รยูฮาขมวดคิ้วเล็กน้อยในขณะที่นึกถึงช่วงเวลานั้นและพูดอะไรไม่รู้ไปเรื่อย ในตอนนั้น คนสี่คนเดินทางไปพร้อมกับเพื่อตามหาคนสองคน สถานที่ที่มีความทรงจำของชานกับมินอาหลงเหลืออยู่คือพระราชวัง และ…แสงวาววับก็ส่องเข้ามาในดวงตาของรยูฮา จนขนตากะพริบอย่างรวดเร็วราวๆ สองครั้ง
“ที่นั่นไง ข้าว่ามินอาน่าจะไปทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือ”
“ตะวันตกเฉียงเหนือ? นางจะไปที่ราบกว้างใหญ่แบบนั้นทำไมขอรับ”
“เพราะมีร่องรอยของอดีตองค์ชายอยู่ที่นั่นไงล่ะ”
เส้นทางที่ชานเดินทางผ่าน โรงเตี๊ยมที่ชานแวะ เหล่าราษฎรที่ชานดูแล ใช่แล้ว ถ้าตัวเองมองในมุมของมินอา หากฮอนตายไป ตัวเองก็คงจะตามหาไออุ่นของพ่อด้วยกันกับลูกในท้องเหมือนกัน ในที่สุดก็มีป้ายบอกทางปักอยู่ในการเดินทางอันสิ้นหวัง
“ไปรอก่อนเลยดีหรือไม่”
“ไม่ได้ขอรับ ระหว่างที่มินอาเดินทางไกลเพียงลำพัง อาจจะเกิดเรื่องอะไรขึ้นก็ได้”
รยูฮายิ้มแย้มและหยิบกับแกล้มเข้าปาก แม้จะไม่ใช่สายเลือดเดียวกันแต่ก็เป็นทั้งพี่ชายน้องสาวและอาจารย์กับลูกศิษย์ ถึงจะบ่นแต่โฮจินก็คงจะเป็นห่วงมินอาอยู่ในใจไม่น้อยทีเดียว
“ถ้าอย่างนั้นออกไปตามหามินอาก่อน แล้วไหนๆ ก็จะไปถึงที่นั่นแล้ว เจ้าก็ไปรับแชยอนที่ฮเยกุกด้วยเลยแล้วกัน”
“เฉลียวฉลาดมากขอรับ”
รอยยิ้มที่ดูมีความสุขอย่างแท้จริงปรากฏขึ้นบนปากของโฮจินที่ถ้าไม่หยอกเล่นอยู่ตลอดเวลาก็ยิ้มเยาะ เขามักจะเย้าแหย่ทุกคนไม่ว่าจะเป็นคนใช้ผู้หญิงในบ้าน นางบำเรอในเมืองหลวงไปจนถึงสาวโสดธรรมดาๆ ที่เดินผ่านไปผ่านมา แต่ไม่ว่าจะผ่านผู้หญิงมามากขนาดไหน เขาก็ไม่เคยแสดงออกแบบนี้เลยแม้แต่ครั้งเดียว
“ชอบขนาดนั้นเลยหรือ”
“ชอบจนจะตายเลยขอรับ”
“โอ๊ย ขนลุก”
รยูฮาลูบแขนทั้งสองข้างเพราะรู้สึกขนลุกโดยไม่รู้ตัว ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมขนถึงได้ลุกขนาดนี้ จะต้องบอกว่าแชยอนโชคดีหรือโชคร้ายกันแน่ นางอยากตีโฮจินที่ในตอนนี้ยิ้มแฉ่งอยู่ตรงหน้าด้วยสีหน้าราวกับตกอยู่ในห้วงความรัก แต่เพียงแค่ลองคิดว่าเขายิ้มให้ตัวเองก็รู้สึกขนลุกแล้ว แต่ความรู้สึกของโฮจินตอนที่มองรยูฮาก็ไม่ต่างกันเท่าไหร่
“ตอนที่ทั้งสองคนบดปากอยู่ตรงหน้า ข้าก็ขนลุกเหมือนกันแหละขอรับ ตอนที่ข้าอยู่ที่ภูเขาก็ได้ถามไอ้เจ้านั่น…อืม ท่านผู้นั้นด้วยว่าคิดถึงคนที่อารมณ์ฉุนเฉียวขนาดนั้นเลยหรือ”
“เจ้าถามงั้นหรือ”
รยูฮาส่งสายตาอยากรู้อยากเห็นและเอนตัวมาข้างหน้าเล็กน้อย จะมีเรื่องไหนที่น่าสนใจไปกว่าความรู้สึกของฮอนที่จะได้ยินจากปากคนอื่นอีก
“ว่าไงแล้วนะ…เอ่อ มันน่าขนลุกจนข้าไม่กล้าพูดเลย”
โฮจินใช้มือถูกแขนทั้งสองข้างและทำท่ารังเกียจเหมือนกับรยูฮาก่อนหน้านี้
“เร็วเข้า พูดขึ้นมาแล้วก็ต้องพูดให้จบสิ”
“ไหนบอกว่าให้หุบปากไงขอรับ”
“ต้องโดนสักหน่อยแล้วไหม”
รยูฮายกนิ้วขึ้นมาอย่างช้าๆ แต่ปากของโฮจินกลับมีรอยยิ้มซุกซนและการขอร้องที่ไม่คาดคิดออกมาแทนคำตอบ
“ข้าจะบอก แต่ท่านต้องสัญญาก่อนขอรับ”
“อะไรล่ะ”
“ไปรับแชยอนที่ฮเยกุกด้วยกันนะขอรับ และหากในระหว่างที่ไปรับนางมาเกิดการปะทะขึ้น โปรดช่วยจัดการให้ด้วยขอรับ”
ไม่รู้ว่าเขาพูดเรื่องอะไร แต่ในเมื่อเป็นเรื่องของโฮจินกับแชยอน ดังนั้นนอกจากจะไม่อยากจะคาดเดาแล้วยังไม่อยากจะใส่ใจด้วย รยูฮาจึงพยักหน้าและตอบแบบส่งๆ ว่าอืม ทั้งที่ไม่รู้เลยว่ามันจะนำพาผลลัพธ์แบบไหนมาให้ในภายหลัง
“แล้วสรุป ฮอนตอบว่าอย่างไรกัน”
“เฮ้อ ข้าล่ะเกลียดจริงๆ”
โฮจินชักสีหน้าและทำท่าเหมือนกับจะอาเจียนเสียเดี๋ยวนั้น
“เขาบอกว่าคิดถึงคนอารมณ์ฉุนเฉียวคนนั้นมากเสียจนไม่อาจข้ามลำธารแห่งปรโลกไปได้และต้องกลับมาอีกครั้ง”
ในระหว่างที่โฮจินส่งเสียงแหวะออกมาและดิ้นเร่าไปมาเหมือนกับปลาหมึกที่เอาไปย่างบนไฟ รอยยิ้มอันสดใสก็ปรากฏขึ้นบนริมฝีปากของรยูฮา ฮอนตอนที่ตอบแบบนั้นจะน่ารักและน่าเอ็นดูขนาดไหนกัน
“ชอบคนซื่อบื้อนั่นขนาดนั้นเลยหรือขอรับ”
แต่รอยยิ้มที่เหมือนดอกไม้ก็ไม่ได้ลบความขยะแขยงในสายตาของโฮจินออกไปได้เลย เพราะสำหรับเขาแล้วรอยยิ้มนั้นเหมือนก้อนหินมากกว่าที่จะเป็นดอกไม้
“ในตอนแรกข้าเองก็นึกว่าเขาเป็นแค่คนซื่อบื้อเหมือนกัน”
รยูฮาลดเสียงลงเล็กน้อยและทำตาเป็นประกายเหมือนกับกำลังพูดความลับ ท่าทางของนางทำให้โฮจินเกิดความอยากรู้อยากเห็นจึงเอนตัวไปข้างหน้าพลางท้าวมือไว้กับโต๊ะเพื่อฟังเรื่องราวให้ละเอียดยิ่งขึ้น
“แต่พอมองดูดีๆ แล้วก็รู้ว่าเขาคือคนโง่ที่หน้าตาดี แถมยังรูปงามมากอีกด้วย”
“อ๋อ อย่างนั้นหรือขอรับ”
เสียงโฮจินลดต่ำลงหนึ่งโทน เขาพิงตัวกับพนักพิงและกระดกเหล้าจากขวด นอกจากจะไม่เข้าใจว่าชายหน้าสวยนั่นหล่อตรงไหน แล้วก็ยังไม่อยากเข้าใจด้วย ไม่ว่าดูอย่างไรก็…
“ข้าหล่อกว่าอีก”
“ว่าไงนะ บ้าไปแล้วหรือไง”
รยูฮาหันหน้ามาเล็กน้อยพร้อมกับตะโกนเสียงดังที่แทบจะเป็นการกรี๊ด จนดังลั่นไปทั่วภายในโรงเตี๊ยมอันเงียบสงัด สายตาที่จับจ้องมาทำให้เสียงของรยูฮากลับไปเป็นดังเดิม แต่ก็ยังไม่สามารถเก็บซ่อนความโกรธและความวุ่นวายใจที่อยู่ภายในได้
“เจ้าน่ะ เหมือนจิ้งจอกไม่ก็แมวต่างหาก ไม่ได้หล่อเสียหน่อย”
“แต่แชยอนบอกว่าข้าหล่อที่สุดในโลกเชียวนะ”
“เด็กคนนั้น…สายตาไม่ดีน่ะสิ”
รยูฮาแย่งขวดเหล้าที่โฮจินกำลังดื่มอยู่มากรอกใส่ปากตัวเองด้วยสีหน้าเอือมระอา แต่มีเพียงเหล้าหยดสุดท้ายเท่านั้นที่ร่วงลงไปในปากรยูฮา โดยที่ยังไม่ทันได้ดื่มสักอึก
“สั่งเพิ่มอีกขวดสิ”
“ไม่ได้ขอรับ ไหนบอกว่าจะกินแค่ขวดเดียวไม่ใช่หรือขอรับ”
“ก็เจ้าเล่นสวาปามซะหมดเลยนี่”
“ว้าว ดูพระมเห…ดูเจ้านี่พูดเข้า”
โฮจินรีบลุกขึ้นก่อนที่หมัดของรยูฮาจะลอยมาถึงและวิ่งขึ้นไปยังห้องที่จองไว้ ในตอนที่รยูฮากำลังลังเลว่าจะสั่งเพิ่มหนึ่งขวดแล้วนั่งดื่มที่เดิมคนเดียว หรือจะรักษาสัญญาที่ให้ไว้กับตัวเองอยู่นั้น
“เอ๋ พระชายา?”
เสียงที่ฟังดูคุ้นเคยทำให้นางหันกลับไปมองด้านหลังทันที
“ยอนฮวา?”
“พระชายา!”
มือของสองสาวที่เต็มไปด้วยความดีใจจับกันแน่น นึกว่าจะออกไปยังที่ไกลๆ เสียอีก แต่ปรากฏว่านางยังอยู่ในเมืองหลวง ยอนฮวาเองก็ไม่นึกไม่ฝันเลยว่าจะได้พบรยูฮาข้างนอกวัง จึงรู้สึกดีใจมากจนไม่อาจหาอะไรมาเปรียบได้
“เกิดอะไรขึ้น ทำไมเจ้าถึงอยู่ที่นี่ได้ล่ะ”
“พระชายานั่นแหละเพคะ…”
“ชู่ว อย่าเรียกว่าพระชายา”
แม้จะออกจากวังแล้ว แต่ดูเหมือนความไม่ดูตาม้าตาเรือจะยังคงอยู่ รยูฮารีบปิดปากยอนฮาและหันไปมองดูรอบๆ แต่โชคดีที่เหมือนจะไม่มีใครได้ยินคำนั้น ส่วนโรงเตี๊ยมก็กลับมาเงียบสงบเหมือนเดิม รยูฮาถอนหายใจเบาๆ และเอามือที่ปิดปากไว้ออก จากนั้นจึงตบเก้าอี้เบาๆ ให้นางมานั่งข้างๆ
“ถ้าอย่างนั้นจะให้…”
“นายหญิง”
“อ้า นายหญิงเสด็จออกมาได้อย่างไรเพคะ”
“ออกมาได้อย่างไรเจ้าคะ!”
นางติเตียนยอนฮวาในขณะที่หลุดขำกับภาษาที่ใช้พูดในวังหลวงซึ่งออกมาเองโดยธรรมชาติ ยอนฮวาไปนั่งตรงที่ข้างๆ ตามที่รยูฮาสั่งด้วยใบหน้าแดงแจ๋และจ้องหน้านางราวกับยังไม่อยากจะเชื่อ
“เกิดอะไรขึ้น…หรือเจ้าคะ”
“เจ้านั่นแหละ เกิดอะไรขึ้น ทำไมถึงมาอยู่ที่นี่ได้”
ชายหนุ่มคนหนึ่งเดินเข้ามาด้านหลังยอนฮวาซึ่งกำลังหลบเลี่ยงสายตาอย่างลังเลใจ ก่อนจะวางมือบนไหล่เล็ก รยูฮาจึงเงยหน้าขึ้นมองเขา แต่ก็เลิกมองในทันทีเมื่อเห็นว่ายอนฮวาไม่หลบหนีและเฝ้าสังเกตเขาอย่างสนอกสนใจ ยอนฮวาที่เงยหน้าขึ้นด้านบนราวกับรับรู้ถึงสายตาของเขาดูมีพิรุธอย่างไรก็ไม่รู้
“คือว่า พระชา…เอ๊ย นายหญิง ข้ามีเรื่องอยากจะเรียนให้ทราบเจ้าค่ะ”
“เร็วๆ เอาแค่ใจความสำคัญก็พอ”
“ข้าจะออกเรือนเจ้าค่ะ!”