำหยวนเซียวทั้งสองชนิดลงไปทอดพร้อมกัน น้ำมันในกระทะพลันส่งเสียง ‘ฉ่าๆ’

เสียงนี้ดังมาก ดังจนกลบเสียงฝีเท้าของเด็กทั้งสาม

เด็กน้อยทั้งสามคนเดินเตาะแตะไปยังประตูหลัง ศีรษะน้อยๆ ของพวกเขาโผล่ออกมาจากวงกบประตู เรียงกันจากล่างขึ้นบน

ดวงตาสีนิลกลมๆ หรี่มองอวี๋หวั่น

อวี๋หวั่นผัดผัก พวกเขาก็มอง

อวี๋หวั่นหั่นผัก พวกเขาก็มอง

อวี๋หวั่นทอดลูกชิ้น พวกเขาก็มอง

มองจนลูกตาแทบจะปลิ้นออกมา แต่ไม่กล้าเดินเข้าไป

หยวนเซียวสุกจนแทบระเบิดแล้ว อวี๋หวั่นจึงหยิบชามจากตู้กับข้าวออกมาหนึ่งใบ เป็นชามใบใหญ่ เธอใช้น้ำเปล่าล้างเล็กน้อย แล้วเดินไปยังหลังบ้านเพื่อเทน้ำทิ้ง

เด็กทั้งสามคนรีบหดหัวหลับทันที ด้วยกลัวว่าจะถูกเห็นเข้า

ทันทีที่อวี๋หวั่นหันหลังกลับ ก็มีลงสายหนึ่งพัดจากเด็กน้อยทั้งสามไปทางเธอ ลมสายนั้นได้นำพาเสียงกระซิบกระซาบเบาๆ มาด้วย

แย่ละ!

พวกเขาทั้งสามหน้าแดง

…………………………………………………………..

[1] โต้วเหมียว หมายถึงต้นอ่อนของถั่ว นิยมนำไปผัด

[2] เทศกาลซั่งหยวน หรือเทศกาลหยวนเซียว หรือเทศกาลโคมไฟ ตรงกับวันที่ 15 เดือน 1 ตามปฏิทินจันทรคติของจีน

[3] หยวนเซียว ขนมชนิดหนึ่ง คล้ายกับบัวลอย แต่ใส่ไส้