TQF:บทที่ 706  เกิดเรื่องกับสัตว์อมตะ (1)

 

คำขอของท่านย่าเฉิงเสี่ยวเสี่ยวย่อมตกลงอยู่แล้ว นางพยักหน้านิดหน่อย ครุ่นคิดถึง 10 เพลงย้อนยุคที่ดังที่สุด

 

ไม่ว่าจะเป็น ‘ภูเขาธารน้ำ’ ‘สุสานกว่าง’ หรือ ‘ดักซุ่ม 10 ทิศ’ ‘นกอินทรีทะเลทราย’ หรือ ‘พระจันทร์ในราชวังฮั่น’ ‘แสงแดดใบไม้ผลิหิมะขาว’ ในหมู่เพลงดังทั้ง 10 เฉิงเสี่ยวเสี่ยวชอบ ‘หยอกล้อดอกเหมย’ ที่สุด เพราะนางชอบดอกเหมย ตอนที่ฝึกพิณก็ฝึกเพลง ‘หยอกล้อดอกเหมย’ มากที่สุด

 

นิ้วมือกดสายพิณไว้แน่น เฉิงเสี่ยวเสี่ยวยิ้มบางๆ “ถ้าอย่างนั้นข้าจะเล่นตามใจแล้วกัน”

 

เสียงพิณดังขึ้น โน้ตดนตรีสงบเรียบหรูดังขึ้นเบาๆข้างหูทุกคน สีหน้าของทุกคนรอบๆเปลี่ยนไป รอยยิ้มค่อยๆจางลง ราวกับทุกตัวโน้ตสะกดจิตใจไว้ให้ดื่มด่ำไปกับมันโดยไม่รู้ตัว

 

เหมือนกับได้เห็นดอกเหมยหย่อมใหญ่เบิกบานท่ามกลางลมหนาว บนกิ่งไม้มีดอกเหมยบานสะพรั่งสู้กับหิมะโดยไม่กลัวความหนาวเย็น ไม่หวั่นไหวกับหิมะที่ถล่มลงมา เชิดหน้าบานสะพรั่งต่อไป เพียงหนึ่งเดียวที่ยืนหยัดอยู่ท่ามกลางพายุหิมะอย่างสง่า เพิ่มพลังชีวิตและสร้างภาพอันงดงามอย่างพิเศษให้กับฤดูหนาวนี้

 

ขณะนั้นผู้คนต่างเกิดความรู้สึกขึ้นในใจ อย่างเช่น “กระบี่คมได้จากการขัด กลิ่นหอมดอกเหมยมากับหน้าหนาว” “เงาในน้ำเอนเอียง กลิ่นหอมตลบอบอวลไปถึงพระจันทร์”

 

เสียงพิณหยุดไปนานแล้ว แต่ทุกคนยังหลับตาอยู่ เสียงดนตรีอันไพเราะเพราะพริ้งนี้ทำให้พวกเขาดื่มด่ำไปกับมันจนไม่อยากกลับสู่โลกความเป็นจริง ข้างหูยังคงสะท้อนเป็นโน้ตอันงดงาม

 

คนแรกที่ได้สติกลับมาคือหยูเฮงน้อย นางคลี่ยิ้มด้วยความเบิกบาน “เพราะ เพราะจริงๆ คุณหนู เพลงนี้คือเพลงอะไร”

 

“หยอกล้อดอกเหมย” เฉิงเสี่ยวเสี่ยวกล่าวเบาๆ ก่อนจะเก็บพิณโบราณ ไม่คิดจะเล่นให้พวกเขาฟังอีก

 

“เพลงเพราะ เป็นครั้งแรกที่ข้าได้ฟังเพลงแบบนี้ เพลงดีจริงๆ” หลังจากที่หวงฝู่เส้าจวินได้สติกลับมาก็อดถอนหายใจไม่ได้ สายตาที่มองเฉิงเสี่ยวเสี่ยวเป็นประกายแตกต่างออกไป

 

หยูเฮงน้อยชำเลืองมองเขาและพูดอย่างจริงจัง “พระโอรส เจ้าไม่ต้องไปโอ้อวดข้างนอกอีกนะ เรียกให้คนเป็นฝูงมาหาเรื่องคุณหนูข้าอีก ถ้ามีเรื่องแบบนี้เกิดขึ้นอีกจากนี้เจ้าอย่าหวังเลยว่าจะได้เข้ามาในบ้านพวกเรา”

 

“เอ่อ…” หวงฝู่เส้าจวินหน้าแข็งทื่อ คลี่ยิ้มอย่างไม่เป็นธรรมชาติ และพยักหน้า “วางใจเถอะ ข้าไม่แพร่งพรายออกไปหรอก และจะไม่เกิดเรื่องแบบนั้นขึ้นอีก”

 

“รู้ก็ดี” หยูเฮงน้อยเหล่มองเขา ดูเหมือนจะยังไม่ค่อยพอใจในตัวเขา

 

ทุกคนหัวเราะกันหมด ถึงอย่างไรเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อคราวก่อนทุกคนก็รู้อยู่แก่ใจดี รบกวนเฉิงเสี่ยวเสี่ยวที่ชอบความสันโดษจริงๆนั้นแหละ

 

หวงฝู่เส้าจวินมีสีหน้าเจี๋ยมเจี้ยม แต่เขาก็ไม่ได้พูดอะไร มองเฉิงเสี่ยวเสี่ยวด้วยแววตารู้สึกผิด

 

เฉิงเสี่ยวเสี่ยวไม่ได้เก็บเรื่องนี้มาใส่ใจ ฟางซูหยุนที่อยู่ข้างๆกลับนึกออกอีกเรื่องนึง “เสี่ยวเสี่ยว อีก 10 กว่าวันก็จะถึงวันงานประลองสกัดยาแล้ว เจ้าจะเข้าร่วมมั้ย”

 

คำถามนี้เป็นที่สนใจของเหล่าคนที่มาจากตระกูลหวงฝู่ทันที ทุกสายตาหันขวับไปที่นาง ต่างจ้องมองนางอย่างตะลึง

 

นางสกัดยาเป็นด้วยเหรอ เรื่องนี้น่าตกใจจริงๆ

 

ส่วนพี่น้องตระกูลฟางรู้เรื่องนี้อยู่แล้วพวกเขาจึงไม่แปลกใจ แต่ก็อยากรู้ว่านางจะเข้าร่วมงานประลองครั้งนี้มั้ย

 

“ไม่เข้าร่วม” เฉิงเสี่ยวเสี่ยวส่ายหัว ทอดสายตาไปที่หยูเฮงน้อยและถามขึ้น “เจ้าจะเข้าร่วมมั้ย ไปแย่งชิงอันดับ 1 สักหน่อยเปล่า”

 

“ข้าเหรอ” หยูเฮงน้อยเม้มปากใช้ความคิด แต่ก็ยังตัดสินใจไม่ได้ “คุณหนู ท่านว่าข้าไปเที่ยวเล่นหน่อยดีมั้ย”

 

“ถ้าเจ้ารู้สึกเบื่อละก็ไปเที่ยวเล่นได้”

 

“เรื่องนั้น ข้าขอคิดดูก่อน” แม้หยูเฮงน้อยจะหวั่นไหว แต่นางก็ไม่อยากแสดงต่อหน้าฝูงชน

 

“ตามใจเจ้า” เฉิงเสี่ยวเสี่ยวไม่เคยคิดบังคับเจ้าตัวเล็ก

 

“น้องสาว รางวัลอันดับ 1 เยอะมากเลยนะ เจ้าไม่เข้าร่วมจริงๆเหรอ” เมื่อได้ยินบทสนทนาของพวกนาง ฟางถงยวี่อดเอ่ยขึ้นมาไม่ได้ “ถ้าพวกเจ้าเข้าร่วมต้องได้ที่ 1 แน่ เหมือนว่ารางวัลอันดับ 1 จะเป็นของวิเศษเซียนนะ น่าเสียดายแย่”

 

“ขอวิเศษเซียน?” หยูเฮงน้อยเบิกตากว้าง ถามด้วยความประหลาดใจ “คุณหนู จริงรึเปล่า พวกเขาใจดีขนาดนั้นเลยรึ แจกของวิเศษเซียน”

 

“ถูกต้อง ข่าวนี้ถูกปล่อยออกมานานแล้ว อันดับ 1 ของงานประลองสกัดยาครั้งนี้จะได้ของวิเศษเซียน เพราะงั้นถึงดึงดูดนักสกัดยามาร่วมงานประลองครั้งนี้ได้เยอะมาก ตอนนี้โรงเตี๊ยมทั้งชิงยางเต็มหมด แต่ก็ยังมีคนจำนวนไม่น้อยกำลังเดินทางมา”

 

หวงฝู่หยีมู่มองเฉิงเสี่ยวเสี่ยวและหยูเฮงน้อยพลางกรอกลูกตาไปมา คิดอะไรไปด้วยในขณะเดียวกัน

 

ดูเหมือนหยูเฮงน้อยจะเริ่มสนใจ “ถ้ามีของวิเศษเซียนละก็น่าไปเที่ยวเล่นอยู่ ดูซิว่าพวกเขาจะให้ของวิเศษเซียนอะไร”

 

“ไม่คิดว่าเด็กสาว 2 คนนี้จะเก่งขนาดนี้ เป็นนักสกัดยาด้วย เหลือเชื่อจริงๆ” หวงฝู่มั่วเฉินอดอุทานออกมาไม่ได้ ถ้าไม่ได้ยินกับหูตัวเองคงไม่เชื่อแน่ๆ

 

ทุกคนเริ่มคุยกันถึงงานประลองสกัดยา เฉิงเสี่ยวเสี่ยวออกความคิดเห็นเป็นบางครั้งบางคราว นอกนั้นนางแค่ฟังแต่ไม่พูดอะไร

 

เวลาลาลับไปในแวลาแปปเดียว ผู้คนเริ่มบอกลาและกลับไป ถึงยังไงพวกเขาก็มีเรื่องให้ไปจัดการไม่มากก็น้อย เฉิงเสี่ยวเสี่ยวและหยูเฮงน้อยถือเป็นบุคคลไม่มีงานการให้ทำ ใช้ชีวิตไปอย่างสบายๆ

 

ผ่านไปอีกครึ่งค่อนวัน คนไปกันจะหมดแล้ว แม้แต่ฟางซูหยุนก็ออกไปกับหวงฝู่มั่วเฉิน แต่แม่ทัพอ๋องหวงฝู่หยีมู่กลับยังอยู่ และไม่มีทีท่าว่าจะไป

 

“เอ๋ เจ้าไม่ต้องไปทำอะไรเหรอ” หยูเฮงน้อยมองคนที่ไม่มีทีท่าว่าจะลุกขึ้นด้วยความสงสัย

 

หวงฝู่หยีมู่ที่กำลังดื่มชาวิเศษอยู่ยิ้มยิงฟัน “ข้าก็กำลังทำอยู่นี่ไง”

 

“ทำอยู่เหรอ” หยูเฮงน้อยมีสีหน้าไม่เข้าใจ

 

เฉิงเสี่ยวเสี่ยวสร้างเกราะป้องกันขึ้นด้วยท่าทีเรียบๆและถามขึ้น “พระโอรสมีอะไรก็บอกมาตรงๆเถอะ ไม่เป็นไร”

 

“เสี่ยวเสี่ยว ข้าเคยบอกตั้งนานแล้วว่าเจ้าเรียกชื่อข้าได้ หรือว่าด้วยความสัมพันธ์ของพวกเรายังต้องทำเหมือนไม่สนิทกันรึ”

 

“สนิทไม่สนิทอะไรกัน ไม่ว่าจะชื่อหรือว่าฐานะก็แค่การเรียกขานเท่านั้น พระโอรสจะคิดมากทำไม”

 

เฉิงเสี่ยวเสี่ยวยังคงตอบด้วยท่าทีเรียบๆ มีแววเศร้าๆอยู่ในตา ไม่ได้สนใจสีหน้าอึมครึมของอีกฝ่าย

 

ช่วง 2 เดือนกว่านี้ไม่ว่าหวงฝู่หยีมู่จะทำอะไรก็ดูเหมือนว่าจะไม่สามารถเข้าใกล้อีกฝ่ายได้เลยแม้แต่ก้าวเดียว เจ็บใจแต่ก็ไม่อยากยอมแพ้ จึงต้องยอมใช้เวลาอยู่ด้วยกัน

 

“เฮ้ เจ้าตัวสูง เจ้าเหม่ออะไรน่ะ” หยูเฮงน้อยร้องเรียกคนที่ไม่พูดไม่จา

 

หวงฝู่หยีมู่เงยหน้าขึ้นและยิ้ม “เหม่ออะไรกัน ข้าก็แค่ถูกคนสวยสะกดก็เท่านั้นเอง”

——————————-