เร็วขนาดนี้เลยหรือ เจ้าชอบฮอนมิใช่หรือ รยูฮารู้สึกสับสนสักพักแต่ก็ไม่แสดงออกมา และเอนตัวไปด้านหลังเล็กน้อยพร้อมส่งมองปราดผู้ชายที่ยืนอยู่ข้างหลังช้าๆ ผิวสีแทนดูดี ตัวสูง ดูค่อนข้างแข็งแรงสมเป็นชาย แต่ต่างจากฮอนโดยสิ้นเชิง ทั้งยังไม่มีส่วนที่คล้ายเลยแม้แต่น้อย แม้แต่รสนิยมก็ถูกเปลี่ยนในช่วงเวลาสั้นๆ ด้วยสินะ 

 

 

“ตอนที่ลงมาจากภูเขา ข้าก้าวเท้าพลาดจนเกือบตายเจ้าค่ะ แต่ท่านผู้นี้มาพบข้าเข้าและช่วยชีวิตไว้ได้อย่างหวุดหวิด ซึ่งเขาคือเจ้าของโรงเตี๊ยมแห่งนี้…” 

 

 

นางบรรยายเรื่องราวจนเห็นภาพชัดเจน ซึ่งเป็นเรื่องราวของผู้มีพระคุณในการช่วยชีวิตที่มักจะปรากฏอยู่ในนิยายพื้นบ้าน แต่ถึงกระนั้นรยูฮาก็รู้สึกถึงความแปลกใหม่ด้วยเช่นกัน หัวใจของยอนฮวาถูกเติมเต็มด้วยความอบอุ่น หลังจากที่ค้นพบรอยยิ้มแห่งความสุขปรากฏบนริมฝีปากของนาง 

 

 

“ก็เลยชอบอย่างนั้นหรือ” 

 

 

“ถามอะไรอย่างนั้นเจ้าคะ!” 

 

 

เมื่อยอนฮวากระทืบเท้าพร้อมกับหลุดหัวเราะออกมา ในตอนนั้นเองผู้ชายคนนั้นก็เอามือลงจากไหล่ยอนฮวาเหมือนกับเบาใจและโค้งคำนับให้กับรยูฮา 

 

 

“ได้ยินเรื่องท่านมาเยอะเลยขอรับ” 

 

 

“รู้ใช่ไหมว่าข้าคือใคร” 

 

 

“พระมเห…” 

 

 

“หยุด ไปเอาเหล้ามาให้ข้าอีกสักขวดสิ” 

 

 

ชายหนุ่มโค้งคำนับให้อีกครั้งก่อนจะลับสายตาไป หลังจากนั้นรอยยิ้มของรยูฮาก็ตรงไปหายอนฮวาอีกรอบ นี่คือความรู้สึกในตอนที่มีลูกแล้วลูกออกเรือนหรือเปล่านะ มันเป็นความรู้สึกที่แปลกประหลาดชอบกล ทั้งไม่ชอบใจผู้ชายที่เหมือนโจรป่าคนนั้นซึ่งแย่งยอนฮวาไปอย่างไรก็ไม่รู้ แต่อีกใจหนึ่งก็รู้สึกดีใจและภูมิใจไปด้วย 

 

 

“เลือกวันแล้วหรือยัง” 

 

 

“ยังเลยเจ้าค่ะ…” 

 

 

“ถ้าหากเลือกวันได้ก็ส่งข่าวมาด้วย ไม่ว่าข้าจะกลับเข้าวังแล้วหรือไม่ก็ตาม ส่วนเรื่องสิ่งของจำเป็นในการจัดงานก็ไม่ต้องกังวล เพราะเดี๋ยวข้าจะส่งสิ่งของที่มีค่ามากๆ ไปให้ เจ้าเตรียมเรือนสำหรับอยู่อาศัยแล้วใช่หรือไม่” 

 

 

“เพคะ แม้จะไม่ใหญ่ แต่ก็เป็นเรือนที่เล็กและเหมาะสมกับการอยู่สองคนเพคะ” 

 

 

แม้วิธีการพูดแบบในวังจะหลุดออกมาอีกรอบ แต่รยูฮาก็ตัดสินใจที่จะไม่ตำหนิอะไร เพราะมันก็เหมือนก้อนหินก้อนหนึ่งที่เคยกดทับอยู่ในมุมหนึ่งของจิตใจร่วงตกลงไป 

 

 

“แต่ว่านายหญิง ทำไมถึง…ไม่อยู่ที่นั่นแล้วออกมาที่นี่กันเล่าเจ้าคะ” 

 

 

“อ๋อ พอดีว่ามีคนต้องตามหาน่ะ” 

 

 

“ผู้ใดหรือเจ้าคะ สามีของข้าค่อนข้างกว้างขวางในเมืองหลวงนะเจ้าคะ” 

 

 

“เรียกสามีเลยหรือ ใจร้อนไปหน่อยหรือเปล่า” 

 

 

ใบหน้ายอนฮวาแดงแจ๋ขึ้นมาอีกรอบเพราะคำพูดของตัวเองที่หลุดออกมาโดยไม่ตั้งใจ จากที่เห็นว่าท่าทางของชายหนุ่มที่ถูกเรียกว่าสามีวางเหล้าขวดหนึ่งไว้บนโต๊ะพร้อมกับลูบแก้มนั้นหนึ่งทีก่อนจะเดินออกไปนั้นดูอบอุ่นอยู่ไม่น้อย แสดงว่าที่ว่ากันว่าจิตใจของผู้หญิงมักจะรวนเรเหมือนต้นอ้อคงจะจริงสินะ รยูฮาหัวเราะคิกคักแล้วจึงเปิดขวดมารินเหล้าใส่แก้วตัวเองพร้อมกับบ่นพึมพำเหมือนกับถอนหายใจไปด้วย 

 

 

“มินอาหายตัวไป” 

 

 

“ว่าอย่างไรนะเจ้าคะ แต่ข้าเห็นนางนะเจ้าคะ” 

 

 

ยังไม่ทันได้วางขวดเหล้าลง คำพูดของยอนฮวาที่ถามกลับอย่างงุนงงก็ทำให้มือหยุดค้างอยู่ที่เดิม เหล้าล้นออกมาจากแก้วและในไม่ช้าก็เริ่มไหลลงไปข้างล่างโต๊ะ 

 

 

“เจ้าเคยเห็นอย่างนั้นหรือ มินอาน่ะนะ” 

 

 

ยอนฮวากลับแปลกใจกับการตอบสนองของรยูฮายิ่งกว่าเดิม มินอาจากพระชายา ไม่ใช่สิ พระมเหสีไปด้วยความตั้งใจของตนเองอย่างนั้นหรือ มันคือเรื่องที่ไม่มีทางเกิดขึ้นอย่างแน่นอน อย่างน้อยก็จากที่นางรู้ 

 

 

“เมื่อประมาณสี่วัน? ห้าวัน? ก่อนหน้านี้ มีผู้ชายหน้าตาดีคนหนึ่งเดินผ่านไป แต่พอมองดูๆ ดีแล้วก็คิดว่านั่นท่านมินอาไม่ใช่หรือเจ้าค่ะ ว่าจะทำเป็นรู้จักแต่…อืม เผอิญว่าเมื่อก่อนเคยมีเรื่องบาดหมางกันนิดหน่อย” 

 

 

ในตอนที่ยอนฮวากำลังจะจูบฮอนซึ่งกำลังหลับใหลโดยไม่รู้ตัวนั้นเอง จู่ๆ มินอาก็ปรากฏตัวขึ้นมาและลากนางออกไปข้างนอกก่อนจะข่มขู่อย่างน่ากลัว แม้ในตอนนั้นจะรู้สึกทั้งอายและคับแค้นใจ แต่ตอนนี้พอนึกย้อนกลับไป นางกลับรู้สึกขอบคุณเป็นอย่างมาก ไม่อยากจะจินตนาการเลยว่าถ้าฝ่าบาทลืมตาตื่นขึ้นมาเพราะสัมผัสนั้นจะเป็นอย่างไร 

 

 

“อย่างไรก็ตาม ข้ารู้เจ้าค่ะนายหญิงมอบหมายหน้าที่ซึ่งเป็นความลับให้กับท่านมินอา นอกจากนั้นแล้วนางยังหันไปมองรอบๆ แล้วเข้าไปหอนางโลมด้วยเจ้าค่ะ” 

 

 

“หอนางโลม?” 

 

 

โอ้พระเจ้า ไม่เคยนึกถึงมาก่อนจริงๆ แม้ว่าตนเองจะเคยปลอมตัวเป็นผู้ชายแล้วเข้าๆ ออกหอนางโลมโดยไม่รู้สึกตะขิดตะขวงใจเป็นประจำ แต่นิสัยเถรตรงอย่างมินอาเนี่ยนะเข้าหอนางโลม นี่คงเป็นเหตุผลที่ว่าทำไมคนหลายร้อยคนซึ่มถูกระดมมาเพื่อตามหานางถึงไม่พบเห็นแม้แต่เงาของนางเลย 

 

 

“เจ้าค่ะ อืม ที่นั่นชื่อว่า…อ๋อ หอนางโลมแมวอล หอนางโลมแมวอลเจ้าค่ะ” 

 

 

รยูฮาลุกขึ้นพรวดและรีบวิ่งขึ้นไปยังห้องพักทันทีที่ยอนฮวาพูดจบ 

 

 

“หอนางโลมแมวอล!” 

 

 

“หอนางโลมทำไมอีกล่ะขอรับ เมาให้มันน้อยๆ หน่อยสิ” 

 

 

รยูฮาดึงผ้าห่มออกและตะโกนว่าหอลนางโลมแมวอล โฮจินที่ถูกปลุกจากการนอนหลับจึงทำหน้าบูดบึ้งและพลิกตัวด้วยความหงุดหงิด 

 

 

“มินอาอยู่ที่หอนางโลมแมวอล รีบนำทางไปเร็ว!” 

 

 

“ว่าไงนะ ทำไมเด็กคนนั้นถึงไปอยู่ที่นั่นล่ะขอรับ” 

 

 

แม้จะถามกลับด้วยความสับสน แต่ตัวก็ลุกพรวดขึ้นสวมเสื้อผ้าที่ถอดเอาไว้อย่างลวกๆ สถานที่ที่พวกเขามาถึงหลังจากวิ่งออกไปตามตรอกซอกซอยโดยไม่ได้วางแผนด้วยความใจร้อนคือหอนางโลมชั้นสูงที่สว่างไสวราวกับตอนกลางวันด้วยโคมไฟสีแดงซึ่งถูกแขวนอยู่เต็มไปหมด แฮงซูที่ออกมาจากในนั้นต้อนรับคนทั้งสองซึ่งมองแค่แวบเดียวก็รู้ได้เลยว่าไม่ธรรมดาอย่างสุภาพเรียบร้อย แต่คำตอบที่ออกมากลับไม่ใช่อย่างที่ต้องการ 

 

 

“ออกไปแล้วหรือ” 

 

 

ความสับสนปนอยู่ในเสียงของรยูฮาที่ยังไม่สามารถปรับลมหายใจให้สม่ำเสมอได้ แม้จะรีบวิ่งมาหลังจากปลุกโฮจินอย่างสุดกำลัง แต่คนที่นางกำลังตามหากลับออกไปแล้วในตอนเช้ามืด 

 

 

“ขอรับ ถ้าถามถึงท่านผู้ชายที่มาพักเป็นเวลาห้าคืนเพียงลำพังก็มีแค่เพียงผู้เดียวขอรับ” 

 

 

“เฮ้อ” 

 

 

ช้าไปก้าวเดียว ถึงจะตามไปเดี๋ยวนี้ แต่นางก็คงจะไปไกลแล้ว ตะวันก็ตกดินแล้ว คงจะหาที่พักที่อื่นแล้วอย่างแน่นอน 

 

 

“ร่างกายกับสุขภาพเขาดูเป็นอย่างไรบ้าง” 

 

 

โฮจินยัดเหรียญเงินเหรียญหนึ่งให้กับแฮงซูและรีบถามอย่างว่องไว แทนรยูฮาที่กำลังนั่งหอบอยู่ที่พื้นไร้ความสง่างามด้วยความหมดหวัง 

 

 

“ในตอนแรกที่มาถึงใบหน้าของเขาซีดเซียวจนดูค่อนข้างอ่อนแอขอรับ แต่พอไม่ออกไปไหนและกินยาสมุนไพรต้มทุกเช้าเย็น ในตอนที่ออกไปสีหน้าผิวพรรณก็ดูดีขึ้นขอรับ” 

 

 

“ยาสมุนไพรต้มหรือ” 

 

 

“ขอรับ ตอนที่มาครั้งแรกเขาให้สมุนไพรมาและสั่งให้ต้มไปให้ทุกเช้าเย็นขอรับ” 

 

 

แม้ในสภาพอย่างนั้นก็ยังเอายาไปด้วยสินะ โฮจินหัวเราะออกมาแต่อีกใจหนึ่งก็รู้สึกเบาใจขึ้นมาเล็กน้อย 

 

 

“แล้วอาหารล่ะ” 

 

 

“เขาสั่งให้เลี่ยงของเค็มกับเผ็ดและให้เตรียมแต่ของต้ม ข้าจึงทำตามนั้นขอรับ กินจนหมดเกลี้ยงไม่เหลือทุกมื้อเลยขอรับ” 

 

 

รยูฮาที่ซบหน้าอยู่ตรงหัวเข่าได้ฟังก็หัวเราะออกมา พอเห็นว่าในระหว่างนั้นนางได้ดูแลจัดการทุกอย่างที่ควรจะทำ จึงรู้สึกว่าไม่จำเป็นต้องกังวลให้มากเลย นางลุกขึ้นจากที่โดยไม่มีอะไรค้างคาในใจ หลังจากคลายความหนักใจไปได้นิดหน่อย 

 

 

“ขอบใจนะ ถ้าหากพบเห็นท่านผู้นั้นสักที่ใดที่หนึ่ง ช่วยส่งคนไปยังบ้านท่านมหาเสนาบดีหน่อยได้หรือไม่” 

 

 

“ตายจริง ท่านผู้นั้นคือบุตรชายของบ้านท่านมหาเสนาบดีหรือขอรับ” 

 

 

“ก็…จะว่าอย่างนั้นก็ได้ ถึงอย่างไรก็ฝากด้วยนะ” 

 

 

ถ้าให้พูดกันตามจริงนางคือบุตรสาวไม่ใช่บุตรชาย แต่มันก็ไม่จำเป็นที่จะต้องอธิบายให้เขาฟัง แม้กระทั่งหลังจากที่รยูฮาและโฮจินที่ตอบคำถามสั้นๆ หันหลังหายลับไป แฮงซูก็ยังคงตัวสั่นอยู่ บ้านของท่านมหาเสนาบดีอย่างนั้นหรือ นั่นมันครอบครัวที่มีอำนาจยิ่งใหญ่ยิ่งกว่าพระราชาอีกไม่ใช่หรือ ถ้ารู้อย่างนั้นก็คงจะส่งนางบำเรอเข้าไปแล้ว แต่ดูจากความเป็นผู้ดีและอากัปกิริยาแล้ว สองคนนั้นที่เข้ามาตามหาเขาเมื่อสักครู่ก็น่าจะเป็นบุตรชายและบุตรสาวของบ้านมหาเสนาบดีเหมือนกัน ทว่าหากเป็นบุตรสาวของบ้านมหาเสนาบดีล่ะก็… 

 

 

“พระ…พระมเหสี!” 

 

 

แฮงซูจำโฉมหน้าของหญิงสาวผู้งดงามที่ทรุดนั่งลงไปกับพื้นแล้วหัวเราะคิกคักก่อนหน้านี้ได้ช้าไป แม้จะสวมชุดธรรมดาแต่ความสง่างามที่ไม่สามารถปกปิดได้และอากัปกิริยาของนาง ชัดเจน แฮงซูถึงกับสติหลุดและยืนอยู่กับที่ จนกระทั่งคนที่เดินผ่านเข้ามาทักว่าเป็นอะไรไหม 

 

 

 

 

 

* * *