ตอนที่ 313 เทพพิทักษ์แห่งฝูซาง

ยอดไทเฮาเขย่าวังหลัง

ใบหน้าของเขาบวมฉึ่งจนไม่น่าดู หลังทำสีหน้าตื่นตะลึง แววประหลาดใจนั้นจึงเลือนหายไปอย่างรวดเร็ว หากไม่ทันสังเกตให้ดีก็คงไม่มีทางมองเห็น

 

 

“เทพโอสถเจียง มาพบเจออย่างกระทันหัน” ตู๋กูซิงหลันคลี่ยิ้มให้กับเขา “ผู้เยาว์เสียมารยาทแล้วเจ้าค่ะ”

 

 

น้ำเสียงของนางน่าฟังอย่างที่สุด เจียงชวี่ปิ้งมองดูโฉมหน้าของนางน้ำเสียงของนาง จิตใจก็พลันล่องลอยออกไป

 

 

ผ่านไปอีกพักใหญ่ เขาถึงได้ถามขึ้นมาว่า “เจ้า…..มีชื่อว่าอะไร?

 

 

“เยี่ยซิงเจ้าค่ะ” ตู๋กูซิงหลันตอบ

 

 

ในเมืองกู่เย่วนี้ เยี่ยซิงคือฐานะและตัวตนของนาง

 

 

“แซ่เยี่ยหรือ?” เจียงชวี่ปิ้งพึมพำกับตนเอง เขาขมวดหัวคิ้วแน่น สายตามิได้ละจากร่างของนางไปที่อื่น

 

 

ตู๋กูซิงหลันพยักหน้าน้อยๆ กล่าวกับเขาโดยมิได้อ้อมค้อมว่า “ขาของผู้เยาว์ปราศจากความรู้สึก จึงคิดจะขอให้เทพโอสถช่วยรักษา มิว่าจะหายได้หรือไม่ ผู้เยาว์ก็ขอจดจำบุญคุณนี้เอาไว้ตลอดไป”

 

 

ชือหลีมองดูอยู่ด้านข้าง ว่ากันตามจริงแล้ว ตู๋กูซิงหลันกำลังเป็นหมาป่าที่หุ้มหนังแกะเอาไว้อยู่ต่างหาก

 

 

เมื่อครู่ตอนที่ทุบตีคนนั้น ยังบอกนางตอนลงมือให้ลงมือหนักเข้าไว้อยู่เลย ตอนนี้กลับเสแสร้งทำตนเป็นผู้น้อย

 

 

สตรีผู้นี้……จุ๊ จุ๊ ไม่สมควรผิดใจโดยง่ายจริงๆ

 

 

“เจ้าเป็นคนต้าโจว ข้าเคยสาบานเอาไว้ว่าชาตินี้จะไม่รักษาคนต้าโจว” เจียงชวี่ปิ้งยังคงยึดอุดมการณ์ของตนเองเอาไว้ เขาพูดพลางก็นวดศีรษะที่ปูดบวมของตนเองไปพลางๆ

 

 

“พูดเหลวไหล ก็เจ้ายังตรวจอาการให้กับคุณหนูในจวนจวิ้นอ๋องอยู่เลย นางเองก็เป็นคนต้าโจวเหมือนกันมิใช่หรือ?” ชือหลีกำหมัดหักข้อนิ้วดังกร๊อบอยู่ภายใต้แขนเสื้อ

 

 

ไอ้เฒ่าผู้นี้มีสองมาตราฐาน ชักจะเกินไปแล้ว

 

 

เจียงชวี่ปิ้งมีสีหน้าหนักใจ “นางไม่เหมือนกัน”

 

 

ชือหลี “มีอะไรไม่เหมือนกัน? ฐานะของนางสูงส่ง หรือเพราะว่าหน้าตางดงามเกินไป?”

 

 

“เยี่ยซิงของพวกเราด้อยกว่านางที่ตรงไหน? เจ้าจะยอมปล่อยให้สาวน้อยที่งดงามเช่นนี้ ต้องขาพิการไปชั่วชีวิตหรือ?”

 

 

เจียงชวี่ปิ้งพึ่งจะถูกต่อยจนยับเยินมา ตอนนี้ยังจะต้องถูกนางตะโกนกรอกหูจนปวดหูไปหมด ก็หันไปเหลือบดูตู๋กูซิงหลันครั้งหนึ่ง เห็นสายตาของนางมีแต่ความสิ้นหวัง

 

 

หัวใจของเขาก็อดที่จะกระตุกไม่ได้ ในที่สุดก็ทนต่อไปไม่ไหว

 

 

เขากวาดตามองดูตู๋กูซิงหลันตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้าครั้งหนึ่ง ก็พบว่าบนร่างของนางมีไอหยินลึกล้ำ ไอหยินกลุ่มนี้ถึงกับมีความคล้ายคลึงกับไอหยินที่อยู่ในร่างของเหลียงเซิงเซิงอย่างยิ่ง

 

 

“เจ้าเองก็ถูกฉู่เจียงทำร้ายมาเหมือนกันรึ?” เขาถามออกไปด้วยความประหลาดใจ

 

 

“เยี่ยซิงเก่งจะตาย นางจะถูกลูกเล่นเหล่านั้นทำร้ายได้อย่างไร?” ชือหลีกรอกตามองบนเข้าใส่ “เป็นเพราะแรงกดดันภายในมิติกาลเวลา และคมดาบของยมราชต่างหาก ถึงได้บาดเจ็บหนักเป็นสองเท่า เพราะเห็นว่าเจ้าเป็นเทพโอสถ พวกเราถึงได้ดั้นด้นมาหลายพันลี้เพื่อมาตามหาเจ้า”

 

 

พอบอกออกไปแล้ว เจียงชวี่ปิ้งก็ถึงกับต้องสูดลมหายใจเข้าไปอย่างเหน็บหนาว

 

 

สามารถรอดมาจากแรงกดดันภายในมิติแห่งการเวลาและคมดาบของยมราช แม่นางน้อยผู้นี้ช่างไม่ธรรมดาเสียจริงๆ

 

 

“ไม่ขอปิดบังแม่นาง เจ้าคล้ายคลึงกับสหายเก่าของเราผู้เฒ่าอย่างมาก ข้าจึงจะฉีกกฏเพื่อคนผู้นั้นสักครั้งแล้วกัน” เจียงชวี่ปิ้งกล่าวไปก็เดินขึ้นมาบนรถม้า นั่งลงตรงข้างกายตู๋กูซิงหลัน

 

 

“แม่นางโปรดยื่นมือออกมา ข้าจะทำการจับชีพจรอย่างละเอียด”

 

 

ตู๋กูซิงหลันรู้ว่าสหายเก่าที่เขาพูดถึงก็คือเย่วฮูหยิน เจียงชวี่ปิ้งเป็นคนในรุ่นบรรพชนของรางวงศ์เจียงแห่งแคว้นกู่เย่ว ที่จริงแล้วขอเพียงนางบอกออกไปว่าตนเองเป็นหลานสาวของเจียงเย่ว ว่ากันตามเหตุและผลแล้ว เขาจะต้องช่วยเหลือนางอย่างแน่นอน

 

 

แต่ตู๋กูซิงหลันกลับไม่อยากเปิดเผยฐานะของตนเอง ไม่ใช่เพราะว่านางไม่เชื่อใจว่าเจียงชวี่ปิ้งจะยอมเห็นแก่การมีสายสกุลร่วมกันจึงช่วยเหลือนาง

 

 

แต่เป็นเพราะว่านางยังไม่ชัดเจนว่าเบื้องหลังของเจียงชวี่ปิ้งยังมีขุมอำนาจใดหรือไม่

 

 

ในขณะที่ยังคงไม่เข้าใจเรื่องทั้งหมดนี้ นางก็จะไม่ยอมเปิดเผยฐานะของตนเองออกไปง่ายๆ

 

 

นางหงายข้อมือยื่นออกไป เจียงชวี่ปิ้งจับชีพจรตรวจดูอย่างละเอียด ทันทีที่ปลายนิ้วสัมผัสโดนนาง หัวคิ้วของเขาก็ขมวดมุ่นขึ้นมา

 

 

ย่ำแย่อย่างยิ่ง

 

 

อีกนิดเดียวชีพจรหัวใจก็จะขาดสะบั้น บอบช้ำภายในมากมาย ทั้งยังไม่ได้ฟื้นฟูกลับมา

 

 

แม่เด็กน้อยนี่ทนมาได้จนถึงตอนนี้ ต้องนับว่าไม่ง่ายดาย

 

 

“กระดูกช่วงเอวหักเส้นเอ็นขาดไปแล้ว ทั้งยังถูกไอหยินกัดกิน ดังนั้นขาของเจ้าจึงได้ปราศจากความรู้สึก หากคิดจะฟื้นฟู ก็มีแต่ต้องดูดซับไอหยาง”

 

 

พอเจียงชวี่ปิ้งกล่าวประโยคนั้นออกมา ชือหลีก็เกือบจะพ่นน้ำลายใส่หน้าเขาแล้ว

 

 

เทพโอสถผู้นี้เป็นตัวปลอมหรือไร?

 

 

ทำไมวิธีรักษาถึงได้เหมือนๆ กันไปหมด ดูดซับธาตุหยางหรือ?

 

 

นางเคยรู้จักพวกนางมารน้อยมาบ้าง พวกนางต่างก็ฝึกฝนวิชาไสยเวทย์ที่ใช้ธาตุหยางมาเสริมธาตุหยินด้วยกันทั้งนั้น อาศัยวิธีดื่มกินพลังธาตุในร่างทั้งหมดของบุรุษมารักษาและบำรุงความงามเพิ่มพูนพลังตบะของตนเอง

 

 

คิดไม่ถึงว่าไอหยางยังสามารถใช้กำจัดไอหยินฟื้นฟูอาการป่วยได้ด้วย?

 

 

“จุดสำคัญคือการสลายไอหยินกลุ่มนั้นออกไป มิเช่นนั้นเส้นเอ็นไม่อาจเชื่อมต่อ พลังจากแรงกดดันภายในมิติกาลเวลากักขังไอหยินเหล่านั้นเอาไว้ที่ช่วงเอว หากไม่มีไอหยางที่แข็งแกร่งก็ไม่อาจสลายไอหยินเหล่านั้นออกไปได้” เจียงชวี่ปิ้งตอบอย่างจริงจัง

 

 

ตู๋กูซิงหลันหรี่ดวงตาลงเทพโอสถผู้นี้พูดไม่ผิด เดิมทีนางก็คิดจะสลายไอหยินของเสินฟางไปด้วยตนเอง แต่ว่าไอหยินกลุ่มนี้รวมอยู่ในจุดที่เส้นเอ็นฉีกขาด ทำให้นางนางหมดหนทางจะสลายออกไป ดังนั้นขาทั้งสองจึงไม่อาจดีขึ้นได้เลย

 

 

แต่ต่อให้สลายไอหยินออกไปได้ คิดจะเชื่อมต่อเส้นเอ็นบริเวณเอวที่ขาดสะบั้นไปก็ยังเป็นเรื่องที่ยากอย่างยิ่ง

 

 

ก็เหมือนกับคนที่เอ็นข้อมือและเอ็นร้อยหวายขาดสะบั้น หากคิดจะเชื่อมต่อใหม่ ก็แทบจะไม่มีความเป็นไปได้

 

 

“เส้นเอ็นที่ขาดไปข้าสามารถรักษาเชื่อมต่อได้ แต่เรื่องไอหยาง….คงจะต้องให้แม่นางเสาะหาดูดซับด้วยตนเองแล้ว”

 

 

ตู๋กูซิงหลันหลุบตาลง “ต้องรบกวนท่านเทพโอสถแล้วเจ้าค่ะ”

 

 

พูดแล้ว นางก็เห็นเจียงชวี่ปิ้งหยิบเอากระดิ่งใบน้อยออกมาจากในอ้อมอกส่งให้กับนาง “หากว่าไอหยินของแม่นางสลายไปได้เมื่อไหร่ ยามที่ต้องการเชื่อมต่อเส้นเอ็น ก็แค่เพียงเขย่ากระดิ่งนี้ ข้าจะกระทำสุดความสามารถ”

 

 

เห็นแก่โฉมหน้านี้ของนาง เขาก็ไม่อาจมองดูความตายโดยไม่ช่วยเหลือ

 

 

ตู๋กูซิงหลันเก็บกระดิ่งเอาไว้ ผงกศีรษะให้กับเขา พลางกล่าวขอบคุณ

 

 

“ไอหยินบนร่างของแม่นางคล้ายคลึงกับไอหยินของยมราชฉู่เจียงอย่างยิ่ง ควรระวังป้องกันอย่าให้ถูกเขาจับสังเกตได้ เพื่อมิให้เกิดความยุ่งยากตามมา” เจียงชวี่ปิ้งรีบตักเตือนเอาไว้ก่อน

 

 

“ดูเหมือนว่าเทพโอสถจะรู้จักคุ้นเคยกับยมราชฉู่เจียงผู้นั้นอย่างดี?” ตู๋กูซิงหลันจดจ้องมองดูเขา “มิทราบว่าพอจะบอกรายละเอียดได้หรือไม่เจ้าคะ?”

 

 

กริยาของนาง น้ำเสียงของนาง ท่าทางที่นางมองมายังตนเอง ทำให้เจียงชวี่ปิ้งหาเหตุผลใดมาปฏิเสธไม่ได้

 

 

เขาสูดลมหายใจเข้าไปลึกๆ ค่อยมองออกไปทางนอกรถม้า ทอดสายตาไกลออกไปยังภูเขาสีแดงลูกนั้น “เจ้าเห็นแล้วใช่ไหม ภูเขาฝูซางซาน?”

 

 

ภูเขาลูกนั้น ยามที่ตู๋กูซิงหลันมาถึงเมื่องกู่เย่วก็ได้เห็นแล้ว

 

 

รอบนอกทั้งหมดมีแต่หมอกสีแดงรายล้อม ราวกับว่าภูเขาทั้งลูกอาบย้อมไปด้วยโลหิต

 

 

“หลายร้อยกว่าปีก่อน ฝูซางยังเป็นภูเขาที่ปราศจากผู้ครอบครอง จำไม่ได้แล้วเหมือนกันว่าเมื่อไหร่กันแน่ อยู่ๆ ก็มีจิตวิญญาณที่แข็งแกร่งอย่างยิ่งมาที่ี่นี่ เขาก็ยึดเอาภูเขาฝูซางซานเป็นบ้านไปเสียแล้ว”

 

 

เจียงชวี่ปิ้งเล่าต่อไป “หลายปีนั้น แคว้นกู่เย่วสงบสุขร่มเย็นมาโดยตลอด ถึงแม้จะมีดวงจิตที่แข็งแกร่งเพิ่มขึ้นมาอีกหนึ่ง ก็ไม่ได้กระทบกระเทือนอะไร และอาจเพราะว่ามีเขาอยู่ ฝูซางซานจึงยิ่งมีพลัง แข็งแกร่งขึ้นเรื่อยๆ ผู้คนรู้สึกได้ว่าฝูซางมีภูติผีที่ยิ่งใหญ่ตนหนึ่ง ก็พากันหมั่นไปกราบไหว้เขา”

 

 

“พอนานเข้า นานเข้า เขาก็กลายเป็นเทพพิทักษ์แห่งฝูซาง”

 

 

“ต่อจากนั้น……”

 

 

พอพูดถึงตรงนี้ สายตาของเจียงชวี่ปิ้งก็มืดครึ้มลงไป “ปฐมกษัตริย์แห่งต้าโจวก็ทำลายล้างแคว้นกู่เย่ว มีบัญชาให้สังหารเหล่าทหารและประชาชน ศพทั้งหมดถูกโยนเข้าไปในส่วนลึกของภูเขา โครงกระดูกมากมายทับถมจนล้น โลหิตไหลเป็นท้องธาร….”

 

 

“ต่อแต่นั้นเป็นต้นมา ฝูซางซานก็กลายเป็นภูเขาผีปีศาจไป”

 

 

ภาพเหล่านั้น ต่อให้ไม่ได้เห็นด้วยตาของตนเอง ก็ยังทำให้คนฟังต้องหวาดผวา

 

 

“ภูเขาฝูซางเป็นของฉู่เจียง แต่เมื่อมีวิญญาณแค้นของคนตายมากมายสุ่มอยู่ในฝูซาง ไอแค้นพวยพุ่งขึ้นฟ้า ต่อให้เป็นผู้ที่แข็งแกร่งอย่างเขาก็ยังต้องถูกไอแค้นเหล่านั้นอาบย้อม”

 

 

 

 

——

 

 

คุยกันนิดนึง

 

 

扶桑 (ฝูซาง) : = ชื่อนี้มาจากดินแดนลึกลับในวรรณกรรมจีน เล่ากันว่าอยู่สุดทางทิศตะวันออกของมหาสมุทร เกิดจากต้นไม้ยักษ์สองต้น