“เจ้าไม่ต้องขยับมาใกล้ข้านักก็ได้!”
นี่เป็นครั้งแรกที่เย่ซิงเฉินถูกชายหนุ่มสัมผัสมือหัวใจของนางถึงกับเต้นแรง และเมื่อเห็นหลิงหยุนจงใจโน้มตัวมาด้านหน้าเช่นนี้ นางจึงรีบร้องบอกเขาทันที..
เวลานี้ร่างกายท่อนบนของหลิงหยุนนั้นเปลือยเปล่าเพราะเสื้อของเขานั้นได้ถูกกระบี่มารดำของซือกงถูเฉือนจนขาดวิ่นไม่มีชิ้นดีไปแล้ว อีกทั้งหลิงหยุนก็ได้ฝึกฝนจนผ่านขั้นปรับร่างกายมาได้ถึงเก้าขั้นแล้ว ผิวพรรณของเขาจึงกระจ่างใส นวลเนียน และอ่อนโยนราวกับผิวเด็กทารกก็ไม่ปาน..
และผลของการผ่านขั้นปรับร่างกายมาได้นั้นทำให้รูปร่างของหลิงหยุนนั้นไร้ซึ่งไขมันส่วนเกิน มีเพียงกล้ามเนื้อเยี่ยงชายชาตรีเป็นมัดๆ และมีกล้ามท้องถึงแปดมัดทีเดียว..
ทุกครั้งหญิงสาวไม่ว่าใครก็ตาม..หากได้พบเห็นหลิงหยุนก็ยากนักที่จะถอนสายตาจากเขาไปได้ นั่นเพราะหลิงหยุนไม่ได้มีเพียงใบหน้าที่หล่อเหลามีเสน่ห์ แต่ยังมีรูปร่างที่สมบูรณ์แบบอย่างหาที่ติไม่ได้ด้วย เช่นนี้แล้ว.. ไม่ว่าหญิงใดที่พบเห็นก็ย่อมรู้สึกจิตใจหวั่นไหวเป็นธรรมดา!
เพียงแต่เย่ซิงเฉินนั้นไม่ใช่หญิงสาวปกติธรรมดาแต่นางคือธิดาพรรคมาร!
หลิงหยุนรู้สึกผิดหวังเล็กน้อยที่ถูกเย่ซิงเฉินไล่ให้ถอยห่างออกไปเช่นนั้นแต่ก็ทำอะไรไม่ได้ นอกจากดึงตัวกลับคืนมา แต่ฝ่ามือของเขายังคงแนบชิดกับฝ่ามือของนางอยู่เช่นเดิม พร้อมกับบ่นพึมพำ..
“หากจะให้ถอยห่างกว่านี้..เจ้าก็คงต้องต่อแขนของข้าให้ยาวกว่านี้แล้วล่ะ!”
เย่ซิงก้มหน้าลงและไม่กล้ามองร่างท่อนบนที่เปลือยเปล่าของหลิงหยุนและพูดออกไปว่า “เจ้าอย่าแกล้งโง่ไปหน่อยเลย.. ข้าหมายถึงว่าเจ้าค่อยๆ ขยับตัวเข้ามาหาข้าทำไมกัน”
ระหว่างที่ทั้งคู่กำลังต่อปากต่อคำกันอยู่นั้นหลิงหยุนก็ได้ใช้จิตหยั่งรู้ของตนเองสำรวจดูเส้นลมปราณในร่างกายของเย่ซิงเฉิน แต่ก็ต้องประหลาดใจอย่างมาก..
หลิงหยุนพบว่าภายในร่างกายของเย่ซิงเฉินนั้นมีพลังปราณสีน้ำเงินเข้มที่ดุดันคล้ายกับงูพิษกำลังโอบรัดเส้นลมปราณบางส่วนของเย่ซิงเฉินอยู่ และพลังปราณสีน้ำเงินเข้มคล้ายงูนั้น ก็กำลังกัดแทะทำลายเส้นลมปราณวิสามัญทั้งแปดด้วย..
แต่ถึงกระนั้นก็ดูเหมือนว่า..ปราณปีศาจภายในร่างกายของเย่ซิงเฉินนั้นจะแกร่งกล้าอย่างมาก เพราะแม้ว่าเส้นลมปราณของนางจะถูกกัดแทะเสียหาย แต่ปราณปีศาจภายในร่างของเย่ซิงเฉินกลับกำลังต่อสู้กับพลังปราณสีน้ำเงินเข้มที่คล้ายกับงูพิษอย่างไม่ยอมแพ้..
หลิงหยุนพึมพำออกมา“มันคือ”
“มันคือปีศาจงูงั้นรึ”
เย่ซิงเฉินพยักหน้า..“ใช่แล้ว! ซือกงวู่ฉิงเคยไปฝึกวิชาประหลาดที่สำนักลึกลับแห่งหนึ่งในประเทศญี่ปุ่นนานถึงเจ็ดแปดปี พลังปราณของมันจะมีความแปลกประหลาด เพราะมีลักษณะคล้ายกับปีศาจงูที่น่ากลัว หากพลังปราณที่แปลกประหลาดนี้เข้าสู่ร่างของผู้ใด ก็ยากนักที่จะกำจัดออกไปได้..”
เย่ซิงเฉินอธิบายให้หลิงหยุนฟังต่ออย่างละเอียด..
“ซือกงวู่ฉิงไปฝึกวิชาที่ประเทศญี่ปุ่นนานหลายปีนั้นไม่เพียงไปฝึกวิชาแปลกประหลาดเหล่านี้ แต่ยังได้ฝึกฝนการใช้อาวุธลับต่างๆด้วย น่าเสียดายที่ข้าฝีมือด้อยกว่ามัน มันจึงหนีรอดไปได้!”
เย่ซิงเฉินร้องตะโกนออกมาอย่างหงุดหงิดใจ“คนผู้นี้ทั้งเหี้ยมโหดยิ่งนัก! เพียงเพื่อต้องการเอาชีวิตรอด มันถึงกับไม่สนใจใยดีน้องชายตัวเอง..”
“หลิงหยุน..หากเจ้าต้องเผชิญหน้า หรือประมือกับมันอีกครั้ง เจ้าต้องระวังตัวให้มากกว่าเดิม!”
“ข้ารู้..”
จากนั้น..หลิงหยุนก็เริ่มเดินพลังลับหยิน–หยาง และค่อยๆ ถ่ายเทพลังหยินบริสุทธิ์ให้กับเย่ซิงเฉิน แล้วค่อยๆ กำจัดพลังปราณสีน้ำเงินเข้มนั้นออกไป
พลังหยินบริสุทธิ์จากร่างของหลิงหยุนค่อยๆเคลื่อนตัวไปตามเส้นลมปราณในร่างกายของเย่ซิงเฉิน และเมื่อปะทะเข้ากับพลังปราณปีศาจงูที่กำลังโอบรัด และแทะกินเส้นลมปราณอยู่ หลิงหยุนก็จะขับพลังหยินบริสุทธิ์ห่อหุ้มปราณปีศาจงูนั้น และกำจัดมันออกไปโดยเร็วที่สุด..
หลังจากที่ได้กำจัดปราณชั่วร้ายออกจากร่างของเย่ซิงเฉินและถ่ายเทหยินบริสุทธิ์ลงไปแทนแล้ว หลิงหยุนก็ยังไม่หยุดอยู่เพียงเท่านั้น เขาได้ทำการเดินพลังหยินบริสุทธิ์เข้าสู่จุดตันเถียนของเย่ซิงเฉินต่อไป..
“นี่คือหยินบริสุทธิ์..ปราณปีศาจในร่างกายของเจ้าจะสามารถดูซับ และนำไปใช้ประโยชน์ต่อไปได้!”
หลิงหยุนร้องบอกเย่ซิงเฉินในระหว่างที่ทำการถ่ายเทพลังหยินบริสุทธิ์เข้าไปในร่างกายของเย่ซิงเฉินเพื่อช่วยซ่อมแซมเส้นลมปราณที่เสียหาย และรักษาอาการบาดเจ็บภายในให้กับนาง..
ผ่านไปครู่ใหญ่..เมื่อเห็นว่าอาการของเย่ซิงเฉินดีขึ้นมากแล้ว เขาจึงได้หยุดการรักษาไว้เพียงเท่านั้น!
“ในเมื่อรักษาข้าเรียบร้อยแล้วเจ้าก็ดึงฝ่ามือของเจ้ากลับไปได้แล้ว!”
“อ่อ..ข้าลืมไป!”
หลิงหยุนจ้องมองเย่ซิงเฉินที่ดึงฝ่ามือของตนเองกลับไปด้วยท่าทีระล้าระลังก็ได้แต่ยิ้มอกมา ในขณะที่เย่ซิงเฉินเองก็เอ่ยถามขึ้นมาว่า
“เหตุใดเจ้าจึงไม่ใช้ยันต์วิเศษพวกนั้นยันต์บำบัดของเจ้าใช้รักษาอาการบาดเจ็บของข้าไม่ได้งั้นรึ?”
หลิงหยุนยิ้มพร้อมกับอธิบายไปว่า“เวลานี้.. ยันต์ระดับสูงสุดที่ข้าสามารถปลุกเสกได้ก็คือยันต์ระดับหก ซึ่งยันต์บำบัดระดับนี้จะสามารถรักษาอาการบาดเจ็บภายนอก และระบบเส้นประสาทต่างๆได้ แต่ยังไม่สามารถรักษาเส้นลมปราณ หรือจุดฝังเข็มต่างๆ และจุดตันเถียนภายในร่างกายได้!”
สิ่งที่หลิงหยุนบอกกับเย่ซิงเฉินนั้นล้วนเป็นความจริงและตราบใดที่เขาสามารถปลุกเสกยันต์ระดับเจ็ดได้ เมื่อนั้นฤทธิ์ของยันต์ระดับเจ็ดจึงจะสามารถเรียกว่ายันต์วิเศษได้อย่างเต็มปาก..
แต่จะสามารถปลุกเสกยันต์ระดับเจ็ดได้ก็ต้องเข้าสู่ด่านกลางของขั้นพลังชี่แล้วเท่านั้น!
เย่ซิงเฉินได้ฟังหลิงหยุนพูดจึงได้แต่ร้องถามออกมาด้วยความอยากรู้อยากเห็น “หลิงหยุน.. เจ้าคือผู้ฝึกบ่มเพาะตนงั้นรึ”
แทนคำตอบ..หลิงหยุนกลับอ้าปากกว้าง และกระบี่เหินเงาธนูก็พุ่งออกมาจากปากของเขา แล้วค่อยๆ ขยายใหญ่ขึ้น!
“จัดการ!”
ภายใต้คำสั่งและการควบคุมด้วยพลังจิตของหลิงหยุนกระบี่เหินเงาธนูก็พุ่งเข้าตัดต้นไม้ที่อยู่ด้านหน้าไกลออกไปราวยี่สิบเมตรอย่างคล่องแคล่วว่องไว จากนั้นจึงบินกลับมา และวนเวียนอยู่แถวๆไหล่ซ้ายของหลิงหยุน..
ลำต้นขนาดใหญ่นั้นล้มครืนลงมาทันที!
สิ่งที่หลิงหยุนแสดงให้เห็นนั้นย่อมชัดเจนกว่าคำพูดและหลังจากที่เย่ซิงเฉินได้เห็น หลิงหยุนก็ไม่จำเป็นต้องอธิบายอะไรอีก!
เย่ซิงเฉินได้แต่พึมพำออกมา“ซือกงถูนับว่าโชคร้ายนัก ที่ได้มาพบกับเจ้า!”
หลิงหยุนส่ายหน้าช้าๆพร้อมกับตอบไปว่า “เจ้าคิดผิดแล้ว.. การต่อสู้ระหว่างข้ากับซือกงถูนั้นนับว่าต่างฝ่ายต่างก็เอาชนะอีกฝ่ายได้ยากยิ่ง หากข้าพลาดไปแม้เพียงเล็กน้อย ข้าก็จะเป็นฝ่ายถูกซือกงถูสังหารตายทันทีเช่นกัน!”
และหลิงหยุนก็กำลังพูดถึงการต่อสู้ระหว่างเขากับเทพอสูรทมิฬนั่นเอง!
หากเทพอสูรทมิฬตนนั้นไม่ใช่เพียงแค่ภาพลวงตาซึ่งสร้างขึ้นจากพลังปราณของซือกงถูแล้วล่ะก็ไม่แน่ว่าพลังหยางพิสุทธิ์ของเขาก็อาจจะไม่สามารถกำจัดมันได้ เพราะเวลานี้วิชาพลังหยางพิสุทธิ์ของหลิงหยุนยังอยู่เพียงแค่ขั้นที่สองเท่านั้น จึงยังไม่แข็งแกร่งพอที่จะสังหารเทพอสูรจริงๆได้!
“ข้าจำได้ว่าเจ้าเองก็อยู่ในระดับสูงสุดขั้นเซียงเทียน-7ไม่ใช่รึ ในฐานะที่เป็นศิษย์ของท่านแม่ข้า เจ้ายังนับว่าก้าวหน้าช้าไป!”
หลิงหยุนนั้นไม่รู้จริงๆว่ามารดาผู้ให้กำเนิดตนเองนั้นอยู่ในขั้นใดแต่เขาพิจารณาจากการที่หยิงชิงเฉวียนถ่ายทอดวิชาให้กับเย่ซิงเฉินนานนับสิบปี แต่เย่ซิงเฉินกลับยังอยู่เพียงแค่ขั้นเซียงเทียน-7 ซึ่งหลิงหยุนมองว่ายังก้าวหน้าช้าไป..
เย่ซิงเฉินได้ฟังหลิงหยุนพูดก็ถึงกับร้องออกมาอย่างขุ่นเคืองใจ“เจ้าจะไปรู้อะไร!”
“ตลอดหลายปีมานี้ท่านอาจารย์เฝ้าย้ำให้ข้าสร้างรากฐานให้มั่นคงไม่ให้รีบร้อน อีกทั้งตั้งแต่เกิดเรื่องในครั้งนั้น ท่านอาจารย์ก็ถูกกักตัวอยู่ในแดนต้องห้าม ออกไปใหนมาใหนไม่ได้ การฝึกฝนของพวกเราล้วนเป็นไปด้วยความขาดแคลน..”
ครั้งนี้หลิงหยุนได้ฟังถึงกับร้องอุทานออกมาอย่างตกใจ! “นี่เจ้ากำลังจะบอกข้าว่า..ที่ผ่านมาเจ้าฝึกฝนโดยไม่มีโอสถใดๆช่วยเลยงั้นรึ”
หลิงหยุนนิ่งอึ้งไปเล็กน้อยก่อนจะพูดต่อว่า“เจ้ากำลังจะบอกข้าว่าที่ผ่านมาเจ้าเข้าสู่ระดับสูงสุดขั้นเซียงเทียน-7 นี้ ท่านแม่เพียงแค่ต้องการวางรากฐานให้กับเจ้างั้นรึ”
หลิงหยุนได้แต่ตกตะลึง..เด็กสาวอายุเพียงแค่สิบแปดปี แต่สามารถฝึกฝนจนสามารถเข้าสู่ระดับสูงสุดขั้นเซียงเทียน-7 ได้โดยไม่พึ่งโอสถใดๆ!
พรสวรรค์ของเย่ซิเฉินนั้นนับว่าอัศจรรย์และน่าเหลือเชื่อยิ่งนัก! novel-lucky
เย่ซิงเฉินยังคงพูดอย่างภาคภูมิใจ“ท่านอาจารย์เก่งกว่าข้ามากนัก!”
เมื่อได้ยินเย่ซิงเฉินพูดถึงหยิงชิงเฉวียนหลิงหยุนจึงร้องถามด้วยความห่วงใย “เวลานี้ท่านแม่เป็นเช่นใดบ้าง”
เย่ซิงเฉินนิ่งอึ้งไปครู่หนึ่งก่อนจะตอบไปว่า“ท่านอาจารย์จะสบายดีได้อย่างไรกัน นางถูกผู้เฒ่าพรรคมารทั้งเก้าขังไว้ในค่ายกลนานถึงสิบแปดปี ทุกวัน.. นอกจากจะเฝ้าคิดถึงเจ้าแล้ว นางก็ยังเฝ้าคิดถึงท่านลุงหลิง จนเวลานี้ผมของนางขาวโพลนเกือบหมดแล้ว.. หลายครั้งที่ข้าแอบเห็นนางร้องไห้เงียบๆ”
หลิงหยุนถึงกับกำหมัดแน่นเมื่อได้ยินคำบอกเล่าของเย่ซิงเฉินและถามขึ้นด้วยความร้อนใจ “ข้าสามารถพูดคุยกับท่านแม่ผ่านเครื่องมือสื่อสารได้หรือไม่”
เย่ซิงเฉินได้แต่ส่ายหน้า“ไม่ได้! ที่นั่นมีค่ายกลล้อมรอบ ทำให้สัญญาณเครื่องมือสื่อสารต่างๆไม่สามารถผ่านเข้าไปได้ ข้าอยู่ข้างนอกหากมีเรื่องจะรายงานท่านอาจารย์ ก็ต้องรายงานผ่านท่านป้าชิงหยวน!”
“ในความเห็นของเจ้า..ด้วยความแข็งแกร่งของข้าเวลานี้ เจ้าคิดว่าข้าจะสามารถทำลายค่ายกลนั่นได้หรือไม่”
และหากเย่ซิงเฉินตอบว่า‘ได้’ หลิงหยุนก็พร้อมที่จะบุกไปพบแม่ของเขาทันที!
แต่เย่ซิงเฉินกลับส่ายหน้า“แม้แต่ท่านอาจารย์ยังทำลายค่ายกลไม่ได้ แล้วเจ้าในเวลานี้จะสามารถทำลายค่ายกลได้อย่างไรกันเล่า เป็นไปไม่ได้!”
“ยิ่งไปกว่านั้น..ต่อให้เจ้าสามารถทำลายค่ายกลได้จริง ที่นั่นก็ยังมีผู้เฒ่าพรรคมารทั้งเก้าอยู่ ขืนเจ้าเข้าไปก็ต้องถูกพวกเขาสังหารตายในทันที!”
หลิงหยุนร้องถามด้วยความแปลกใจ“ผู้เฒ่าพรรคมารเก่งกาจ และแข็งแกร่งมากงั้นรึ”
เย่ซิงเฉินเกรงว่าหลิงหยุนจะได้รับอันตรายจึงรีบอธิบายให้เขาฟัง“ในพรรคมารมีเทพอสูรที่พวกเราบูชายันต์ และผู้เฒ่าทั้งเก้าต่างก็สามารถเรียกเทพอสูรเหล่านั้นออกมาต่อสู้แทนตนเองได้!”
หลิงหยุนครุ่นคิดอย่างหนักและในที่สุดก็ตัดสินใจล้มเลิกแผนการช่วยแม่ไว้ก่อน จากนั้นจึงร้องบอกเย่ซิงเฉินด้วยน้ำเสียงหนักแน่น
“เจ้าช่วยบอกกับท่านแม่ของข้าด้วยว่า..ขอให้อดทนรอข้าอีกหนึ่งปี ข้าจะต้องสามารถทำลายค่ายกลนั่นได้อย่างแน่นอน ถึงตอนนั้นข้าจะไปพานางออกมาสู่โลกภายนอกอีกครั้ง!”
ดวงตาคู่งามของเย่ซิงเฉินเป็นประกายขึ้นมาพร้อมกับตอบหลิงหยุนด้วยน้ำเสียงมั่นใจ “ข้าเชื่อว่าเจ้าต้องทำได้อย่างแน่นอน!”
เย่ซิงเฉินรีบเปลี่ยนหัวข้อสนทนาทันที“เอาล่ะ.. เลิกคุยเรื่องหนักๆกันดีกว่า!”
“ข้าจำได้ว่า..ครั้งก่อนที่เราพบกัน เจ้าสัญญกับข้าว่าหากได้พบกันอีกครั้ง เจ้าจะนำของขวัญมามอบให้กับข้า!”
เย่ซิงเฉินพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงที่ฟังคล้ายกับไม่ใส่ใจแต่ความจิรงแล้วหัวใจของนางกำลังเต้นรัวราวกับเสียงกลอง.. นางเกรงว่าหลิงหยุนจะลืมเรื่องของตนเองไปแล้ว!
“เรื่องนั้นข้าไม่ลืมอยู่แล้วและได้เตรียมของขวัญไว้มอบให้กับเจ้าแล้ว เพียงแต่ต้องมีข้อแลกเปลี่ยน!”
“ข้อแลกเปลี่ยนอะไร”
“เปิดผ้าคลุมหน้าของเจ้าออกให้ข้าได้เห็นใบหน้าที่แท้จริงของเจ้า!” “เจ้าพูดเองไม่ใช่รึว่าข้าหน้าตาอัปลักษณ์หากเจ้ามีความสามารถ ก็เปิดออกดูได้เลย”
“ข้าก็อยากจะรู้นักว่าเจ้าจะขี้ริ้วขี้เหร่สักเพียงใด”
หลิงหยุนพูดพร้อมกับสะบัดข้อมือคว้าผ้าคลุมหน้าของเย่ซิงเฉินไว้และรีบกระตุกออกทันที..
หลิงหยุนถึงกับตกตะลึงและร่างทั้งร่างถึงกับหยุดชะงัก!
ผิวของเย่ซิงเฉินนั้นนวลเนียนราวกับหยกเนื้อดีใบหน้างดงามอย่างที่หลิงหยุนเองก็ไม่สามารถบรรยายออกมาได้ เขารู้สึกเพียงว่ารอบๆตัวเขาในเวลานี้ราวกับหยุดชะงัก และในใจคิดเพียงว่า..
เย่ซิงเฉินช่างงดงามยิ่งนัก!