บทที่ 626 เพื่อนที่ดีในชาติที่แล้ว

ข้าคือเขยผู้ยิ่งใหญ่

พอเห็นชายฉกรรจ์วิ่งเข้ามา เย่เทียนที่รออยู่นานก็ได้ทำการถีบใส่

ชายฉกรรจ์คนนั้นไม่คาดคิดว่าเย่เทียนจะหลบอยู่บนคอมเพรสเซอร์แอร์ ด้วยความที่ไม่ทันระวัง ใบหน้าของเขาก็ถูกเย่เทียนถีบเขาอย่างจัง จนร่างกายถึงกับถอยหลังไปหลายก้าวอย่างช่วยไม่ได้

แต่ เย่เทียนไม่ได้ปล่อยเขาไปแค่นี้ พุ่งเข้ามาจากทางระเบียงอย่างรวดเร็ว กำปั้นที่ใหญ่เท่ากระทะได้กระแทกลงบนกระบาลของชายฉกรรจ์

ชายฉกรรจ์ที่น่าสงสารยังไม่ทันได้ทรงตัว ตรงหัวก็ถูกหมัดของเย่เทียนชกใส่อีกครั้ง รู้สึกหน้ามืดทันที แล้วล้มลงกับพื้นสลบไปเลย

ในเวลาเดียวกัน ชายฉกรรจ์ที่จี้คุนไท่อยู่ตรงหน้าประตูก็ได้รู้ตัว รีบยกมือขึ้นมาแล้วยิงใส่เย่เทียนไปสองนัด

เย่เทียนเห็นแล้วแต่กลับทำเหมือนไม่เห็น พุ่งตรงไปยังชายฉกรรจ์ราวกับภูตผี

ปั้งปั้ง!

กระสุนสองนัดถูกหยุดเอาตรงหน้าเย่เทียนอย่างน่าประหลาด มีเกราะที่พอเห็นรางๆ ปกคลุมเย่เทียนเอาไว้ ซึ่งมันก็คือโล่ทิพย์ป้องกันกายนั่นเอง!

สีหน้าของชายฉกรรจ์เปลี่ยนไปทันที แต่เย่เทียนก็พุ่งมาอยู่ตรงหน้าเขาแล้ว และได้แทงเข่าใส่ท้องของชายฉกรรจ์อย่างแรง

“โอ้ย!”

ชายฉกรรจ์โอดครวญออกมาด้วยความเจ็บปวด ความเจ็บปวดอันมหาศาลทำให้เขาถึงกับต้องงอตัว งอตัวจนเหมือนกับกุ้งตัวหนึ่ง

“ผมเพิ่งลงเครื่องมาไม่นาน พวกคุณก็ส่งของขวัญชิ้นใหญ่มาให้ผมแล้ว ถ้าผมไม่คืนให้พวกคุณบ้าง เดี๋ยวจะหาว่าผมขี้งกเอาใช่มั้ย?”

เย่เทียนพูดด้วยน้ำเสียงที่เคร่งขรึม กำปั้นอันเท่ากระทะได้กระหน่ำใส่ร่างกายของชายฉกรรจ์ราวกับห่าฝน

ผ่านไปไม่นาน ชายฉกรรจ์ก็ถูกเย่เทียนอัดจนเละเป็นโจ๊ก นอนปวกเปียกอยู่บนพื้น ส่งเสียงโอดครวญเบาๆ ด้วยความเจ็บปวด

“แน่นอนว่า นี่ถือเป็นการออมมือของเย่เทียนแล้ว ก่อนที่จะรู้ว่าสองคนนี้ถูกใครส่งมา จึงจะยังฆ่าไม่ได้แน่นอน”

“คุณน่าจะเป็นคุนไท่สินะ?”

หลังจัดการกับตัวรับกระสุนสองคนนั้นแล้ว เย่เทียนก็ปัดมืออย่างสบายๆ จัดเสื้อที่ยุ่งเหยิงนิดหน่อย ถึงได้หันมองไปยังชายผิวดำที่ยืนช็อกอยู่ตรงหน้าประตู

“ชะ ใช่ครับ!”

คุนไท่ถึงตั้งสติได้ จึงรีบพยักหน้าราวกับลูกไก่ที่กำลังจิกเม็ดข้าว กลัวแต่เย่เทียนจะเข้าใจเขาผิดว่าเป็นศัตรู

พอเย่เทียนได้เห็นอย่างนั้น จึงได้ส่ายหน้าอย่างจนใจ หมุนตัวเเล้วกลับไปในห้อง และถามไปว่า “คุณไม่มีธุระอะไรใช่มั้ย?”

“ตะ ตอนนี้ยังไม่มี”

คุนไท่ที่อยู่นอกห้องทำหน้าขมขื่น รีบยกมือทั้งสองข้างขึ้น แล้วเดินเข้ามากลางห้อง

แต่ ที่เดินเข้ามาไม่ได้มีแค่คุนไท่คนเดียว ด้านหลังของเขายังมีชายฉกรรจ์อีกสิบกว่าคนตามเข้ามาด้วย ในมือของทุกคนต่างพกอาวุธมาหลากหลายรูปแบบ หนึ่งในนั้นยังมีคนถือเครื่องยิงลูกระเบิดมาด้วย!

เย่เทียนที่หันหลังให้ประตูรู้สึกถึงความผิดปกติ จึงรีบหมุนตัวกลับมา พอเห็นสิ่งที่อยู่ข้างหลัง มุมปากก็กระตุกขึ้นมาอย่างแรง และได้ยกมือทั้งสองข้างขึ้นมาเหมือนกัน

“ทุกคนต่างก็เป็นคนมีการศึกษา มีอะไรก็มานั่งคุยกันดีๆได้ ไม่เห็นต้องใช้อาวุธเลยนี่”

นี่มันก็เป็นเรื่องที่ช่วยไม่ได้ ถึงแม้ตอนนี้เขาจะฝึกพลังชั้นเจ็ดแล้ว แต่เมื่ออยู่ต่อหน้าอาวุธสงครามพวกนี้ คิดว่าโล่ทิพย์ป้องกันกายอย่างมากก็น่าจะกันได้แค่ห้าวิเท่านั้น เมื่อเวลาผ่านไป เขาก็หนีชะตาที่จะถูกยิ่งเป็นพรุนไม่ได้

“ตอนนี้แกมาบอกว่าเป็นคนมีการศึกษาอย่างนั้นเหรอ? เมื่อกี้ตอนเล่นงานคนของฉันแกก็เล่นซะสนุกเล่นไม่ใช่รึไง?”

น้ำเสียงที่แฝงด้วยความเยาะเย้ยดังมาจากนอกห้อง ตอนที่เย่เทียนกำลังรู้สึกว่าคุ้นหูอยู่นั้น ตรงหน้าประตูก็มีหญิงสาวหน้าตาสะสวย หุ่นแซ่บใส่รองเท้าส้นสูงกำลังเดินเข้ามา

“ฟะ ฟู่เซิ่งหนาน?”

พอเห็นหญิงสาวที่พุ่งเข้ามาในห้อง สีหน้าของเย่เทียนก็ดูประหลาดขึ้นมา แล้วพูดด้วยรอยยิ้มที่เยาะว่า “ช่างบังเอิญจริงๆ เลย ไม่นึกเลยว่าจะเจอคุณตรงนี้”

แต่ว่า การทำตัวของเย่เทียนกลับทำให้ฟู่เซิ่งหนานขมวดคิ้วขึ้นมาอย่างแรง ดวงตาที่เป็นประกายคู่นั้นได้จ้องมองเย่เทียนจากหัวจรดเท้าไปหลายรอบ แต่ก็ยังปิดปากไม่พูดอะไร

การปรากฏตัวของฟู่เซิ่งหนานนั้นอยู่นอกเหนือความคาดหมายของเย่เทียน ด้วยผลกระทบจากความทรงจำของชาติที่แล้ว ทำให้น้ำเสียงที่พูดนั้นเป็นเหมือนเพื่อนที่ไม่ได้เจอกันหลายปี

แต่ในความเป็นจริงแล้วในชาตินี้ นี่เป็นครั้งแรกที่ทั้งคู่ได้เจอกัน ฟู่เซิ่งหนานไม่ได้รู้สึกอะไรขนาดนั้น!

“ดูท่า แกจะคุ้นเคยกับฉันมากเลยนะ!”

หลังจากที่พิจารณาเย่เทียนไปพักหนึ่ง ฟู่เซิ่งหนานถึงได้พูดด้วยน้ำเสียงที่เคร่งขรึมว่า “แต่ว่า ทำไมฉันถึงรู้สึกจำแกได้แค่การติดต่อกันทางอินเทอร์เน็ตเพียงไม่กี่ครั้งเท่านั้น? นี่แกกำลังแอบตามฉันมาตลอดใช่มั้ย!”

พูดถึงตอนท้าย น้ำเสียงของฟู่เซิ่งหนานก็ถึงขั้นตะโกนแล้ว ราวกับถ้าคำตอบของเย่เทียนไม่ถูกใจ เขาก็จะสั่งให้ลูกน้องเหนี่ยวไกทันที

ความจริงแล้ว เรื่องนี้มันได้ฝังอยู่ในใจของฟู่เซิ่งหนานมาพักใหญ่แล้ว

ตั้งแต่ครั้งแรกที่เย่เทียนสามารถตามหาเธอเจออย่างง่ายดาย เธอก็เริ่มรู้สึกสงสัยแล้ว แต่หลังจากที่ตรวจสอบเย่เทียนมาพักใหญ่ แต่กลับไม่ได้ข้อมูลอะไรที่เกี่ยวข้องเลย

และด้วยเหตุนี้ ตอนนี้เธอสืบจนรู้ว่าเย่เทียนกำลังจะเดินทางมาที่สามเหลี่ยมทมิฬ จึงรีบเดินทางมาทันที เพื่ออยากถามกับเย่เทียนให้กระจ่าง

เนื่องจาก เย่เทียนรู้จักเธอมากขนาดนี้ ถ้าเป็นเจตนาที่จงใจของศัตรู บทสรุปที่จะออกมาแค่คิดก็รู้แล้ว!

“แคร็กแคร็ก…..”

พอเย่เทียนได้ยินอย่างนั้น สีหน้าก็เปลี่ยนไปทันที แอบพึมพำว่าซวยแล้ว และเข้าใจขึ้นมาทันที จึงได้ทำเป็นไอไปสองทีเพื่อกลบเกลื่อนความร้อนรน แล้วพูดพร้อมฝืนยิ้มไปว่า “ไม่ใช่ ผมจะไปแอบจับตาดูคุณได้ยังไง?”

ฟู่เซิ่งหนานยิ้มออกมาอย่างไม่ชอบใจ “ไม่ใช่เหรอ? งั้นแกก็ควรมีคำอธิบายกับฉันหน่อยจริงมั้ย?”

“คือว่า…..” เย่เทียนพูดไม่ออกทันที หันมองเหล่าชายฉกรรจ์ที่พร้อมจะเหนี่ยวไกพวกนั้น จึงได้ฝืนยิ้มออกไปว่า “พูดแล้วเรื่องมันก็ยาว คุณให้คนของคุณออกไปก่อนดีมั้ย แล้วเราสองคนมานั่งคุยกันดีๆ เอามั้ย?”

ฟู่เซิ่งหนานเดินไปนั่งลงที่โซฟา “ไอ้คุยมันก็ต้องคุยอยู่แล้ว!”

พอเย่เทียนได้ยินอย่างนั้น หัวใจที่คาอยู่ตรงคอก็ได้ผ่อนคลายลงไปมาก แล้วรีบหันไปบ่นกับชายฉกรรจ์ที่อาวุธครบมือเบาๆ ว่า “พวกคุณยังจะยืนบื้ออยู่ทำไม? ไม่ได้ยินที่ผมบอกว่าจะคุยกับหัวหน้าของพวกคุณตามลำพังรึไง? ยังไม่รีบออกไปอีก!”

ชายฉกรรจ์สิบกว่าคนไม่ขยับเขยื้อน ราวกับมีรากงอกออกมาที่ขา ฝังลึกเข้าไปในดินไม่แม้แต่จะขยับ!

เย่เทียนที่เห็นแบบนั้น ก็ต้องหันมองไปยังฟู่เซิ่งหนานที่นั่งทำหน้าจะยิ้มไม่ยิ้มอยู่บนโซฟา

“ฉันรู้สึกคอแห้งนิดหน่อย”

ทำไมฟู่เซิ่งหนานจะไม่เข้าในที่เย่เทียนต้องการจะสื่อ แล้วเธอจะปล่อยให้ลูกน้องของตัวเองออกไปได้ยังไง?

“โอเค เดี๋ยวผมจะไปรินเหล้าให้เดี๋ยวนี้!”

เย่เทียนตอบรับไปคำหนึ่ง จากนั้นทำทีว่าจะไปเอาเหล้า

แต่ความจริงแล้ว เย่เทียนได้แอบมองไปที่หน้าต่าง คำนวณระยะห่าง

แต่ฟู่เซิ่งหนานก็สังเกตเห็นการกระทำของเย่เทียน ดวงตาเกิดเป็นประกาย แล้วพูดเย้ยไปว่า “ในห้องของแก แม้แต่เคาน์เตอร์เหล้าก็ยังไม่มี แล้วแกจะไปเอาเหล้าจากไหนมาให้ฉัน?”

ทันทีที่คำพูดของฟู่เซิ่งหนานสิ้นสุด เย่เทียนก็รีบขยับขา พุ่งไปทางหน้าต่างอย่างรวดเร็ว

แต่พอเขาวิ่งไปถึงหน้าต่าง ก็ได้มีเสียงซิ่วพร้อมกับลำแสงที่เยือกเย็นพุ่งมาจากนอกหน้าต่าง

เย่เทียนรู้สึกตกใจ ขยับขาเพื่อหลบออกจากการลอบโจมตีที่มาจากทางหน้าต่าง แต่สุดท้ายมันก็ช้าเกินไป

ลำแสงที่เยือกเย็นได้กระทบเข้าไปที่ไหล่ของเย่เทียน แต่มันกลับไม่ได้รู้สึกเจ็บแต่อย่างใด มีเพียงความรู้สึกชาที่วิ่งไปทั่วร่าง รู้สึกขาอ่อนแล้วล้มลงกับพื้น

“ไม่ต้องห่วง แกไม่ตายหรอก นี่เป็นแค่ยาชา!”

ฟู่เซิ่งหนานที่เห็นอย่างนั้น ก็ได้เดินมานั่งลงตรงหน้าของเย่เทียน “เพราะยังไง ฉันก็มีคำถามมากมายที่อยากถามแกอยู่แล้ว!”