เครือข่ายของผู้มีความอัจฉริยะ

 

ซูจิ้งไม่ได้สนใจโลกภายนอกว่าจะพูดถึงเขาเรื่องอะไรหรือจะก่อวอดอะไรก็ตาม

แม้ว่าพวกเขาจะคาดการณ์สาเหตุต่างๆนานาว่าทำไมเขาถึงได้พัฒนาตัวเองเร็วขนาดนี้ได้

ต่อให้รู้ความจริงแล้วพวกเขาจะทำอะไรได้ ไม่มีทางมีสถานีกำจัดขยะห้วงเวลาและกาลอวกาศจะอยู่ๆไปโผล่อยู่หลังบ้านพวกนั้นแบบเขาอย่างแน่นอน

ซูจิ้งในตอนนี้มีความสุขอยู่กับเงินที่ได้จากโรงประมูลห้วงเวลาฯ ของเขา ไม่เพียงแต่จะได้เงินมากกว่าที่คิด

แถมเขายังไม่ต้องเสียค่าธรรมเนียมอีกด้วย

นั่นทำให้เขาเริ่มคิดว่าถึงเวลาเขาที่จะขยายกำลังการผลิตปฏิสสารได้สักที

 

ในตอนนี้สินค้าของเขาทุกอย่างล้วนแล้วแต่มีการพัฒนาอย่างรวดเร็ว

ผลกำไรที่ได้จากแผงพลังงานแสงอาทิตย์ การขายของขวัญ เสื้อกันกระสุนใยแมงมุม แป้งเม่ยหยาน ร้านขายเสื้อผ้า การท่องเที่ยว ซอสมะเขือเทศ ไวน์จิ้งจอกแดง สุดยอดไวน์ ร้านอาหาร เทียนคงเฉาหยู ผงลดน้ำหนัก ฟาร์มม้า ฯลฯ ได้สร้างผลกำไรให้กับเขามากกว่า 400 ล้านหยวนต่อเดือน บางเดือนก็ได้ 500 ล้านหยวนด้วยซ้ำ

ยิ่งรวมกับเงินที่ได้จากโรงประมูลทำให้รายได้ต่อเดือนมากอย่างไม่ต้องนับ

เงินที่ใช้ลงไปกับการสร้างปฏิสสารตอนนี้อยู่ที่ประมาณ 500 ล้านหยวนต่อเดือนซึ่งรายได้ตอนนี้ถือได้ว่าค่อนข้างเกินดุลอยู่บ้าง ถ้าหลังจากขยายกำลังการผลิตแล้วทำให้สถานีกำจัดขยะเพิ่มระดับได้ก็ถือว่าคุ้มค่าแล้ว

 

อย่างไรก็ตามตอนนี้ซูจิ้งกำลังเผชิญปัญหาสำคัญปัญหาหนึ่งอยู่

ถึงแม้ว่าการผลิตปฏิสสารจะเป็นระบบอัตโนมัติก็ตาม แต่ยังไงซะก็ต้องมีคนคอยตรวจสอบกระบวนการทำงานอยู่ดี เพราะกระบวนการผลิตชอบมีปัญหาเล็กๆน้อยๆอยู่บ่อยครั้ง

ด้วยเหตุนี้ ทั้งปันฉางและมนุษย์ต่างดาวต้องวุ่นวายอยู่ตลอดเวลา ถ้าขยายกำลังการผลิตตอนนี้ทั้งสองต้องวุ่นวายทั้งวันทั้งคืนเป็นแน่ คงจะต้องหาใครซักคนมาช่วยงานเพิ่มก่อน

แต่ไม่ว่าจะเป็นเรื่องมนุษย์ต่างดาว หรือการผลิตปฏิสสารก็ตาม

ทั้งสองเรื่องนี่ไม่อาจจะให้คนทั่วไปรู้เรื่องได้อย่างไม่ต้องสงสัยต้องเป็นคนที่เชี่อใจได้เท่านั้น แถมคนๆนั้นยังต้องมีความรู้เรื่องปฏิสสารมาช่วยทำงานเพิ่มอยู่ดี

ช่างเป็นเรื่องน่าปวดหัวจริงๆ จะไปมีทางหาคนที่มีความสามารถและยอมรับอะไรง่ายๆอย่างปันฉางได้ที่ไหนอีก

 

ซูจิ้งพลางนึกถึงรายชื่อเหล่าอัจฉริยะที่เขาเคยได้มาก่อนหน้านี้จากโจวเทียนรุยจึงได้นำมันออกมา

ถึงแม้เขาจะให้เสี่ยวหยวนช่วยทำรายชื่อจากอินเตอร์เน็ตให้เขาแล้ว แต่รายชื่อพวกนั้นยังไม่ทำให้เขาเจอคนที่เหมาะสมอยู่ดี ตอนนี้เขาได้ตัดสินใจโทรหาโจวเทียนรุย

โจวเทียนรุยรับโทรศัพท์ทันทีที่เห็นว่าเป็นซูจิ้งพร้อมพูดออกมาด้วยรอยยิ้มว่า “คุณซู ลมอะไรทำให้คุณยกโทรศัพท์โทรมาหาผมได้เนี่ย”

ซูจิ้งยิ้มแล้วตอบไปว่า “ผมโทรไปกวนรึเปล่า”

โจวเทียนรุยตอบมาว่า “การทำงานกับคุณผมไม่ถือว่าเป็นการกวนเลยซักนิด ยินดีซะด้วยซ้ำไป มุมมองทางธุรกิจของคุณสุดยอดจริงๆ แต่ด้วยเรื่องนี้ทำให้หลายๆฝ่ายเริ่มเพ่งเล็งไปทางคุณแล้วนะ ถึงแม้ตอนนี้คุณจะเป็นคุณชายสี่แห่งตระกูลหวังแล้วก็ตาม แต่มันก็ยังรับประกันไม่ได้ว่าจะไม่มีคนก่อเรื่องอยู่ดี คุณเองก็ระวังตัวหน่อยละกัน”

ซูจิ้งพูดด้วยรอยยิ้มออกมาว่า “ขอบคุณที่เตือนผมนะ ผมจะคอยระวังตัวไว้ ที่ผมโทรมาวันนี้พอดีจะมีเรื่องรบกวนหน่อยนะ รายชื่อเหล่าอัจฉริยะที่ได้มาจากคุณครั้งก่อนช่วยผมได้มากเลย ไม่รู้ว่าคุณได้ปรับปรุงรายชื่อรึยัง ถ้ามีช่วยบอกผมหน่อยสิ”

“ผมก็พอนึกออกนะว่าคุณจะนำรายชื่อของผมไปใช้ประโยชน์ได้แต่ผมไม่คิดว่าคุณจะสามารถชนะใจสามคนนั้นได้เร็วขนาดนี้เหมือนกัน ทั้งปันฉาง เทาจง และเฉิงหนาน ผมนี่ทึ่งในความสามารถของคุณจริงๆ

คุณนี่ต้องการไล่จับเหล่าอัจฉริยะ​ของโลกใบนี้ให้หมดเลยซินะ” โจวเทียนรุยถอนหายใจออกมา ที่จริงเขาไม่ได้รู้จักแค่สามคนนั้นหรอก แต่เขายังรู้จักอีกคนหนึ่ง มีอีกคนหนึ่งแต่เขานั้นได้หลุดจากโพหลายชื่อไปด้วยเหตุผลบางอย่าง

โจวเทียนรุยชะงักไปซักครู่หนึ่งก่อนจะพูดออกมาว่า “ผมยังรู้จักอยู่อีกคนหนึ่ง แล้วก็ผมนั้นปรับปรุงรายชื่อนั้นแล้วจริงๆ เอางี้แล้วกันผมขอส่งข้อมูลอัจฉริยะคนที่สี่ให้คุณก่อนแล้วกัน ส่วนคนที่เหลือผมขอเป็นคนคุยก่อนแล้ว

ถ้าพวกเขาไม่ยอมร่วมงานกับผม ผมถึงจะส่งข้อมูลพวกเขาให้คุณ ถึงแม้บางคนจะไม่สามารถเรียกได้ว่าอัจฉริยะ แต่ก็ถือได้ว่าเป็นคนมีความสามารถสูงอยู่ดี คุณคิดว่าเป็นยังไง”

“ขอบคุณมาก” ซูจิ้งบอกขอบคุณไปอย่างดัง โจวเทียนรุยรู้จักวิธีการการดูคนจริงๆ แถมยังดูเฉพาะคนที่เก่งจริงๆซะด้วย เหมือนกับว่าเขานั้นเป็นนักล่าสมบัติที่ออกตามหาสมบัติมาเก็บสะสมแต่โจวเทียนรุยเปลี่ยนจากสมบัติมาเป็นตามหาคนเก่งๆแทน

 

ด้วยการที่ตระกูลโจวมุ่งเน้นในการหาคนเก่งๆ และเหล่าอัจฉริยะเพื่อมาทำงานให้ ด้วยวิธีการนี้จะทำให้ตระกูลโจว สามารถพัฒนาได้อย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพ ในไม่ช้าจะมีความสามารถแข่งขันกับสี่ตระกูลใหญ่แห่งเมืองจงหยุนได้อย่างแน่นอน และบางทีอาจจะเหนือการในไม่นานนัก

 

ซูจิ้งคิดถึงเรื่องที่เขาเองก็พอที่จะหาคนเก่งที่มีความสามารถสูงมาได้เหมือนกัน คนแรกเว่ยเสี่ยวหยวนที่ทำหน้าที่ในการรวบรวมข้อมูลข่าวสาร

อย่างไรก็ตามความสามารถของเธอนั้นก็ยังมีขีดจำกัด(เก่งเฉพาะข้อมูลในเน็ต) เพราะว่าเธอทำงานคนเดียว ยังดีหน่อยที่เธอเป็นเจ้านายตัวเองทำให้ไม่ต้องวุ่นวาย แถมยังสามารถขอให้ซูฉือช่วยได้ในบางครั้ง

 

หลังจากวางสายไม่นาน โจวเทียนรุยได้ส่งข้อมูลมาให้ ข้อมูลที่เขาได้รับคราวนี้ได้มามากกว่าคราวก่อน ซึ่งแน่นอนว่ามีข้อมูลของคนที่มีความสามารถมากกว่าคราวก่อนเช่นกัน

ส่วนใหญ่ถึงแม้จะไม่สามารถเรียกว่าเป็นอัจฉริยะได้แต่ก็ยังถือว่ามีความสามารถอยู่ดี แต่หนึ่งในนั้นมีการทำเครื่องหมายว่าเป็นยอดอัจฉริยะ

“นี่คือ.. ” ซูจิ้งตาส่องเป็นประกายในทันทีที่เห็นสัญญาลักษณ์ที่ทำไว้ ชายวัยกลางคนคนนี้ชื่อหลัวเทียนฟู่

ในรูปเขาไว้หนวดทำให้ดูเหมือนคุณลุงข้างบ้านซะมากกว่า แต่เขาต้องรู้สึกตกใจทันทีที่เห็นประวัติ

ชายคนนี้เข้าเรียนที่ ม.ปักกิ่งตั้งแต่อายุ 13 ปี และจบ ดร. ตอนอายุ 19 ปี หลังจากนั้นได้เข้าร่วมสถานีวิจัยนิวเคลียของสถาบันวิทยาศาสตร์ประเทศจีนเป็นเวลา 5 ปี

ในช่วง 5 ปีนั้นเขาทำผลงานไว้หลายอย่าง เขาได้รับสิทธิบัตรจากงานวิจัย 2 ชิ้น หลังจากนั้นเขาถูกดึงตัวให้ไปทำงานกับสถาบันวิจัยเอกชนแห่งหนี่งพร้อมได้เงินเดือนที่สูงลิ่วและดำรงตำแหน่งผู้อำนวยการสถาบันวิจัยแห่งนั้น

ที่นั่นเขายังคงสร้างผลงานวิจัยออกมาอย่างต่อเนื่อง และแต่ละชิ้นสร้างความสั่นสะเทือนให้กับวงการวิทยาศาสตร์ทั้งนั้น

และในตอนนี้เองเขามีความสนใจในการทำวิจัยเกี่ยวกับปฏิสสารจนถือได้ว่าเป็นผู้เชี่ยวชาญคนหนึ่ง

 

“มันคงจะเป็นเรื่องที่ดีแหะถ้าฉันได้หลัวเทียนฟู่มาร่วมงาน” ซูจิ้งเริ่มเตรียมตัวในทันทีพลางนึกถึงเรื่องที่เคยคิดค้างเอาไว้

เครื่องผลิตปฏิสสารถึงแม้จะถูกคุมด้วยมนุษย์ต่างดาวอยู่ในตอนนี้แต่มันก็ยังต้องการผู้ช่วยสักคนมาช่วยงาน

และคนๆนั้นต้องเป็นอัจฉริยะหรือไม่ก็ใครซักคนที่เข้าใจเรื่องพวกนี้มาคอยสนับสนุนงานซักครึ่งวันก็ยังดี

ถ้าเอาคนที่ไม่รู้เรื่องมาทำงานล่ะก็ได้เกิดความโกลาหลอย่างแน่นอน และจากในรายชื่อพวกนี้ ตอนที่เขาลองเปิดดูเมื่อกี้เขานั้นยังไม่เห็นใครที่มีความเหมาะสมเท่ากับหลัวเทียนฟู่

ถ้าได้หลัวเทียนฟู่มาเขาจะได้ดำเนินการขยายกำลังการผลิตปฏิสสารได้ซักที

ตอนที่ซูจิ้งดูข้อมูลต่อไปนั้นเขานั้นถึงกับตกใจกับความสามารถของหลัวเทียนฟู่ ตอนนี้เขาเปลี่ยนใจแล้ว

ไม่แค่พยายามดึงตัวมาทำงานแต่ต้องเอาตัวมาให้ได้ นั่นก็เพราะว่าชายคนนี้ไม่ใช่แค่พอรู้จัก

แต่พูดได้ว่าเขาเข้าใจอย่างถ่องแท้ถึงจะเป็นเพียงในทางทฤษฎีก็ตาม

ถ้าพูดตรงๆชายคนนี้อยู่ห่างจากความลับในเรื่องปฏิสสารอีกเพียงไม่กี่ก้าวเท่านั้น

เมื่อตัดสินใจได้ซูจิ้งจึงหารายละเอียดเกี่ยวกับที่ทำงานปัจจุบันของหลัวเทียนฟู่ทันที แต่ทันทีที่เขาห้องถึงกับต้องนิ่งไปเล็กน้อย ไม่นานนักเขาก็ยิ้มกว้างออกมาก่อนจะพูดลอยๆว่า

“งานนี้ง่ายกว่าหาเงินอีกนะเนี่ย” ซูจิ้งมีความสุขขึ้นมาทันทีเมื่อเห็นชื่อสถาบันวิจัยที่หลัวเทียนฟู่ทำงานอยู่ นั่นก็คือสถาบันวิจัยผลิตภัณฑ์ที่อยู่ภายใต้ร่มธงของตระกูลเฉียน

ถึงแม้จะไม่ใด้อยู่ภายใต้การดูแลของผู้เฒ่าเฉียนโดยตรงแต่ก็เป็นหลานของเขา

ถึงแม้การทำอย่างนี้จะทำให้ตระกูลเฉียนเสียประโยชน์แต่ตระกูลเฉียนก็คงจะยังไว้หน้าเขาอยู่บ้าง

อีกอย่างคือหลานของผู่เฒ่าเฉียนคนนี้จ่ายค่าตัวเหลาเทียนฟู่ด้วยจำนวนเงินที่สูงมาก ซูจิ้งไม่อยากต้องจ่ายเงินเกทับมากมายขนาดนั้นเพื่อซื้อตัวเหลาเทียนฟู่มา

สิ่งที่เขาอยากทำก็แค่เปิดปากพูดนิดหน่อยแล้วอีกฝั่งยอมยกให้เหมือนสิงโตที่แค่อ้าปากก็มีคนกระโจนเข้าไปในทันที

ดังนั้นซูจิ้งจึงตัดสินใจไม่โทรหาผู้เฒ่าเฉียนแต่เลือกที่จะโทรหาเฉียนไจบิงแทน แต่เธอไม่ยอมรับสาย ซูจิ้งจึงได้โทรหาเฉียนหยินหนิงแทนอีกที เฉียนหยินหนิงได้รับด้วยรอยยิ้มพร้อมพูดออกไปทันทีว่า “ว่าไงคะท่านเทพ”

 

“ห้ะ อย่ามาเรียกผมว่าเทพนะ คุณกล้าเรียกผมอย่างนั้นได้ยังไงเนี่ย” ซูจิ้งเมื่อได้ยินก็ไม่รู้ว่าจะหัวเราะหรือร้องไห้ดี เธอเองก็ชอบเอาเรื่องนี้มาพูดเล่นซะจนติดเป็นนิสัยไปแล้วซูจิ้งได้ถามหลังจากโวยไปว่า “ผมมีเรื่องต้องกวนคุณหน่อย คุณพอจะรู้จักเจ้าของสถาบันวิจัยทางกายภาพที่ชื่อเฉียนจานฮวงมั่งรึเปล่า”

 

“รู้จักนะทำไมหรอ” เฉียนหยินหนิงได้ถามกับด้วยความสงสัย

 

“จะเป็นอะไรไหมถ้าผมอยากจะให้คุณแนะนำผมให้เขารู้จัก” ซูจิ้งถาม

 

“ไม่มีปัญหาอยู่แล้วน่า เขาเป็นลุงสุดที่รักของฉันเองและเราก็สนิทกันมากเลยนะ ตอนนี้ฉันว่างพอดี แล้ววันนี้เขาก็น่าจะว่างด้วยเหมือนกัน ถ้างั้นไปหาเขากันเลยไหม” เฉียนหยินหนิงถามด้วยรอยยิ้ม

 

“ดีเลยขอบคุณมาก” ซูจิ้งตอบรับด้วยรอยยิ้ม หลังจากนัดแนะสถานที่กัน ซูจิ้งได้ขับรถไปยังเมืองข้างๆเพื่อที่จะนั่งรถไฟหัวกระสุน ระหว่างนั้นเขาได้รับโทรศัพท์จากเฉียนไจบิง หลังจากเล่าเหตุการณ์ไปให้ฟัง ไจบิงเองก็บอกว่าจะไปด้วยเหมือนกันดูเหมือนแค่เฉียนหยินหนิงคนเดียวจะไม่พอจริงๆแหะ