ขณะที่นางเหาะเหินเผชิญกับพายุหิมะ โม่เทียนเกอก็ยังได้เคลื่อนพลังวิญญาณภายในร่างกายของนางอีกด้วย แน่นอนว่านางไม่รู้สึกถึงความหนาวเย็นอีกแล้ว
โม่เทียนเกอคิดกับตัวเอง หากเป็นเช่นนั้น หรือนี่หมายความว่าผู้ฝึกตนในเขตธารน้ำแข็งทางทิศเหนือสุดจำเป็นต้องเคลื่อนพลังวิญญาณของพวกเขาอยู่ตลอดเวลา จากมุมมองหนึ่ง นี่ไม่ได้หมายความว่าเวลาการฝึกฝนของพวกเขาจะยาวนานกว่าผู้ฝึกตนธรรมดาหรือ ไม่น่าจะใช่ ผู้ฝึกตนการหลอมรวมพลังงานวิญญาณไม่สามารถต้านทานลมหนาวนี้ได้แน่นอน พวกเขาต้องมีวิชาลับอะไรสักอย่างแน่
ขณะที่นางกำลังหมกมุ่นอยู่ในความคิดของตัวเอง ทันใดนั้นจิตสัมผัสของนางจับร่องรอยของสิ่งมีชีวิตได้ โม่เทียนเกอหยุดแล้วจึงเปลี่ยนทิศทางและรีบมุ่งไปทางตะวันตกเฉียงเหนือ
จิตสัมผัสของนางจับอยู่ที่แหล่งที่มาของร่องรอยเหล่านั้น หลังจากเหาะมาแค่ระยะเวลาหนึ่ง นางก็เห็นกลุ่มคนเดินกำลังเร่ร่อนอยู่บนธารน้ำแข็ง ไม่น่าเชื่อว่าพวกเขาคือมนุษย์ธรรมดา!
รอยย่นปรากฏขึ้นที่คิ้วนาง ด้วยการโบกแขนเสื้อหนึ่งที นางจึงเริ่มร่อนลง
พลังที่แผ่ออกมาโดยผู้ฝึกตนระดับการสร้างฐานแห่งพลังงานทำให้พวกมนุษย์ตกใจ เมื่อพวกเขาเห็นนาง ก็หมอบลงกับพื้นทีละคนเพื่อทำความเคารพนาง “ด้วยความเคารพท่านเทพเซียน! ด้วยความเคารพท่านเทพเซียน!”
ขณะที่พวกเขากำลังบูชานาง โม่เทียนเกอเหาะลงที่พื้นน้ำแข็ง นางถามว่า “พวกเจ้าเป็นใคร”
ในหมู่พวกมนุษย์ ชายวัยกลางคนหนวดเฟิ้มที่คุกเข่าอยู่ด้านหน้าสุดเงยหน้าขึ้นมาแล้วจึงพูดอย่างนอบน้อมว่า “ปรากฏว่าเป็นท่านเทพธิดานี่เอง พวกเราคงจะตาบอดแน่ที่ไม่รู้ว่าเป็นท่านเทพธิดา ขอท่านเทพธิดาโปรดอภัยให้พวกเราด้วย” ท่าทางของเขาสุภาพอย่างยิ่ง ทว่าเขาอ่อนน้อมจนเกินเหตุ
โม่เทียนเกออดไม่ได้ที่จะต้องขมวดคิ้ว “ไม่จำเป็นต้องทำตัวเช่นนี้ ยืนขึ้นพูดเถอะ”
“ขอรับๆ” ชายคนนั้นพูดตอบซ้ำๆ พร้อมลุกขึ้นจากพื้น จากนั้นเขาตะโกนดังๆ ให้กับพวกคนที่อยู่ด้านหลังเขาได้ยิน “ท่านเทพธิดาบอกว่าให้เรายืนขึ้นได้ ทุกคน ยืนขึ้น ยืนขึ้น!”
คนพวกนั้นลุกขึ้นในกลุ่มสองคนและสามคน โม่เทียนเกอสังเกตว่ามีทั้งผู้ชายและผู้หญิงที่ยังเป็นหนุ่มสาวทั้งหมดและพวกเขาก็ดูค่อนข้างแข็งแรงทีเดียว
“ท่านเทพธิดา พวกเราเป็นส่วนหนึ่งของเผ่าสิงโตทะเล พวกนี้คือดอกบัวหิมะที่เราเก็บมาในครั้งนี้ ท่านเทพธิดาเชิญดูสิขอรับ” ขณะที่พูดเขาก็หยิบเอากล่องหยกขนาดเล็กออกมาจากในชุดคลุมและเสนอกล่องนั้นให้กับนางด้วยทั้งสองมือ
โม่เทียนเกอตะลึง กล่องหยกนี้เป็นประเภทที่โดยปกติผู้ฝึกตนมักจะใช้เพื่อเก็บพืชวิญญาณ และดอกบัวหิมะข้างในก็เป็นพืชวิญญาณด้วย พวกเขากำลังทำอะไรกันอยู่
“เจ้าจำคนผิดหรือเปล่า”
ครั้นสังเกตเห็นว่านางไม่รับกล่องหยกไป ชายผู้นั้นมองนางอย่างมีเลศนัย ทันใดนั้นเขาก็ดูเหมือนจะเข้าใจอะไรบางอย่างและพูดว่า “ท่านเทพธิดา หรือว่าบางทีท่านอาจจะมาจากทางใต้”
“… ใช่” โม่เทียนเกอมองที่ชายคนนั้นพร้อมเลิกคิ้ว “ถามเช่นนี้หมายความว่าอย่างไร”
ชายคนนั้นเผยให้เห็นรอยยิ้มใจดี “เช่นนั้นท่านเทพธิดาก็มาจากทางใต้นี่เอง ไม่น่าแปลกใจที่ท่านเทพธิดาไม่รู้ธรรมเนียมทางภาคเหนือของเรา พวกเราคือคนเก็บดอกบัว ทุกครั้งที่ท่านเทพเซียนในเขตธารน้ำแข็งทางทิศเหนือสุดเจอพวกเราคนเก็บดอกบัว พวกเขามักจะแลกเปลี่ยนศิลาวิญญาณของพวกเขากับดอกบัวหิมะของเรา ดังนั้น…”
“เข้าใจละ…” เขตทิศเหนือสุดนี้และคุนอู๋ต่างกันราวกลางคืนกับกลางวัน ไม่นานหลังจากนั้น โม่เทียนเกอก็จำได้ว่านางต้องการถามพวกเขาว่าอะไร “เจ้าเป็นมนุษย์ธรรมดา แล้วเจ้าสามารถทนกับลมหนาวและหิมะได้อย่างไรกัน พายุหิมะที่นี่ไม่ปกติ!”
“อ้า! ท่านเทพธิดาไม่รู้หรือ” ชายคนนั้นพูดด้วยความประหลาดใจ “เป็นไปได้หรือไม่ว่าท่านเทพธิดาไม่ได้มาผ่านทางเมืองต้าอัน”
“เมืองต้าอัน” โม่เทียนเกอหยุดครู่หนึ่ง นางจำได้ว่าหยกบันทึกที่ตระกูลเยี่ยให้นางไว้บอกว่าทั้งผู้ฝึกตนและมนุษย์ที่ต้องการไปแถบทิศเหนือสุดจำเป็นต้องผ่านเมืองต้าอัน ซึ่งเป็นเมืองใหญ่เมืองสุดท้ายในใจกลางของขั้วท้องฟ้าและจะนำทางไปสู่แถบทิศเหนือสุด การเติมข้าวของหรือถามข่าวคราวเป็นเรื่องสะดวกสบายมากในเมืองนั้น ดังนั้นมันจึงกลายมาเป็นเส้นทางบังคับที่ต้องผ่านไปสำหรับใครก็ตามที่ต้องการจะไปยังเขตทิศเหนือสุด
“หากท่านเทพธิดาผ่านมาทางเมืองต้าอันก็คงจะมีคนคอยบอกท่านเทพธิดาเกี่ยวกับธรรมเนียมทางแถบทิศเหนือสุดของเราเมื่อท่านเติมข้าวของของท่าน”
โม่เทียนเกอพูดแผ่วเบา “ข้ามาที่นี่โดยตรงจากดินแดนใจกลาง ดังนั้นข้าจึงไม่ได้ผ่านเมืองต้าอัน เอาเป็นว่าเจ้าบอกข้ามาว่าที่นี่เป็นอย่างไรดีไหมล่ะ ถ้าเจ้าบอกรายละเอียดข้าได้ ข้าจะตกรางวัลให้”
พอได้ยินส่วนสุดท้ายของประโยค รอยยิ้มกว้างเบ่งบานบนใบหน้าชายคนนั้น เขาพูดซ้ำแล้วซ้ำเล่า “ขอรับๆ ข้าจะอธิบายให้ท่านเทพธิดาฟังอย่างแน่นอน…”
ปรากฏว่าพวกมนุษย์ในเขตทิศเหนือสุดและมนุษย์ในดินแดนใจกลางและคุนอู๋ล้วนแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง ที่นี่ไม่มีทั้งแคว้นหรือเมือง ผู้อยู่อาศัยแค่ถูกแบ่งออกเป็นเผ่าและขนาดของแต่ละเผ่าก็แตกต่างกัน เผ่าที่ใหญ่ที่สุดมีคนมากกว่าหมื่นคน ส่วนเผ่าที่เล็กที่สุดมีเพียงแค่ประมาณหลายสิบคน เผ่าที่ขนาดแตกต่างกันนับพันเผ่าต่างอาศัยอยู่ในเขตธารน้ำแข็งทางทิศเหนือสุดที่กว้างขวางนี้ จำนวนคนรวมทั้งหมดเทียบได้กับจำนวนคนในแคว้นใหญ่ๆ ในดินแดนใจกลางเลยทีเดียว
อย่างไรก็ตาม ไม่ใช่ว่าทุกเผ่าจะเป็นมิตรต่อกัน บางเผ่าแต่งงานเกี่ยวดองกันแต่บางเผ่าก็เกลียดกัน ก่อนที่สำนักเจิ้งฝ่าจะก่อตั้งขึ้น แต่ละเผ่าต่างมีผู้ฝึกตนของตัวเองที่รู้จักกันในฐานะคนทรง ส่วนใหญ่แล้วคนทรงของเผ่าก็เป็นหัวหน้าเผ่าด้วยเช่นกัน ในกรณีที่เผ่าไม่มีคนทรง พวกเขาก็จะต้องเสนอเครื่องบรรณาการให้กับเผ่าอื่นที่มี คนทรง… เคยเป็นเหมือนเทพเจ้าของเผ่าที่อาศัยอยู่ในแถบทิศเหนือสุด
ที่จริงแล้วคนทรงพวกนี้เป็นเพียงผู้ฝึกตนระดับต่ำเท่านั้น แม้แต่คนทรงในเผ่าใหญ่ๆ ก็มีระดับการฝึกตนแค่ในดินแดนการสร้างฐานแห่งพลังงาน นี่คือสิ่งที่นางสรุปได้จากสิ่งที่ชายคนนั้นบอกนาง
เมื่อผู้ฝึกตนจากคุนอู๋มาที่แถบทิศเหนือสุดและก่อตั้งสำนักเจิ้งฝ่าขึ้น พวกเขาสยบคนทรงจากเผ่าใหญ่ๆ และบีบบังคับเปลี่ยนพวกคนทรงของทุกเผ่าให้กลายเป็นผู้ใต้บังคับบัญชาของสำนักเจิ้งฝ่า และเพื่อตอบแทน สำนักเจิ้งฝ่าก็จะรับเผ่าของพวกเขาเข้ามาอยู่ภายใต้ความดูแล
ในตอนแรกพวกเผ่าไม่ได้ยินดีจะยอมจำนนเลยสักนิดเพราะพวกเขารู้สึกว่าสำนักเจิ้งฝ่าทำลายประเพณีของพวกเขา อย่างไรก็ตาม หลังจากได้ประจักษ์กับวิธีที่สำนักเจิ้งฝ่าทำสิ่งต่างๆ พวกเขาก็ตระหนักว่าพวกเขาจะมีชีวิตอยู่ต่อไปได้ดีกว่าก่อนหน้านี้ด้วยความคุ้มครองสำนักเจิ้งฝ่า ดังนั้นพวกเขาจึงค่อยๆ ยอมรับ และด้วยเหตุนั้นสำนักเจิ้งฝ่าจึงกลายมาเป็นเทพเจ้าองค์ใหม่ของพวกเขา
เวลาหลายพันปีได้ผ่านไปและสำนักเจิ้งฝ่าก็ได้หยั่งรากลึกในเขตทิศเหนือสุดแล้วในตอนนี้ ทำให้พวกเผ่าที่นั่นละทิ้งประเพณีของตัวเอง พวกเขาไม่เรียกผู้ฝึกตนของตัวเองว่าคนทรงอีกต่อไป พวกเขากลับทำตามคนในดินแดนใจกลางและคุนอู๋และเรียกผู้ฝึกตนเหล่านั้นว่าท่านเทพเซียนหรือท่านเทพธิดาแทน คนทรงเดิมของพวกเขาบัดนี้ใส่ชุดของชาวลัทธิเต๋าและทำผมมวยสูงแบบชาวลัทธิเต๋า ภาษาเฉพาะของพวกเขาไม่ได้ใช้เป็นภาษาหลักอีกต่อไปแล้ว ตอนนี้พวกเขาพูดแบบเดียวกับคนในดินแดนใจกลางและคุนอู๋ แม้แต่วิธีที่พวกเขาใช้ชีวิตตอนนี้ก็แตกต่างอย่างสิ้นเชิงจากวิธีที่พวกเขาเคยใช้ชีวิตมาเมื่อหลายพันปีก่อน
ก่อนหน้านี้เผ่าหาเลี้ยงชีพด้วยการหาปลาหรือล่าสัตว์อื่นๆ ที่อยู่ใต้ธารน้ำแข็งซึ่งยากลำบากมากและเสี่ยงตายสูง หลังจากการเกิดขึ้นของสำนักเจิ้งฝ่า อย่างไรก็ตาม แต่ละเผ่าภายใต้ความคุ้มครองของพวกเขาจะได้รับเครื่องมือวิญญาณที่สามารถช่วยพวกเขาจับสัตว์ได้ แต่จำเป็นต้องมีศิลาวิญญาณเพื่อใช้เครื่องมือวิญญาณนี้ ดังนั้นพวกเขาเลยตั้งกลุ่มคนเก็บดอกบัวขึ้นมา บนเขตธารน้ำแข็งที่ไร้ขอบเขตนี้ พวกเขาเก็บดอกบัวหิมะเพื่อแลกเปลี่ยนเป็นศิลาวิญญาณ ถึงแม้ว่าการเก็บดอกบัวหิมะจะยากเข็ญเช่นกัน แต่มันก็อันตรายน้อยกว่าการจับสัตว์มากนัก
เพราะพละกำลังที่น่าเกรงขามของสำนักเจิ้งฝ่า พวกมนุษย์ในเผ่าทางแถบทิศเหนือสุดจึงให้ความเคารพต่อผู้ฝึกตนเป็นอย่างมาก ทุกครั้งที่มีผู้ฝึกตนผ่านมา พวกเขาจะต้อนรับอย่างกระตือรือร้นและแสดงให้เห็นว่าจะไปถึงจุดหมายปลายทางได้อย่างไร ถ้าโชคดี พวกมนุษย์ก็จะได้รับศิลาวิญญาณเล็กน้อยเป็นรางวัลตอบแทน
กลุ่มที่โม่เทียนเกอบังเอิญเจอเป็นกลุ่มของคนเก็บดอกบัวจากเผ่าใกล้เคียงที่รู้จักกันในนามเผ่าสิงโตทะเล พวกเขาคิดว่านางเป็นผู้ฝึกตนจากสำนักเจิ้งฝ่า เพราะฉะนั้นพวกเขาจึงเสนอดอกบัวหิมะให้กับนาง
โม่เทียนเกอได้ยินดังนั้นก็เพียงแค่พยักหน้าและถามอีกคำถาม “เจ้าเป็นมนุษย์ ทำไมเจ้าถึงไม่ได้รับผลกระทบจากลมหนาวที่นี่ทั้งที่แม้แต่ผู้ฝึกตนยังทนได้อย่างลำบาก”
ชายคนที่เป็นผู้นำกลุ่มอธิบายว่า “บางทีท่านเทพธิดาอาจจะไม่รู้ แต่นี่คือจุดประสงค์ของดอกบัวหิมะ พวกเราคนที่อาศัยอยู่ในแถบทิศเหนือสุดต้มดอกบัวหิมะและใช้น้ำเพื่อชำระล้างร่างกายของเราตลอดทั้งปี เพราะเหตุนั้นเราจึงไม่เกรงกลัวต่อลมหนาว”
“โอ้” โม่เทียนเกอดูดอกบัวหิมะภายในกล่องหยก รู้สึกสนใจขึ้นมาเล็กน้อย “ถึงแม้ว่าพืชวิญญาณเหล่านี้จะไม่เก่าแก่มากขนาดนั้นแต่มันก็เต็มไปด้วยพลังวิญญาณ ผู้ฝึกตนที่นี่เขายินดีที่จะให้พวกมนุษย์ใช้มันจริงๆ หรือ”
“ข้าขออนุญาตตอบคำถามของท่านเทพธิดาขอรับ ที่นี่มีดอกบัวหิมะธรรมดาอยู่มากมาย ดังนั้นมันจึงไม่ได้มีค่ามากเท่าไร อย่างไรก็ตาม ดอกบัวหิมะที่เสนอให้กับท่านเทพเซียนล้วนแล้วแต่เป็นสายพันธุ์หายากและไม่ได้หาได้ง่ายนัก”
“อ้อ ข้าเข้าใจล่ะ…”
“ท่านเทพธิดา…” หลังจากชายคนนั้นพูดจบ เขาเงยหน้าอีกครั้งและมองโม่เทียนเกออย่างร้อนใจ “บางทีท่านเทพธิดาอาจจะสนใจในดอกบัวหิมะนี้หรือขอรับ”
สิ่งที่เขาพูดทำให้นางรู้สึกงุนงง “เจ้าไม่ได้จะเสนอให้กับผู้ฝึกตนจากสำนักเจิ้งฝ่าหรือ เจ้าได้รับอนุญาตให้มอบให้กับคนนอกด้วยหรือ”
ด้วยรอยยิ้มนอบน้อม ชายคนนั้นกล่าว “ท่านเทพธิดาคงไม่รู้สินะขอรับ สำนักเจิ้งฝ่าไม่เคยคาดหวังให้เราหาดอกบัวหิมะให้แค่กับพวกเขาเท่านั้น ถ้ามีผู้ฝึกตนทางจากใต้มา เราก็สามารถแลกดอกบัวหิมะเป็นศิลาวิญญาณกับพวกเขาได้ ครั้งหนึ่งข้าเคยได้ยินท่านเทพเซียนของเผ่าข้าพูดว่าดอกบัวหิมะสามารถใช้ปรุงยาวิเศษชนิดหนึ่งที่ออกฤทธิ์แค่กับผู้ฝึกตนที่สามารถฝึกเวทมนตร์ธาตุน้ำได้ ดังนั้นผู้ฝึกตนทางใต้จะได้ไม่มาแย่งพวกมันไปจากเรา อย่างมากที่สุดพวกเขาก็อาจจะซื้อบางส่วนไปจากเราเพื่อใช้เองส่วนตัวซึ่งไม่ได้มีผลกระทบต่อสำนักเจิ้งฝ่า”
“…” ไม่น่าแปลกใจที่สำนักเจิ้งฝ่ากลายเป็นอำนาจที่ปกครองที่นี่ พวกเขาสร้างตัวขึ้นจากรากฐานของรากวิญญาณและเวทมนตร์พิเศษเฉพาะตัว พวกเขาใช้อำนาจขัดขวางพวกมนุษย์และยังให้ความกรุณาต่อพวกเขาด้วยเช่นกัน แต่ถึงอย่างนั้นพวกมนุษย์ก็ไม่เคยถูกปฏิบัติด้วยวิธีรุนแรง ดังนั้นหลังจากเวลาผ่านไปนาน พวกมนุษย์จึงเคารพสำนักเจิ้งฝ่าไปโดยปริยายและบูชาพวกเขาเหมือนเป็นเทพเจ้าด้วยความจริงใจ
ด้วยความคิดนั้นในใจ โม่เทียนเกอยื่นมือออกไปเพื่อรับดอกบัวหิมะในกล่องหยก นางตรวจดูมันสักพักแล้วจึงถามว่า “เจ้าต้องการศิลาวิญญาณเท่าไรเพื่อแลกกับดอกบัวหิมะดอกนี้”