“ยังไม่มีข่าวคราวหรือเจ้าคะ ใต้เท้า” 

 

 

นายหญิงตระกูลจองเอ่ยถามด้วยความกังวลในขณะที่ร้อยด้ายผ่านรูเข็มอันใหม่ไปด้วย ในวันนี้แค่เข็มที่หักก็ปาไปห้าอันแล้ว 

 

 

“ไม่มีเลย ต้องชมเลยว่าทักษะการซ่อนตัวช่างยอดเยี่ยมจริงๆ แต่ก็ต้องตำหนิสักหน่อยที่ใช้ทักษะนั้นกับเรื่องเช่นนี้” 

 

 

เสียงทุ้มต่ำทำให้เข็มอันที่หกหักดังเป๊าะ แทนที่จะร้อยด้าย แต่นายหญิงตระกูลจองกลับหยิบเข็มขึ้นมาเล็งไปที่แมลงวันผู้โชคร้ายซึ่งบินเข้ามาเกาะบนกำแพง 

 

 

“รยูฮา…ไม่ใช่สิ พระมเหสีเสด็จไปแล้ว เดี๋ยวก็คงจะเจอตัวในไม่ช้า” 

 

 

“ข้ามีเรื่องอยากจะปรึกษากับเจ้า” 

 

 

“ไม่ได้เจ้าค่ะ ใต้เท้า” 

 

 

เข็มถูกปักตรงกลางลำตัวของแมลงวันผู้โชคร้ายอย่างแม่นยำ แมลงวันที่ไม่รู้เรื่องรู้ราวว่าเกิดอะไรขึ้นกับตัวเองกระดิกขาทั้งหกข้างอย่างเอาเป็นเอาตาย แต่ก็ไม่สามารถกลับมาบินได้อีกครั้ง ท่านมหาเสนาบดีพยายามละสายตาจากแมลงวันตัวนั้นและถอนหายใจออกมาเบาๆ 

 

 

“แน่นอนว่าพระองค์คือองค์ชายซึ่งทรงสุภาพอ่อนโยนและทรงมีจิตใจเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ แต่หากใต้เท้าเข้าไปยุ่งในตอนนี้จะกลายเป็นเหยื่อสำหรับเหล่าเสนาบดีนะเจ้าคะ” 

 

 

“แต่หากจะคืนตำแหน่งให้กับอดีตองค์ชายและตามหามินอาโดยเปิดเผย มันไม่ได้ใช้เวลาสั้นๆ นะ” 

 

 

“นางเป็นเด็กแข็งแกร่งเจ้าค่ะ แค่ข้าคนเดียวก็จัดการได้เจ้าค่ะ” 

 

 

ด้ายถูกร้อยเข้าไปในรูเข็มอันที่เจ็ด นายหญิงตระกูลจองเริ่มเสียบเข็มเข้าไปในผ้าที่จะเย็บซึ่งถืออยู่ในมือและเริ่มเย็บไปเรื่อยๆ แม้ว่าจะเชื่องช้าเป็นอย่างมากก็ตาม แต่เมื่อเทียบกับความพยายามแล้ว ฝีมือของนางกลับแย่เป็นอย่างมาก จนท่านมหาเสนาบดีถึงกับหนักใจอยู่พักใหญ่ว่าที่เย็บอยู่นั้นคืออะไรกันแน่ 

 

 

“ขอโทษที่ต้องพูดเช่นนี้นะ แต่ว่า…เจ้ากำลังทำอะไรอยู่หรือ” 

 

 

ตาของนายหญิงตระกูลจองที่สงบนิ่งอยู่เสมอเกิดความประหม่าขึ้นเป็นครั้งแรก นางคือนักรบที่มีพรสวรรค์ติดตัวมาตั้งแต่เกิด ไม่ว่าจะเป็นการใช้ดาบหรือใช้ธนูก็มั่นใจว่าไม่ด้อยไปกว่ามหาเสนาบดีผู้เป็นสามีอย่างแน่นอน แต่กับการจับเข็มอันเล็กๆ และการเย็บผ้านั้น ไม่ว่าจะพยายามเท่าไหร่ก็ไม่ชินมือสักที 

 

 

“มันแย่ขนาดนั้นเลยหรือเจ้าคะ” 

 

 

“ไม่ๆ ข้าตาไม่ถึงเองต่างหาก” 

 

 

พออ่านความประหม่านั้นออก ท่านมหาเสนาบดีก็ประหม่ายิ่งกว่านางเสียอีก เขาจึงเบนสายตาซึ่งไม่รู้ว่าจะไปวางไว้ตรงไหนไปที่แมลงวันผู้โชคร้ายอีกครั้ง ท่าทางการดิ้นรนและไม่สามารถขยับเขยื้อนได้เพราะถูกนายหญิงตระกูลจองจับเป็นไว้ค่อนข้างคล้ายคลึงกับตนเองทีเดียว มีความแตกต่างอยู่เล็กน้อยคือแมลงวันมีหกขา ส่วนตัวเองมีสองขา และแมลงวันถูกจับเป็นโดยไม่เต็มใจ ส่วนตัวเองถูกจับเป็นด้วยความเต็มใจ 

 

 

“ลองดูดีๆ สิเจ้าคะใต้เท้า ไม่รู้จริงๆ หรือเจ้าคะ” 

 

 

นายหญิงตระกูลจองวางเข็มลงและยกชิ้นผ้าที่ถือในมือขึ้นมาจ่อตรงหน้าเขา จากการดูของท่านมหาเสนาบดีผู้ซึ่งไม่ค่อยรู้เรื่องเสื้อผ้าอาภรณ์ ตัวผ้าเองคือของที่มีราคาแพงมาก ไม่ใช่สิ แพงที่สุดอยู่แล้ว ซึ่งส่วนที่ยื่นออกมาดูเหมือนว่าจะเป็นแขนเสื้อ และตรงส่วนที่เล็กมากๆ… 

 

 

“อืม เสื้อ…หรือ?” 

 

 

คำพูดที่เปล่งออกไปอย่างลังเลทำให้ใบหน้าของนายหญิงตระกูลจองสดใสขึ้นมา ท่านมหาเสนาบดีจึงสรุปเจ้าของเสื้อในมือนายหญิงจองได้อย่างรวดเร็วด้วยความมั่นใจ 

 

 

“เสื้อผ้าของหลานพวกเราสินะ ช่างสวยงามจริงเชียว” 

 

 

“ใช่ไหมเจ้าคะ” 

 

 

ในตอนนั้นเองนายหญิงตระกูลจองจึงเริ่มเย็บต่อด้วยสีหน้าภาคภูมิใจอีกครั้ง พอคิดว่ามันคือเสื้อผ้าเด็ก มันก็ดูเป็นเสื้อผ้าเด็กโดยไม่ผิดเพี้ยนแม้แต่น้อย ท่านมหาเสนาบดีอมยิ้มบนใบหน้าที่เต็มไปด้วยหนวดเครา แล้วจึงเริ่มมองดูด้านข้างของภรรยาและเข็มที่ขยับอย่างช้าๆ 

 

 

“ถ้ากลับมาก่อนที่เสื้อผ้าพวกนี้จะเสร็จก็คงจะดีนะ” 

 

 

นายหญิงตระกูลจองพึมพำออกมาเหมือนกับพูดคนเดียวด้วยเสียงอันหนักอึ้ง ท่านมหาเสนาบดีถอนหายใจอีกครั้งพร้อมกับยกถ้วยชาซึ่งวางอยู่ด้านหน้าขึ้นมา ทว่ากลับไม่รู้สึกถึงกลิ่นหอมใดๆ ที่ออกมาจากถ้วยชาที่เริ่มอุ่นนิดๆ แล้วเลย 

 

 

อีกด้านหนึ่งในเวลาเดียวกัน มินอาที่ซ่อนตัวอย่างมิดชินจนท่านมหาเสนาบดีไม่สามารถหาเจอยืมรถม้าเดินทางไปยังเส้นทางอันแสนไกล 

 

 

“พักตรงนี้สักหน่อยแล้วค่อยไปต่อแล้วกัน” 

 

 

มินอาซึ่งนั่งบนรถม้าที่มีเบาะรองนั่งนุ่มๆ และจ้องมองออกไปด้านนอกเรียกคนขับรถม้า ป้ายประจำตัวที่เตรียมไว้เพื่อให้ชานซ่อนตัวนั้นมีประโยชน์อย่างมาก เพราะหากไม่ใช่ตระกูลขุนนางก็คงจะไม่ได้นั่งรถม้าและออกมาจากเมืองหลวงได้อย่างปลอดภัย ถ้าบอกว่ารู้สึกเหมือนเขาคอยช่วยเหลืออยู่ จะเป็นความคิดที่เกินไปหรือเปล่านะ 

 

 

“จะพักอีกหรือขอรับ” 

 

 

คนขับรถม้าหันกลับมามองนางอย่างหยาบคายราวกับไม่พอใจ ก่อนจะจอดรถม้าไว้ฝั่งหนึ่งด้วยความท้อแท้เพราะสายตาอันแหลมคม เขายินดีที่จะไปส่งคุณชายที่ดูสูงศักดิ์หลังจากได้รับเหรียญเงินเป็นค่าตอบแทนมาแล้ว แต่การที่เคลื่อนที่ไปได้แค่นิดหน่อยก็หยุดพักและไปได้ไม่เท่าไหร่ก็หยุดพักอีก มันทำให้ช้าเป็นอย่างมาก แม้จะบอกว่ารีบ แต่ถ้าหากยังเป็นเช่นนี้อยู่ ชาติไหนจึงจะไปส่งถึงและได้กลับมาที่เมืองหลวงอีกครั้ง 

 

 

“อีกไกลแค่ไหนจึงจะถึงหัวเมืองต่อไปหรือ” 

 

 

“ถ้าไปด้วยความเร็วเช่นนี้…ก็คงจะถึงตอนประมาณพลบค่ำขอรับ” 

 

 

“เหลือเฟือ” 

 

 

ไม่จำเป็นต้องเร่งรีบ ขอแค่ไปอย่างปลอดภัยและไม่ให้ถูกจับได้ก็เพียงพอ ตลอดชีวิตที่ผ่านมานางไม่เคยบอกปฏิเสธที่นอนแข็งๆ อาหารที่ไม่น่ากิน รวมถึงการขี่ม้าตลอดทั้งคืนในตอนที่ทำหน้าที่ช่วยรยูฮาเลย แต่ตอนนี้มันต่างออกไป เพราะคนที่มินอาจะต้องปกป้องในตอนนี้ไม่ใช่รยูฮา แต่เป็นตัวเองและลูกของชานที่ตัวเองอุ้มท้องอยู่ต่างหาก 

 

 

“เจ้าแต่งงานแล้วใช่หรือไม่” 

 

 

“แน่สิขอรับ มีลูกที่เหมือนกับกระต่ายถึงสามคนเลยนะขอรับ” 

 

 

เมื่อพูดถึงเรื่องครอบครัว ใบหน้าของคนขับรถม้าที่บึ้งตึงจึงแปรเปลี่ยนเป็นรอยยิ้มอันแสนอบอุ่นแทน มินอามองดูด้วยความประหลาดใจพร้อมกับหวนนึกถึงชานภายในใจ เขาที่ไม่ค่อยยิ้มจะยิ้มอย่างนั้นตอนที่เห็นลูกไหมนะ 

 

 

“ตั้งสามคนเลยหรือ คงจะแต่งงานเร็วสินะ กี่ขวบแล้วล่ะ” 

 

 

“ลูกชายสอง ลูกสาวคนสุดท้องหนึ่งขอรับ คนโตสุดปีนี้สิบสอง ส่วนน้องเล็กสุดเพิ่งจะสองขวบไปเองขอรับ” 

 

 

“อายุห่างกันขนาดนั้นเลยหรือ” 

 

 

ช่างเป็นเรื่องที่น่าประหลาดใจเสียจริง ปกติมินอาไม่ค่อยชอบพวกเด็กเล็กเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว ยกเว้นงานของครอบครัวรยูฮาและท่านมหาเสนาบดี นางก็แทบจะไม่สนใจอะไรเลย แต่ตอนนี้นางกลับกำลังสงสัยในเรื่องลูกๆ ของคนขับรถม้าซึ่งไม่เคยเห็นหน้าค่าตากันมาก่อนเสียอย่างนั้น นางจมลงไปในบทสนทนากับคนขับรถม้าโดยไม่รู้ตัว และเงี่ยหูฟังการโอ้อวดลูกของเขา 

 

 

“ตอนที่คลอดลูกครั้งแรก ข้าก็หวังให้เป็นลูกชาย ขอให้เป็นลูกชายอย่างเดียว แต่พอคลอดออกมาและได้เลี้ยงก็คิดขึ้นว่าถ้ามีลูกสาวหนึ่งคนก็น่าจะดีนะ แต่พอคลอดลูกคนต่อมาก็ปรากฏว่าเป็นลูกชายอีกขอรับ ภรรยาของข้าเกือบตายในตอนที่คลอดลูกคนนั้น ดังนั้นจึงตั้งใจจะไม่มีลูกอีก แต่สุดท้าย…ก็เผลอตัวจนความปรารถนาสำเร็จจนได้ขอรับ เจ้าตัวเล็กนั่นยิ้มเก่งมากเลยขอรับ ฮ่าๆ” 

 

 

“ดีจังเลยนะ” 

 

 

“มันก็ดีนะขอรับ แม้ว่าเรื่องที่จะต้องใช้เงินจะมีเยอะแยะมากมาย แต่การขยันทำงานหาเงินหาข้าวให้ลูกๆ ก็เป็นรสชาติของชีวิตไม่ใช่หรือขอรับ” 

 

 

“ภรรยาของเจ้าน่าจะโชคดีมากเลยนะที่มีสามีที่ทำเพื่อพวกเขาขนาดนี้” 

 

 

“ข้าไม่ได้ทำอะไรดีๆ ให้พวกเขาเลยขอรับ อย่างที่ท่านเห็นว่าข้างานยุ่งมากจนไม่ได้อยู่บ้าน แต่ในคราวนี้ข้าได้เหรียญเงินจากท่านมาเยอะพอสมควร จึงว่าจะอยู่ที่บ้านสักวันสองวันน่ะขอรับ” 

 

 

สีหน้าที่ยิ้มแฉ่งพร้อมกับกล่าวเช่นนั้นช่างดูอิ่มอกอิ่มใจเป็นอย่างมาก บางทีถ้าหากฝ่าบาทยังทรงมีชีวิตอยู่ก็อาจจะเป็นพ่อที่ดีเช่นนั้นก็ได้ อาจจะให้ลูกนั่งบนตักและยิ้มอย่างสดใส อาจจะใช้เวลาทั้งวันในการกล่อมลูกก็ได้ อาจจะ… 

 

 

‘ในตอนนั้นเจ้าควรที่จะชนะ ถ้าข้าได้ฝืนหักห้ามใจ พรุ่งนี้ก็คงจะเป็นพิธีราชาภิเษกของฮอน และอาจจะ…’ 

 

 

‘มันไม่มีคำว่า ‘อาจจะ’ หรอกเพคะ’ 

 

 

ในตอนนั้นนางไม่ได้ตั้งใจจะขัดคำพูดของเขาอย่างเย็นชาขนาดนั้น ‘อาจจะ’ ซึ่งในที่สุดนางเข้าใจแล้วว่าคำนั้นคือคำที่จะถูกใช้เมื่ออยากจะเย็บหัวใจที่ถูกฉีกออกเป็นชิ้นๆ อย่างควบคุมไม่ได้ให้กลับมาเหมือนเดิมแม้เพียงเล็กน้อยก็ตาม ความเสียใจเมื่อสายเกินไปเข้ามาบีบหัวใจอย่างแรง คนขับรถม้าตื่นเต้นและคุยโวว่าลูกชายทั้งสองเฉลียวฉลาดและซุกซนขนาดไหน และลูกสาวคนสุดท้องน่ารักขนาดไหน ก่อนจะเปลี่ยนคำพูดโดยฉับพลันหลังจากเห็นสีหน้าของนาง 

 

 

“จากที่ข้าเห็น…ดูเหมือนท่านคงจะมีเรื่องสินะขอรับ” 

 

 

“นิดหน่อยน่ะ พักเยอะแล้ว เราไปกันเถอะ” 

 

 

น้ำเสียงมีพลังของคนขับรถม้าดังขึ้นพร้อมกับฝุ่นดินขมุกขมัวที่พัดไปตามลม มินอาเก็บความคิดถึงที่ทิ่มแทงใจเอาไว้และมุ่งตรงไปยังทิศตะวันตกเฉียงเหนือเพื่อเหยียบเส้นทางที่เคยขี่ม้าด้วยกันกับเขาอีกครั้ง 

 

 

 

 

 

* * *