ตอนที่ 52 – 4 เดิมพันชั่วชีวิต

เขาสั่งให้ข้าเป็นราชินี [ส่วนที่ 1]

“เหตุใดอาภรณ์ต้องซ่อนมีดลับ” จิ่งเหิงปัวที่เมื่อครู่เอาแต่แอบมอง ตอนนี้จึงนึกถึงเรื่องจริงจัง

 

 

“เดิมทีไม่มี ด้วยเพราะราชินีลำดับที่สิบเจ็ดตั้งใจให้คนซ่อนไว้โดยไม่ให้ผู้อื่นรู้ก่อนเข้าร่วมพิธีเฉลิมฉลองรับขบวนเสด็จ นางมิได้ยุ่งไม่เข้าเรื่องเลย ในพิธีเฉลิมฉลองครั้งนั้นเอง เผ่าไต้เม่าก่อกบฏลอบสังหารราชินี แม้ว่าสุดท้ายแล้วนางจะถูกเนรเทศ ทว่าอาศัยมีดลับในอ้อมแขนนี้ช่วยชีวิตตนเองไว้ครั้งหนึ่ง”

 

 

“พิธีเฉลิมฉลองรับขบวนเสด็จมีอันตรายมากมายขนาดนี้ด้วยหรือ” จิ่งเหิงปัวกลับสูดหายใจเหน็บหนาวเฮือกหนึ่ง

 

 

“พิธีเฉลิมฉลองรับขบวนเสด็จแตกต่างจากพิธีเฉลิมฉลองสืบทอดราชบัลลังก์ การรับขบวนเสด็จหมายถึงการตระเตรียมราชบัลลังก์ ทว่ายังมิได้สืบราชสันตติวงศ์อย่างเป็นทางการ ยามนี้ราชินีไร้กำลังไร้อำนาจ อีกทั้งเป็นเวลาที่อ่อนแอที่สุดก่อนเปิดเผยต่อผู้คน หากก่อนยามนี้ความสัมพันธ์ของทุกฝ่ายมิได้สมดุล พิธีเฉลิมฉลองรับขบวนเสด็จมีโอกาสเกิดเรื่องยิ่งนัก” กงอิ้นพลิกด้านในอาภรณ์ให้นางดูพลางเอ่ยว่า “จุดอันตรายต่างมีเหล็กแผ่นบางป้องกันรักษา”

 

 

“ถึงได้หนักขนาดนี้” จิ่งเหิงปัวรู้สึกทันทีว่าเสื้อผ้านี้คล้ายมีกลิ่นคาวเลือด ไม่อยากสวมใส่ขึ้นมากะทันหัน

 

 

“ส่วนรองเท้าคู่นี้” กงอิ้นคว้ากล่องอีกใบหนึ่งมา คุกเข่าลงหยิบรองเท้าข้อสั้นสีดำคู่หนึ่งออกมา รูปทรงประณีตงดงาม พื้นรองเท้าหนาหนัก แพรดำริมขอบฉลุลายกลุ่มเมฆ หัวรองเท้าประดับฝังแร่เงินโบราณเช่นเดียวกัน

 

 

“ลองสวม” กงอิ้นเอ่ย

 

 

จิ่งเหิงปัวนึกถึงว่าเสื้อผ้านี้เคยมีคนสวมใส่ซ้ำยังเคยหลั่งเลือดด้วย ทั่วร่างคล้ายมีโลหิตเปรอะเปื้อนเต็มไปหมด ยังจะกล้าสวมใส่ได้อย่างไร ส่ายศีรษะถอยกรูดไปด้านหลัง ร้องว่า “ไม่เอา”

 

 

“ความปลอดภัยสำคัญกว่าหรือโรครักสะอาดสำคัญกว่า” กงอิ้นคล้ายเดาความคิดนางออก กุมข้อเท้านางไว้ในครั้งเดียวเพื่อไม่ให้นางร่นถอย เอ่ยว่า “ลองสวม!”

 

 

“ไม่เอา!” จิ่งเหิงปัวตะโกน เท้าที่สวมรองเท้าส้นสูงหดถอยสุดชีวิต

 

 

ข้อเท้าลื่นไถลจากในมือกงอิ้น ถุงน่องแวววาวลื่นไถล กงอิ้นพลันรู้สึกว่านิ้วมือลื่นไถลไปด้วย ผิวกายใต้นิ้วนุ่มจนคล้ายผ้าไหมนวลจนคล้ายผ้าแพร เนียนลื่นดั่งมัจฉาตัวหนึ่ง พอเขาก้มหน้าก็มองเห็นรองเท้าส้นสูงสีแดงกุหลาบของจิ่งเหิงปัวหลุดลงไปครึ่งหนึ่งห้อยอยู่ตรงปลายเท้าท่ามกลางการดิ้นรน ผุดเผยหลังเท้างามวิจิตรขาวราวหิมะตรงปลายจมูกของเขาพอดี…

 

 

เขาคลายมือฉับพลัน เรือนร่างถอยไปด้านหลัง รองเท้าหลุดร่วง จิ่งเหิงปัวหัวเราะคิกๆ ครั้งหนึ่ง กล่าวทันทีว่า “ข้าจำได้ว่าข้าอยากใช้หน้าอกเจ้ามาเช็ดนิ้วเท้านี่ล่ะ…” กล่าวจบปลายเท้ายื่นไปเบื้องหน้า สะกิดเกาสาบเสื้อหน้าผืนอกของเขา

 

 

พอกงอิ้นหลุบตาลงก็มองเห็นผิวกายขาวราวหิมะในถุงน่องโปร่งแสง นิ้วเท้าแวววาวสีชมพูดั่งกลีบผกาปลิดโปรย มองไปปราดเดียวงดงามจนสะท้านใจสะเทือนวิญญาณ เขาร่นถอยไปด้านหลังโดยจิตสำนึก ด้านหลังคือผนังรถ ไร้ที่ให้หลบหลีก สายตามองเห็นรองเท้าหุ้มข้อข้างกายจึงรีบเร่งคว้าขึ้นมาสวมใส่บนเท้าของนาง

 

 

ตอนนี้จิ่งเหิงปัวกลับหัวเราะคิกๆ หดเท้ากลับไปอีกครั้ง นี่น่ะไม่ใช่ยุคปัจจุบัน ผู้ชายทนการแทะโลมทุกชนิดไหว แทะโลมกงอิ้นมั่วซั่ว ถ้าเขาโกรธแค้นอับอายฆ่าตัวตายขึ้นมาจะทำยังไง

 

 

นางถอยเท้าไปก่อน กงอิ้นสวมรองเท้าตามมา เขาลุกลี้ลุกลนอยู่บ้างเล็กน้อย ใช้แรงมากเกินไป ส่วนจิ่งเหิงปัวยืนเท้าเดียวไม่มั่นคง พอสวมไปแบบนี้ เรือนร่างล้มลงพิงตัวรถ พื้นรองเท้ากระแทกกับตัวรถ ดังเพียะเสียงหนึ่งแผ่วเบา ขอบรองเท้าโผล่ฟันเลื่อยแถวหนึ่งออกมา!

 

 

ข้างฟันเลื่อย นั่นคือคอหอยของกงอิ้น!

 

 

จิ่งเหิงปัวตกใจจนหน้าถอดสี กรีดร้อง “หลีกไป!” เรือนร่างโถมไปข้างหน้าสุดชีวิตอย่างไม่สนใจอะไรทั้งนั้น

 

 

“ฉึก” เสียงหนึ่งดังแผ่วเบา รองเท้าติดตรงเพดานรถ! ฟันเลื่อยแทงลึกเข้าไปในผนังไม้กระดาน!

 

 

บรรยากาศและผู้คนในรถม้าต่างแข็งทื่อขึ้นมาโดยพลัน

 

 

จิ่งเหิงปัวยืดกายฉีกขา ขาซ้ายขวายืดตรงเป็นเส้นเดียว ค้ำยันตั้งมุมสามสิบองศากับผนังรถ

 

 

กงอิ้นอยู่ในขอบเขตปลอดภัยของมุมสามเหลี่ยมสามสิบองศานั้นพอดี

 

 

ปลายจมูกแนบชิดขาขวาท่อนล่างของนาง

 

 

กงอิ้นคล้ายชะงักไปเช่นกัน แหงนหน้าเพียงน้อย ยากจะจินตนาการอย่างยิ่งว่าร่างกายมนุษย์สามารถยืดขยายออกไปได้ถึงระดับนี้ ท่ามกลางวิกฤตอันตรายฉีกขายังฟาดลงไปเหนือศีรษะได้

 

 

เบื้องหน้าคือร่างกายหดเกร็งแนบแน่นของนาง กางเกงแนบเนื้อที่สวมใส่ถลกขึ้นไปด้านบนด้วยเพราะฉีกขา ผุดเผยขาท่อนล่างที่ขาวราวหิมะสดใสนุ่มลื่นครึ่งท่อน ส่วนตามทรวดทรงขาท่อนล่างที่งดงาม คือเข่าตรงดิ่งและขาอ่อนทรวดทรงประณีตเช่นเดียวกัน…

 

 

กงอิ้นรีบเร่งก้าวข้ามขอบเขตที่ร่างกายของนางแผ่คลุมออกมาก้าวหนึ่ง หันหลังให้นาง เอ่ยว่า “ข้าไม่เป็นไรแล้ว เจ้าวางลงมาได้แล้ว”

 

 

ยามนี้เขาน้ำเสียงอ่อนโยน สายตาทอดลงบนรองเท้าส้นสูงสีแดงกุหลาบที่ประณีตงดงามคู่นั้น

 

 

ข้างหลังไร้ซึ่งความเคลื่อนไหว

 

 

กงอิ้นเอ่ยซ้ำอีกครั้งหนึ่ง

 

 

ยังคงสงบเงียบ เพียงแต่มีเสียงดังซี้ดๆ แบบหนึ่งเพิ่มเข้ามา คล้ายเป็นเสียงคนอดทนความเจ็บปวดไม่ไหวกำลังสูดหายใจ

 

 

กงอิ้นหันหน้ากลับมา พอมองไปเห็นมหาราชินีแซ่จิ่งยังฉีกขาอย่างผิดแผกประเพณีอยู่เลย

 

 

“เจ้าทำเช่นนี้ไม่เหนื่อยหรือ วางลง…” เขาหยุดชะงักโดยพลันคล้ายเข้าใจขึ้นมา

 

 

“อ๊ากๆ อ๊ากๆ!” จิ่งเหิงปัวเปล่งเสียงร้องอย่างน่าเวทนาขึ้นมาว่า “ช่วยด้วยโว้ย! รีบลากข้าลงมาสิ ข้าฉีกขาเร็วเกินไปเป็นตะคริวแล้ว!”

 

 

“…”

 

 

พริบตาต่อมากงอิ้นปิดประตูรถให้แน่นดังเพียะ ขัดขวางเหล่าองครักษ์ที่รีบเร่งมาช่วยเหลือด้วยเพราะได้ยินเสียง

 

 

“หุบปาก”

 

 

เขาไม่อยากให้ผู้อื่นมองเห็นนางในสภาพเช่นนี้

 

 

“รีบลากข้าลงมา…โอ๊ยๆ…” จิ่งเหิงปัวพึมพำกระซิกกระซิก กงอิ้นสืบเท้าเข้าไปจะลงมือ หยุดชะงักขึ้นมาอีกครั้งโดยพลัน หยุดฝีเท้าลง

 

 

ท่าทางเช่นนี้ของนาง จะลากลงมาได้อย่างไร

 

 

ฉีกขาเช่นนี้ฉับพลันโดยไม่ได้ทำการอบอุ่นร่างกาย กล้ามเนื้ออาจจะฉีกขาดได้โดยง่าย มิอาจขยับเขยื้อนตรงทื่อเช่นนั้น ต้องค่อยๆ วางลงมา จะให้ดีที่สุดต้องนวดไปพลางวางไปพลาง ทว่าจะวางอย่างไรก็ตาม ต่างไม่อาจหลีกเลี่ยงการสัมผัสร่างกายของนาง…

 

 

เขาลังเลอยู่ตรงนั้น จิ่งเหิงปัวกลับไม่ได้สนใจขนาดนั้น กล้ามเนื้อด้านในขาอ่อนคล้ายกำลังกระตุกหดเกร็ง ใบหน้าของนางกำลังชักเกร็งหลากสีสันเช่นกัน พลางกล่าวว่า “โอ๊ยกงอิ้นเจ้าจะสองจิตสองใจหาอะไร รีบมาช่วยพี่เร็วเข้า โอ๊ยถึงอย่างไรข้าก็ช่วยเจ้าไว้ครั้งหนึ่ง…”

 

 

กงอิ้นแบะปาก…ใช่หรือ แม้แต่มีดแค่นั้นข้ายังหลบไม่พ้นเลยหรือ

 

 

ทว่านึกถึงเมื่อครู่ฉากหนึ่งนั้น แววตาเขาอ่อนโยนเล็กน้อย

 

 

เอาเถิด นับว่าใช่ละกัน

 

 

เห็นใบหน้านางแดงซ่านจนสิ้น แม้คิ้วยังสั่นสะท้าน ย่อมรู้ว่าแท้จริงแล้วนางเจ็บปวดมากนัก กงอิ้นสูดหายใจเฮือกหนึ่งสืบเท้าเข้ามา นิ้วมือกดขาอ่อนของนางไว้อย่างแผ่วเบา

 

 

ที่ซึ่งปลายนิ้วไปถึงนุ่มนวลอบอุ่น อุณหภูมิร่างกายของนางคล้ายสูงขึ้นมาเป็นพิเศษ ไอร้อนผ่าวโหมสาดกลุ่มนั้นกำจายจากปลายนิ้วสู่เบื้องลึกในจิตใจ นิ้วมือของเขาสั่นสะท้าน

 

 

พริบตาเดียวมองเห็นศีรษะนางหันมาเพียงน้อย สายตาเปี่ยมด้วยร้อนใจขอร้อง เขารีบเร่งรวบรวมสมาธิ ห้านิ้วลื่นไถลไปข้างหน้าครั้งหนึ่งยกขึ้นครั้งหนึ่ง ยกขาของนางขึ้นมาเพียงน้อยแล้ววางลงเชื่องช้า

 

 

จิ่งเหิงปัวยืนไม่มั่นคง มือรีบเร่งโอบลำคอของเขาเอาไว้ รู้สึกได้ว่าเขากำลังนวดขาอ่อนตนเองขยับลงไปด้านล่างอย่างนุ่มนวล ห้านิ้วที่ซึ่งพาดผ่านร้อนผ่าวขึ้นมา ค่อยๆ ฟื้นฟูเส้นเอ็นที่บาดเจ็บ

 

 

อย่างไรเสียตำแหน่งนั้นค่อนข้างไวต่อความรู้สึก หลังจากความเจ็บปวดจากกล้ามเนื้อเกร็งแน่นหายไป ความรู้สึกเหน็บชาสั่นไหวม้วนเข้ามาประหนึ่งกระแสธาร นางหน้าแดงโดยพลัน ซบหน้าลงบนไหล่ของกงอิ้น

 

 

ปลายจมูกเปี่ยมด้วยลมหายใจของเขา สดชื่นเย็นชื้นเพียงน้อยดุจบัวหิมะบนผาสูง จิตใจว้าวุ่นของนางค่อยๆ สงบนิ่ง อยากจากไปทว่าเสียดายขึ้นมา…กงอิ้นไม่ได้ผลักนางออกไปอย่างหาได้ยาก ไม่ฉวยโอกาสนี้ลวนลามแล้วจะรอเวลาไหน นางอดจะขยี้ใบหน้าลงบนไหล่เขาอย่างรุนแรงหลายครั้งไม่ได้ หลังจากสูดกลิ่นอายของเขาจนท่วมจมูกของตนเองจึงเคลิบเคลิ้มนึกได้ว่าครั้งนี้เหมือนจะเป็นครั้งแรกที่เขารุกเข้ามาสัมผัสนางอย่างสนิทสนมนะ

 

 

กงอิ้นรู้ว่านางกำลังฉวยโอกาสลวนลามตนเอง ทว่ายามนี้ไม่ทันได้ใส่ใจ เขากลัวว่ากล้ามเนื้อของจิ่งเหิงปัวจะฉีกขาด ในขณะที่วางขาอ่อนของนางลงยังนวดให้นางโดยตลอด นางชอบสวมกางเกงแนบเนื้อ ซ้ำยังเป็นแบบที่เบาบางคล้ายผิวหนังนั้น นิ้วมือพยายามกดลงใกล้บริเวณใต้หัวเข่าอยู่ทว่าลื่นลงไปลื่นลงไปตามธรรมชาติยิ่ง…เขาจำต้องลูบขึ้นไปลูบขึ้นไปหลายๆ รอบ รู้สึกว่าผิวกายของนางยิ่งร้อนผ่าวโดยพลัน ได้ยินนางสูดหายใจลึกล้ำขึ้นมารำไร กลิ่นหอมกรุ่นและไอร้อนล้นทะลักกำจายออกมาจากเส้นผมหลังใบหูอย่างเชื่องช้า เขาถูกความร้อนนี้ลมหายใจนี้กลิ่นหอมนี้โจมตีเสียจนกระจัดกระจาย ทั่วร่างเกร็งแน่น แผ่นหลังมีเหงื่อซึมออกมาเพียงน้อย สมาธิทั้งมวลทอดลงบนปลายนิ้วอย่างตึงเครียด เรื่องที่บางคนใช้ใบหน้าเหยียบย่ำบนไหล่เขา เขาไม่ได้รู้สึกถึงโดยสิ้นเชิง

 

 

รถม้าโลดแล่นอย่างมั่นคง แสงจากนอกรถทะลุผ่านเข้ามาในรถพลันถูกตัดทีละผืนแผ่นหนึ่ง โต๊ะเก้าอี้เครื่องนอนซุกซ่อนในเงามืดเป็นฉากหลังสวยหรูสงบเงียบ คู่ชายหญิงที่โอบกอดซึ่งกันและกันกลับสว่างไสวในลำแสงเหลืองอ่อน ท่าทางที่เขาจับขาของนางงอไว้แล้วขยับลงมาข้างล่างเชื่องช้าคล้ายกำลังร่ายระบำท่วงท่าเชื่องช้าอ่อนช้อย ท่วงท่าที่นางหมอบลงบนไหล่ของเขากลับเปี่ยมด้วยความทุ่มเทและหวั่นไหว พวกเขาคล้ายนักแสดงคู่หนึ่งซึ่งมีฝีมือยอดเยี่ยมลึกซึ้ง ใช้วิธีการแสดงออกที่แตกต่างมาถ่ายทอดอารมณ์ภายในใจ แก่นแท้ของความรู้สึกภายในกลับบรรลุเป้าหมายเดียวกัน

 

 

ลมหายใจในห้องโดยสารกระชั้นก่อนแล้วเชื่องช้าแล้วกระชั้นอีกครั้ง ครู่หนึ่งที่ขาวางลงจนสิ้นแล้วนั้น ทั้งสองคนต่างสั่นสะท้าน จิ่งเหิงปัวเงยหน้าขึ้นอย่างงงงวยอยู่บ้าง กงอิ้นปริปากด้วยเสียงแหบกระด้างเล็กน้อย

 

 

“เจ้า…”

 

 

“ข้า…”

 

 

รถม้าสะเทือนฉับพลัน เดิมทีสองคนยืนเอนเอียงโอบกอดซึ่งกันและกันอยู่แล้ว ซ้ำยังต่างจิตใจเหม่อลอย ร่างยืนไม่อยู่ฉับพลันล้มลงบนที่นั่งดังพลั่ก กงอิ้นทับจิ่งเหิงปัว จิ่งเหิงปัวโอบหลังของเขาไว้

 

 

แว่วเสียงรายงานยาวนานจากเบื้องนอก

 

 

“ราชครูฝ่ายซ้ายเหยียลี่ว์ฉี นำเหล่าข้าราชบริพารในนคร ต้อนรับขบวนเสด็จราชินี!”

 

 

กงอิ้นฟังเสียงหนึ่งนั้นแล้วรู้ว่าแย่แน่ ยืดเอวกำลังจะลุกขึ้น จิ่งเหิงปัวรีบเร่งจะลุกขึ้นเช่นกัน สองคนชนกันเพียงครั้ง ริมฝีปากของจิ่งเหิงปัวพลันกระทบกับติ่งหูของเขา

 

 

ซึ่งเย็นชื้น ซึ่งนุ่มเนียน…

 

 

เรือนร่างของกงอิ้นแข็งทื่อ

 

 

จิ่งเหิงปัวรู้สึกทันทีว่าติ่งหูข้างริมฝีปากร้อนผ่าวขึ้นมา นางแทบจะจินตนาการได้ว่า ติ่งหูของมหาเทพกงในตอนนี้ต้องน่ารักมากแน่นอน ประหนึ่งอิงเถา[1]แดงที่ห่อหุ้มด้วยน้ำแข็ง ความอยากอาหารของนางพวยพุ่ง คิดถึงสภาพเก้อเขินไร้ควบคุมของเขาทันที อดจะกลั่นแกล้งเลียสักหน่อยไม่ได้…

 

 

ยามนี้เองสายลมแรงระลอกหนึ่งพัดเข้ามาสะบัดผ้าม่านรถออกดังเพียะ

 

 

“ว้าว…”

 

 

 

 

[1] อิงเถา เชอร์รี่ ชื่อวิทยาศาสตร์ Cerasus pseudocerasus