ตอนที่ 52 - 3 เดิมพันชั่วชีวิต

เขาสั่งให้ข้าเป็นราชินี [ส่วนที่ 1]

จิ่งเหิงปัวชะเง้อมองตาปริบๆ…เท่ระเบิดเจิดจ้าบ้าอำนาจหยิ่งทระนงจริงๆ! รอให้นางเป็นราชินีแล้ว นางจะให้ผู้คนกลุ่มใหญ่ติดตามข้างหลังด้วย นางจะเดินอย่างรวดเร็วมากด้วย เดินไปพลางวางแผนไปพลางให้คนอื่นวิ่งเหยาะตามนาง นางยังจะให้กงอิ้นตามอยู่ข้างหน้าสุด วิ่งไปพลางเอ่ยกับนางอย่างเคารพนบนอบไปพลางว่า “ไฮ้[1]! โยะชิ[2]! ซึมนีดา[3]!”

 

 

ผ้าม่านรถสะบัดเพียงครั้ง ใบหน้าของกงอิ้นที่ปรากฏขึ้นสะบั้นความฝันงดงามของนาง เขากำลังเลิกม่านไปพลางเอ่ยกับคนข้างหลังไปพลางว่า “ราชรถของราชินีจะเข้านครยามอู่[4] แจ้งทหารกองเกียรติยศกับเหยียลี่ว์เตรียมการให้พร้อม”

 

 

ความฝันงดงามของจิ่งเหิงปัวแหลกสลายดัง “เพียะ”…ความปรารถนางดงามซ้ำยังไกลห่าง อย่างน้อยที่สุดตอนนี้แม้แต่เข้านครเมื่อไรนางยังต้องเชื่อฟังเขา นางเกลียดการออกจากบ้านตอนดวงอาทิตย์เที่ยงวันดวงใหญ่ที่สุดเลย!

 

 

พอกงอิ้นเงยหน้าก็มองเห็นหน้าตาบูดเบี้ยวของนาง แน่นอนว่าสีหน้าของเขาเองก็ไม่ได้ดีไปกว่ากันเพียงใด

 

 

เมื่อวานหลังจากเขาทำให้นางสลบไสลแล้วแบกกลับมา ทั้งสองคนได้พบเจอกันครั้งหนึ่ง แต่ยังคงไม่สนใจซึ่งกันและกัน

 

 

จิ่งเหิงปัวยังโกรธเรื่องไร้ประโยชน์เกินทนบนหนังสือสัญญานั่นและโกรธเรื่องเขาเผด็จการกุมอำนาจ ไม่เคยให้สิทธิที่จะพูดแก่นาง

 

 

ส่วนทำไมกงอิ้นมีสีหน้าย่ำแย่…มีเพียงเขาเองรู้ดีที่สุด

 

 

จิ่งเหิงปัวทำหน้าเบ้ กล่าวว่า “เจ้ามาทำอะไร”

 

 

กงอิ้นไม่สนใจนาง เขาเดินขึ้นมาบนรถด้วยตนเอง มือรับกล่องสองใบจากหญิงรับใช้ด้านล่างแล้วเอ่ยกับชุ่ยเจี่ย จิ้งอวิ๋นและยงเสวี่ยทั้งสามนางในราชรถว่า “พวกเจ้าสามคนลงไป”

 

 

ชุ่ยเจี่ยกับยงเสวี่ยกลัวเขามาโดยตลอดจึงลงจากรถโดยไม่ได้เอ่ยวาจาใดทั้งนั้น อย่างไรเสียวันเวลาเหล่านี้พวกนางมองเห็นได้ชัดเจนว่าแม้ราชครูกับต้าปัวทะเลาะทุกเรื่องบรรยากาศผิดปกติทุกรูปแบบ ทว่าหากเอ่ยว่ามีอันตรายใดนั่นคงไม่มีอะไรแน่นอน

 

 

จิ้งอวิ๋นกลับหยุดอยู่ชั่วครู่ สายตาทอดลงบนกล่องใบนั้น เอ่ยอย่างอ่อนโยนว่า “นี่คล้ายเป็นชุดพิธีการของราชินี ประเดี๋ยวจะต้องเปลี่ยนชุดมิใช่หรือ ชุดพิธีการซับซ้อน ข้าน้อยอยู่ช่วยเหลือได้หรือไม่เจ้าคะ”

 

 

“นั่นสิๆ” จิ่งเหิงปัวพอได้ยินว่าชุดพิธีการก็มึนศีรษะขึ้นมา รีบเร่งกล่าวว่า “ชุดพิธีการของสตรีจะเอาเจ้ามาทำอะไร ให้พวกนางช่วยข้าเปลี่ยนสิ”

 

 

กงอิ้นไม่แม้แต่จะมองจิ้งอวิ๋นสักปราดเดียว เพียงเอ่ยกับจิ่งเหิงปัวว่า “มีของบางสิ่งเจ้าต้องสวมใส่เอง ข้าไม่อยากกระทำซ้ำเป็นครั้งที่สอง”

 

 

จิ่งเหิงปัวกะพริบตา ไม่เข้าใจนิดหน่อยว่าอะไรคือไม่อยากกระทำซ้ำสองครั้ง

 

 

ใบหน้าของจิ้งอวิ๋นแผ่ซ่านด้วยสีแดงเจือจางผืนหนึ่ง ลำบากใจทว่ายังคงยิ้มแย้มพลางเอ่ยว่า “ข้าน้อยกระทำเกินหน้าที่เสียแล้ว ชุดพิธีการล้ำค่าเป็นสิ่งที่ราชครูควรชี้แนะฝ่าบาทด้วยตนเอง ข้าน้อยจะคู่ควรได้ยินได้อย่างไร ข้าน้อยขอตัวเจ้าค่ะ” เอ่ยจบแล้วถวายคำนับตามมารยาท ถอยไปอย่างเชื่องช้า ก่อนจากไปยังปิดประตูรถอย่างเอาใจใส่

 

 

จิ่งเหิงปัวจ้องมองกิริยามารยาทไร้ที่ติของนาง อดจะชมไม่ขาดปากไม่ได้ว่า “จิ้งอวิ๋นสมแล้วที่มาจากตระกูลร่ำรวยใหญ่โต ดูกิริยาท่าทางนั่นสิ ส่วนเจ้า…” นางชำเลืองตามองกงอิ้นพลางกล่าวว่า “ไม่มีผู้ใดสอนเจ้าว่าต้องทำตนเป็นสุภาพบุรุษกับสุภาพสตรีหรือ”

 

 

“นางคู่ควรหรือ” คำตอบของเขาน่าโมโหยิ่งนัก

 

 

“เปลี่ยนฉลองพระองค์ให้เจิ้น[5]” ท่าทางเชิดคางขึ้นของนางน่าโมโหยิ่งกว่า

 

 

คำตอบของกงอิ้นคือวางกล่องขนาดมหึมากล่องหนึ่งไว้บนขาของนาง หนักจนเข่าของจิ่งเหิงปัวจมดิ่งลงไป

 

 

“หนักจัง!” จิ่งเหิงปัวถูกกล่องงดงามหรูหราดึงดูดในทันที นางเปิดฝากล่องออก ดวงตาเบิกกว้างในพริบตา อุทานว่า “ว้าว!”

 

 

ที่อุทานอย่างตื่นตะลึงไม่ใช่เพราะความสวยหรูของชุดพิธีการ ณ ต้าฮวงที่ซึ่งอัญมณีกลิ้งเกลื่อนกลาดนี้ ความสวยหรูเป็นสัจธรรมที่พึงมีแล้ว

 

 

ที่อุทานอย่างตื่นตะลึงเพราะสีสันของชุดพิธีการกลับไม่ใช่สีจักรพรรดิเช่น สีทองสีแดงสีม่วงเหลืองสว่างประเภทนั้นที่นางจินตนาการ แต่เป็นสีดำ!

 

 

ที่อุทานอย่างตื่นตะลึงยิ่งกว่าเพราะบนโลกนี้ยังมีสีดำบริสุทธิ์ขนาดนี้ด้วย

 

 

แพรต่วนสีดำเข้มประหนึ่งค่ำคืนดุจม้าดำสายพันธุ์แท้จากตระกูลดีที่สุด ไร้ซึ่งสีอื่นเจือปน หนาหนักและเปล่งประกายแสงสลัว

 

 

ชุดพิธีการชุดนี้ไม่ได้ประดับด้วยอัญมณีมากมายแตกต่างจากปกติ เครื่องประดับทั้งหมดล้วนเป็นแร่เงินโบราณที่เปล่งประกายแสงรุ่งโรจน์สีดำสลัว สีสันแวววาวหนาแน่นหนักแน่น สอดประสานกลมเกลียวกับสีดำเคร่งขรึมล้ำค่า

 

 

จุดอับของแร่เงินโบราณดั่งสีเถ้าบุหรี่ที่ผันผ่านกาลเวลาเชื่องช้าสอดประสานกับจุดสว่างของสีเงินรุ่งโรจน์ ต่างขานรับสีดำทั้งมวล เข็มขัด คอเสื้อและแขนเสื้อแกะสลักลายฉลุนูนเป็นสัตว์ที่มองไม่ออกว่าเป็นรูปร่างอะไร ท่าทางดุร้าย ฉากหลังเป็นหินเฮยเย่าหลายแผ่นผืน ทำให้ผู้คนนึกถึงบึงโคลนที่ปกคลุมทั่วแว่นแคว้นต้าฮวง

 

 

จิ่งเหิงปัวชมไม่ขาดปาก รู้สึกว่าผู้ออกแบบมีสายตาเฉียบแหลมอย่างมาก ชุดพิธีการที่ตัดเย็บล้ำค่าทว่าเรียบง่ายแบบนี้ หากใช้อัญมณีหลากหลายสีสันเหล่านั้นคงสยบไว้ไม่ได้ ตรงกันข้ามจะแลดูโดดลอยไม่เข้าพวก หากไม่ใช้เครื่องประดับทั้งหมดยิ่งแลดูซ้ำซากอึดอัด มีเพียงแร่เงินโบราณที่มีคุณสมบัติล้ำค่าเช่นเดียวกันและแบกรับสว่างไสวของกาลเวลานับหมื่นพันปีนี้จึงสามารถขับสีดำอึมครึมนั้นให้แลดูทั้งถ่อมตนทั้งฟุ่มเฟือย

 

 

นางชื่นชอบสีสันสดใสตลอดมา สีสันสวยสดงดงามเหลืองแดงม่วงเขียวส้มแดงฟ้าอย่างไรเข้ามาได้เลย นางไม่เคยเห็นสีดำที่หนักแน่นอึมครึมมาก่อน แต่ว่าตอนนี้กลับเกิดความสนใจขึ้นมาทันที ไม่พูดไม่จาแม้แต่คำเดียว มือดึงคอเสื้อออก เริ่มถอด…

 

 

“เจ้าทำอะไร” กงอิ้นที่อยู่ฝั่งตรงข้ามนึกไม่ถึงว่านางเอ่ยแล้วถอดเลย ชะงักงันไปชั่วครู่ รีบเร่งเบนสายตาออกไป

 

 

“เปลี่ยนอาภรณ์ไง” จิ่งเหิงปัวไม่คิดเช่นนั้น ชุดพิธีการนี้เป็นเพียงชุดคลุมตัวนอก ที่ถอดออกก็เป็นเพียงชุดคลุมตัวนอก ด้านในนางยังมีเสื้อกันหนาวแนบเนื้อของตนเองนะ จะมองเห็นอะไรได้ล่ะ

 

 

“เจ้าเปลี่ยนอาภรณ์ตามใจชอบเช่นนี้ตลอดเลยหรือ” กงอิ้นหันข้าง น้ำเสียงแข็งกระด้าง

 

 

มือของจิ่งเหิงปัวหยุดชะงัก สายตาเหลือบมองเขา แหม หันหน้าไปอย่างแน่วแน่ขนาดนั้นเลยเหรอ ไม่มอง ไม่อยากมอง ไม่อยากมองทำไมใบหูแดงอีกแล้ว!

 

 

“ใบหูเจ้าแดงจังเลย ร้อนหรือ” นางชะโงกหน้าเข้ามาอย่างยิ้มแย้มปรีดา เป่าติ่งหูของเขาพลางกล่าวว่า “ข้าก็เปลี่ยนอาภรณ์เช่นนี้แล อะไรหรือ เจ้าไม่ชอบหรือ”

 

 

ฝ่ามือเย็นเพียงน้อยข้างหนึ่งคลุมครอบบนใบหน้านาง ผลักใบหน้าของนางออกไป

 

 

“เจ้าชอบทำอย่างไรก็ทำเยี่ยงนั้น เหตุใดข้าต้องมองเจ้าอีกสักปราดหนึ่งด้วย” เขาเอ่ยสืบต่อว่า “เปลี่ยนอาภรณ์ให้เรียบร้อย ชุดพิธีการนี้มิใช่สวมใส่ตามใจชอบ ข้ามีเรื่องต้องเอ่ยกับเจ้า”

 

 

“อ้อ” จิ่งเหิงปัวขยับเรือนร่าง นั่งตัวตรง

 

 

 

 

“เอ่ยสิ!” หลังจากนางขยับเขยื้อนเรือนร่างอย่างรำคาญอยู่ครู่ใหญ่จึงกล่าวเร่งเร้าว่า “เหตุใดจึงไม่เอ่ยเล่า”

 

 

“เจ้าสวมอาภรณ์เรียบร้อยแล้วหรือยัง” เขายังคงหันข้าง ไม่กล้าหันหน้ากลับมา

 

 

“แน่นอนว่าต้องสวมเรียบร้อยแล้วสิ”

 

 

“มิใช่ ยังไม่มีเสียงดึงอาภรณ์ขึ้นมา!” เขาคัดค้าน

 

 

“ข้าไม่จำเป็นต้องดึง…เดี๋ยวก่อนเจ้ารู้ได้อย่างไร” จิ่งเหิงปัวเบิกตากว้างพลางกล่าวว่า “เวรเอ้ย เจ้าไม่มอง เจ้าแอบฟัง! เจ้าหูตั้งแอบฟังความเคลื่อนไหวในการสวมอาภรณ์ของข้า! เจ้ามันสุภาพบุรุษจอมปลอม! ไอ้โรคจิต! ไอ้ลามก! จอมแอบฟัง…”

 

 

“หุบปาก” กงอิ้นหันหน้ากลับมา มือปิดปากที่เอ่ยวาจาจุกจิกของนางไว้อย่างเหลืออดเหลือทน

 

 

“ฮือๆๆ ฮือๆ” จิ่งเหิงปัวยังดิ้นรนหาสิทธิที่จะพูด นัยน์ตาดำขลับขยับเขยื้อนไปมาเหนือฝ่ามือของเขา ใช้ขนตาปัดริมฝ่ามือของเขาอย่างสุดชีวิต

 

 

ริมฝ่ามือไวต่อความรู้สึกอย่างยิ่งขึ้นมาโดยพลัน ความรู้สึกคันยุบยิบจากริมฝ่ามือกระจายจนไปสู่แขน ทะลุผ่านเส้นเอ็นเส้นโลหิตนับมิถ้วนไปถึงภายในใจปานสายฟ้าผันผ่าน ดวงใจเขาคล้ายสั่นสะท้าน จากนั้นความเหน็บหนาวสายหนึ่งอบอวลโลดแล่นผ่านอวัยวะภายในร่างกาย สีหน้าของเขาซีดเผือดเพียงน้อย ฝ่ามือหดกลับมา

 

 

“ขนตาของข้ายาวใช่หรือไม่” จิ่งเหิงปัวไม่ได้สังเกตถึงความเปลี่ยนแปลงของสีหน้าเขา กล่าวอย่างลำพองใจ

 

 

สีหน้าของกงอิ้นกลับฟื้นคืนสงบเงียบแล้ว กลางหน้าผากยิ่งเหน็บหนาวดุจน้ำค้างแข็ง เรือนร่างร่นถอยไปข้างหลัง ฉวยมือสะบัดชุดคลุมชุดนั้นออก

 

 

“ชุดพิธีการชุดนี้คือชุดพิธีการที่สืบทอดจากปฐมจักรพรรดิแห่งต้าฮวง ใช้สำหรับพิธีเฉลิมฉลองรับขบวนเสด็จโดยเฉพาะ ว่ากันว่าชุดพิธีการชุดนี้มีสิ่งอัศจรรย์ในตนเอง เรียกรวมกันกับชุดพิธีการทางการของราชินีแห่งต้าฮวงว่าทวิสมบัติแห่งราชวงศ์”

 

 

จิ่งเหิงปัวกะพริบตา กล่าวว่า “อาไร้ อาภรณ์นี้กี่ร้อยปีแล้ว ยายแก่เคยใส่หรือ ข้าไม่เอา”

 

 

“ภายภาคหน้าขออย่าได้เอ่ยถึงยายแก่สองอักษรนี้อีก” กงอิ้นเอ่ยอย่างเย็นชาว่า “หากเจ้าไม่อยากถูกราษฎรต้าฮวงที่โกรธแค้นฉีกเป็นชิ้นๆ”

 

 

“อื้อๆ” จิ่งเหิงปัวขานรับ

 

 

กงอิ้นขมวดคิ้ว…สตรีนิสัยเสียอะไรเช่นนี้ ทั้งเจ้าเล่ห์ทั้งใจร้อน ควบคุุมยากเสียจริง

 

 

“ชุดพิธีการมีกระดุมลับ กระดุมลับจนถึงส่วนเอวซ่อนคมมีดไว้ใช้ปกป้องตนเอง” กงอิ้นย่อเข่าให้นาง สาธิตวิธีเปิดปิดกระดุมลับให้นาง

 

 

จิ่งเหิงปัวเท้าคาง มองชมอย่างตั้งใจ…ขนตาหนาจัง…นิ้วมือสวยจริงๆ…ท่าทางคล่องแคล่วจัง…ลมหายใจหอมจังเลย…

 

 

“มองเข้าใจหรือยัง” เขาสาธิตรอบหนึ่ง ก้มหน้าถามนาง

 

 

“สวย…” นางกล่าวอย่างเคลิบเคลิ้ม

 

 

“สิ่งใดสวย” เขาพลันเงยหน้า มองเห็นสายตาหื่นกามของบางคนจึงชะงักงันไป หัวคิ้วขมวดเพียงครั้ง มือโยนอาภรณ์ไปบนเข่านาง

 

 

“ทำเองรอบหนึ่ง!”

 

 

สาวหื่นถูกสายฟ้าฟาดจนตื่นฟื้น รับอาภรณ์มาด้วยหน้าหงิกงอ ตบเพียะๆ เพียะๆ กระดุมลับเปิดออกอย่างรวดเร็วฉับไว ตบเพียะๆ เพียะๆ อีกครั้ง กระดุมลับปิดสนิท นิ้วมือนางลูบเพียงครั้ง ดึงครั้งหนึ่งหมุนครั้งหนึ่ง มีดเล่มหนึ่งพุ่งออกมาจากหว่างเอวอย่างเงียบเชียบไร้สุ้มเสียง ข้อนิ้วงอขึ้นมากดด้านหลังเข็มขัด ฝ่ามือกุมเข้าไป มีดลับเก็บซ่อนแล้ว

 

 

“เสร็จแล้ว!”

 

 

ท่วงท่าชุดหนึ่งเรียบร้อยราบรื่นดุจเมฆเหินน้ำไหล

 

 

กงอิ้นเงียบงัน ปวดเศียรเวียนเกล้าขึ้นมาโดยพลัน

 

 

หากโง่เขลาก็ดีสิ หากโง่เขลาย่อมต้องเชื่อฟังแล้ว ดันเฉลียวฉลาดเสียได้!

 

 

 

 

 

 

 

[1] ไฮ้ ถอดเสียงจากคำศัพท์ภาษาญี่ปุ่นว่า はい แปลว่า ใช่

 

 

[2] โยชิ ถอดเสียงจากคำศัพท์ภาษาญี่ปุ่นว่า 良し แปลว่า ดีมาก

 

 

[3] ซึมนีดา ถอดเสียงจากคำศัพท์ภาษาเกาหลีว่า 습니다 เป็นคำลงท้ายประโยคเสริมความสุภาพ คล้ายคำว่าครับหรือค่ะ

 

 

[4] ยามอู่ ระยะเวลาตั้งแต่ 11.00-13.00 นาฬิกา

 

 

[5] เจิ้น คำเรียกแทนตนเองของจักรพรรดิ