ตอนที่ 41-2

จารใจรัก

ฉินอวี้สำรวจมองพักหนึ่ง จากนั้นก็ชี้ตำแหน่งหัวใจจากข้างหลังพลางถามเซี่ยฟางหวา “ตรงนี้หรือ” 

 

 

           เซี่ยฟางหวาพยักหน้า 

 

 

           ฉินอวี้วางมือทาบลงบนตำแหน่งนั้นโดยเว้นระยะห่างครึ่งฉื่อ จากนั้นก็รวบรวมพลังภายใน ส่งแรงดึงดูดไปยังตำแหน่งหัวใจของหานซู่ 

 

 

           ทุกคนจับตามองแผ่นหลังหานซู่และมือของฉินอวี้ไม่วางตา 

 

 

           ผ่านไปพักหนึ่งก็มีเข็มขนาดเล็กมากค่อยๆ ถูกดึงขึ้นมาจากแผ่นหลังหานซู่จริงดังที่นางบอก ทุกคนพากันอุทานด้วยความตกใจ 

 

 

           ฉินอวี้มีสีหน้าเปลี่ยนไป เขาดูดเข็มขนาดเล็กมากมาวางบนฝ่ามือ จากนั้นก็ใช้ปลายนิ้วหยิบขึ้นมามอง เข็มเล่มนี้มีขนาดเล็กอย่างยิ่ง หากตกลงบนพื้น คนสายตาดีใช้เวลาหาครึ่งวันก็ยากจะหาเจอ เขามองเซี่ยฟางหวา “เจ้าแค่สังเกตสีหน้าใต้เท้าหานกับตรวจชีพจร มั่นใจได้อย่างไรว่ามีเข็มขนาดเล็กเช่นนี้อยู่” 

 

 

           หลังทุกคนหายตกใจแล้วก็มองเซี่ยฟางหวาด้วยความสงสัย 

 

 

           “ข้าตรวจชีพจรใต้เท้าหานจึงรู้ว่าเขาตายเพราะหัวใจหยุดเต้น แต่บนตัวเขาไม่มีบริเวณใดถูกแทง เช่นนั้นก็มีแค่ตำแหน่งหัวใจแล้วที่ถูกบางสิ่งฝังเอาไว้ และเขาไม่ได้ตายในทันทีเป็นแน่ ดังนั้นจึงคาดการณ์ว่าน่าจะมีบางสิ่งโจมตีหัวใจเขาโดยตรง แต่เขาไม่ได้บาดเจ็บสาหัส เช่นนั้นก็มีเพียงสิ่งนี้ที่เป็นไปได้ นั่นคือถูกของแหลมคมทะลวงผ่านหัวใจ ของแหลมคมที่ว่ามองไม่เห็นจากภายนอก ดังนั้นจะยังเป็นสิ่งใดได้อีก ก็น่าจะเป็นเข็มขนาดเล็กมาก” เซี่ยฟางหวาอธิบาย “ดังนั้นข้าจึงเดาว่าน่าจะเป็นเข็ม” 

 

 

           “มีเหตุผล” ฉินอวี้พยักหน้า 

 

 

           “พระชายาน้อย เหตุใดถึงบอกว่าใต้เท้าหานถูกเข็มปักหัวใจแล้วไม่ตายในทันที วิชาแพทย์ตรวจสอบได้ถึงขั้นนี้เลยหรือ” เสนาบดีฝ่ายซ้ายเอ่ยขึ้น  

 

 

           “วิชาแพทย์ข้าแม้ไม่เลว แต่ไม่อาจตรวจสอบได้ลึกซึ้งขนาดนั้น เพียงแต่ขณะใช้วิชาแพทย์ตรวจสอบ ยังไตร่ตรองถึงสภาพแวดล้อมและเบาะแสที่หลงเหลือบนตัวใต้เท้าหานด้วย” เซี่ยฟางหวาส่ายหน้า  

 

 

           “เบาะแสใด” ฉินอวี้ถาม 

 

 

           “เมื่อคืนใต้เท้าหานน่าจะลุกมาเปิดหน้าต่าง” เซี่ยฟางหวาจับอาภรณ์บนตัวใต้เท้าหานแล้วเอ่ยขึ้น  

 

 

           “หืม” ฉินอวี้ชะงักไป 

 

 

           “เป็นไปไม่ได้ ข้าพักข้างห้องเขา ใต้เท้าหานไม่เคลื่อนไหวตลอดทั้งคืน” หย่งคังโหวรีบกล่าวทันที  

 

 

           “ท่านโหวแน่ใจหรือว่าไม่มีการเคลื่อนไหว” เซี่ยฟางหวาหันมามองหย่งคังโหว “แม้แต่การเคลื่อนไหวเพียงเล็กน้อยก็ไม่มีเลยหรือ” 

 

 

           หย่งคังโหวอึกอัก ครุ่นคิดถี่ถ้วน หลังจากนั้นก็ส่ายหน้าลำบากใจ “ข้าแค่ไม่ได้ยินการเคลื่อนไหวใด แต่หากแม้แต่การเคลื่อนไหวเพียงเล็กน้อยก็ไม่มีนั้น เรื่องนี้…ไม่กล้ารับประกัน” 

 

 

           “โครงสร้างบ้านพักและตำหนักในค่ายหนาแน่นมาก หากไม่ใช่การเคลื่อนไหวใหญ่ คนผู้หนึ่งลุกจากเตียง เปิดหน้าต่าง เสียงเคลื่อนไหวเพียงเล็กน้อย หากห้องข้างเคียงไม่ได้ตั้งใจฟังเป็นพิเศษหรือรวบรวมสมาธิฟังย่อมยากจะได้ยิน” เซี่ยฟางหวากล่าวเสียงเรียบ  

 

 

           “ก็จริง” หย่งคังโหวคิดว่ามีเหตุผล 

 

 

           “เหตุใดเจ้าถึงบอกว่าเขาลุกขึ้นมาเปิดหน้าต่างกลางดึก” ฉินอวี้สงสัย 

 

 

           “เพราะเขานอนทั้งที่ยังสวมเสื้อ รอยจีบบนเสื้อผ้าไม่ได้ยับจากการนอนทั้งหมด หากแต่เพราะเปียกฝน เมื่อคืนฝนตกหนักมาก เขาไม่น่าจะออกมาจากห้อง มิฉะนั้นคงไม่เปียกน้ำฝนและอมความชื้นแค่เล็กน้อยเป็นแน่ เขาน่าจะลุกขึ้นมาเปิดหน้าต่างกลางดึก สายลมพัดเอาน้ำฝนสาดเข้ามาในเวลาไม่นานนัก ผ้าไหมเนื้อดีที่เขาสวมอยู่จึงเปียกละอองน้ำฝนจนชื้น ทำให้เกิดรอยยับย่นดังตอนนี้ โดยเฉพาะเวลาลูบเสื้อผ้าเขาจะรู้สึกได้ถึงความฝืด” เซี่ยฟางหวาตอบ 

 

 

           “จริงด้วย” ฉินอวี้ลองยื่นมือไปลูบ 

 

 

           “เหตุใดเขาต้องลุกมาเปิดหน้าต่างกลางดึก” หย่งคังโหวแปลกใจ 

 

 

           “เรื่องนี้ต้องถามว่ากลางดึกเมื่อคืนเกิดเรื่องใดที่ไม่มีใครทราบหรือไม่ ตรงนอกหน้าต่างห้องเขา มิฉะนั้นฝนตกหนักถึงเพียงนั้น เหตุใดใต้เท้าหานต้องเปิดหน้าต่างตอนกลางดึกด้วย” เซี่ยฟางหวาตอบ 

 

 

           “เจ้าพอทราบหรือไม่ว่าเขาเปิดหน้าต่างยามใด และเสียชีวิตยามใด” สีหน้าฉินอวี้ไม่น่ามอง 

 

 

           “ราวยามจื่อ*[1]” เซี่ยฟางหวาตอบ “หลังเขาเปิดหน้าต่าง คงใช้เวลาไม่ถึงครึ่งถ้วยชา จุดนี้คาดการณ์จากระดับความเปียกชื้นบนเสื้อผ้าเขา หลังจากนั้นเขาน่าหันหลังกลับมาหยิบบางสิ่งหรือจะทำบางอย่าง ไม่ได้รีบปิดหน้าต่างทันที ดังนั้นจังหวะที่เขาหันหลังจึงมีคนใช้เข็มโจมตีเขาจากข้างหลัง” 

 

 

           “ในเมื่อถูกเข็มปัก เขาน่าจะร้องอุทานขึ้นบ้าง หากไม่ส่งเสียงอุทานก็น่าจะตายทันที แต่ก็ควรเสียชีวิตตรงที่เดิม ไม่ควรกลับมานอนบนเตียงได้ อีกอย่างตื่นเช้ามาถึงเพิ่งถูกพบว่าเขาตายแล้ว” ฉินอวี้ขมวดคิ้ว  

 

 

           “ปัญหานี้อยู่ที่เข็มบนมือเจ้าแล้ว” เซี่ยฟางหวาตอบ “เพราะเข็มมีขนาดเล็กมาก หากถูกผู้มีวิทยายุทธ์ขั้นสูงอัดพลังภายในแล้วโจมตีใส่กะทันหัน ใต้เท้าหานซึ่งไม่มีวิทยายุทธ์ แม้ถูกเข็มขนาดเล็กปักเข้าใส่ก็เป็นไปได้ว่าเขาอาจจะรู้สึกเจ็บแปลบที่หลังเพียงครู่หนึ่งเท่านั้น หลังหายเจ็บแล้วก็กลับไปทำอย่างอื่นได้ตามปกติ ดังนั้นจึงปิดหน้าต่างแล้วค่อยกลับไปนอนบนเตียงย่อมทำได้เช่นกัน” 

 

 

           ทุกคนฟังแล้วก็ทอดถอนใจ 

 

 

           “ข้าไม่ได้ยินการเคลื่อนไหวใดเลยแม้แต่น้อย เพราะข้าอยู่ที่นี่ ในตำหนักหลังนี้ ข้างนอกมีองครักษ์ลับของข้าเฝ้าอยู่ราวหนึ่งร้อยคน พร้อมด้วยทหารอีกห้าร้อยนาย” ฉินอวี้หันมามองฉินเจิง  

 

 

           “เช่นนั้นคงเป็นคนที่อยู่ใกล้ตำหนักหลังนี้ หรือไม่ก็อยู่ที่นี่เป็นทุนเดิม หรือไม่ก็เฝ้าตำหนักแห่งนี้อยู่” ฉินเจิงกล่าว “ถึงอย่างไรเข็มเล่มนี้ก็ไม่มีหลักฐานมายืนยัน ใต้เท้าหานไม่ได้ตายเพราะวิชาหนอนพิษจงด้วย” 

 

 

           ฉินอวี้เม้มปากแล้วพยักหน้า 

 

 

           “ถึงแม้ใต้เท้าหานได้ยินเสียงนอกหน้าต่าง เขาเปิดหน้าต่างออกไปดูแวบหนึ่งก็น่าจะรีบปิดทันที แต่เขาไม่รีบปิดหน้าต่าง กลับหันหลังไปทำอะไร” หย่งคังโหวแปลกใจ  

 

 

           เซี่ยฟางหวาสังเกตรอบห้อง ข้าวของเครื่องใช้ถูกวางเป็นระเบียบ 

 

 

           เวลานี้หลี่มู่ชิงเอ่ยขึ้น “หากใต้เท้าหานได้ยินการเคลื่อนไหวแล้วลุกขึ้นมากลางดึกก็น่าจะหาตะเกียงก่อน หลังจุดตะเกียงก็เปิดหน้าต่าง จากนั้นเป็นไปได้ว่าไฟดับลงฉับพลัน เขาจึงหันหลังไปจุดตะเกียงใหม่ เวลานี้เองที่มีคนลงมือใช้เข็มสังหารเขา ต่อมาก็เป็นอย่างที่พระชายาน้อยบอก เขาอาจจะรู้สึกเจ็บที่หลังครู่หนึ่ง แค่หวาดผวาเล็กน้อยแต่ไม่พบสิ่งใด ด้วยเหตุนี้จึงปิดหน้าต่าง ดับไฟแล้วกลับไปนอน” 

 

 

           “มีเหตุผล คนจัดเตรียมข้าวของเครื่องใช้ในห้องบอกว่า มีเพียงตะเกียงที่ถูกย้ายที่ ไม่วางอยู่ในตำแหน่งเดิม” ฉินอวี้พยักหน้า  

 

 

           “แต่ใต้เท้าหานได้ยินการเคลื่อนไหวใดกันแน่ ข้าอยู่ห้องข้างๆ เหตุใดถึงไม่ได้ยินเลย” หย่งคังโหวเอ่ยขึ้น 

 

 

           “หากท่านได้ยินเสียง คนที่ตายคงเป็นท่านแทน” ฉินเจิงตอบ 

 

 

           หย่งคังโหวตกใจจนหน้าซีด สีหน้าเปลี่ยนไปทันที 

 

 

           “ที่แท้ท่านโหวก็กล้าหาญถึงเพียงนี้” ฉินเจิงชำเลืองมองหย่งคังโหวก่อนเดินมายังริมหน้าต่าง เปิดหน้าต่างออกแล้วมองออกไปข้างนอก 

 

 

           เซี่ยฟางหวาเดินตามฉินเจิงมาที่ริมหน้าต่าง ข้างนอกไม่มีสิ่งใดบดบังทัศนวิสัย หากแต่เป็นพื้นที่กว้างโล่งหรือเรียกได้ว่าบริเวณข้างหน้าบ้านพักต่างเป็นที่โล่ง แม้แต่ต้นไม้บังสักต้นก็หาไม่ 

 

 

           ฉินเจิงมองแวบหนึ่งแล้วหันมาหัวเราะเยาะใส่ฉินอวี้ “สังหารคนภายใต้การเฝ้ายามขององครักษ์ลับร้อยคนและทหารห้าร้อยนายได้ ยิ่งกว่านั้นยังเป็นตำแหน่งนี้อีก เจ้าว่าจะเล็ดลอดสายตาองครักษ์ลับไปได้หรือไม่” 

 

 

           ฉินอวี้เผยสีหน้าเยือกเย็น ไม่พูดจา 

 

 

           “คดีพวกนี้ เจ้าแน่ใจแล้วหรือว่าจะยกให้ข้าสะสาง” ฉินเจิงเลิกคิ้วถาม 

 

 

           ฉินอวี้เงียบลงพักหนึ่งก่อนพยักหน้า 

 

 

           “เจ้าคิดดีแล้วนะ อย่ามาเสียใจทีหลัง” ฉินเจิงปิดหน้าต่าง กั้นละอองน้ำฝนจากข้างนอก 

 

 

           “ข้างกายเจ้ามีหมอเทวดา นอกจากมีวิชาแพทย์พิษ ยังมีฝีมือพิสูจน์ศพได้ดีกว่าขุนนางชันสูตรศพ ทั้งฉลาดกล้าหาญ มีสติปัญญายอดเยี่ยมกว่าใคร คดีพวกนี้แม้มอบให้ผู้อื่น หากผู้นั้นสะสางไม่ได้ก็เกรงว่าจะต้องขอให้เจ้ากับนางช่วยเหลืออยู่ดี ถ้าเชิญเจ้ามาไม่ได้ก็คงต้องหยุดพักเอาไว้ก่อน แต่คดีพวกนี้ไม่อาจหยุดพักไว้ก่อนได้ จำต้องคลี่คลายโดยเร็วที่สุด โดยเฉพาะตอนนี้สูญเสียใต้เท้าหานจากกรมอาญาไปแล้วด้วย หากคดีไม่ถูกคลี่คลาย เหตุการณ์พวกนี้เกิดขึ้นที่ค่ายทหาร เช่นนั้นทหารสามแสนนายคงอยู่ไม่เป็นสุข คอยหวาดระแวงตลอดเวลา ถ้าเกิดเหตุการณ์ใดขึ้นอีก ผลลัพธ์คงไม่อาจจินตนาการ” ฉินอวี้มองเซี่ยฟางหวาแล้วเอ่ยขึ้น  

 

 

           “เจ้าเข้าใจก็ดี” ฉินเจิงกล่าวเสียงเย็น “ในเมื่อมอบให้ข้าแล้ว ห้ามผู้ใดแทรกแซงทั้งนั้น รวมถึงเจ้าด้วย” 

 

 

           “ฝนครั้งนี้ตกหนักมาก ตอนนี้ยังไม่มีทีท่าว่าจะหยุดลง ขณะข้าอยู่ที่ค่ายทหารก็ได้รับเอกสารราชด่วนที่ถูกส่งมาจากทุกพื้นที่ กองพะเนินเต็มไปหมด” ฉินอวี้กล่าวขึ้น “ภัยพิบัติที่เกิดขึ้นจะให้นิ่งดูดายได้อย่างไร ลำดับต่อไปข้าต้องจัดการเรื่องภัยพิบัติ ไม่มีเวลามายุ่งเรื่องคดี มอบให้เจ้าดีที่สุดแล้ว” 

 

 

           ฉินเจิงพยักหน้า “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ องครักษ์ลับร้อยนายที่คอยคุ้มครองเจ้าตอนนี้ต้องอยู่ที่นี่ทั้งหมด นอกจากนี้ก็รวบรวมรายชื่อทั้งหมดมาด้วย ทุกคนที่เจ้านำมาด้วยต่างต้องอยู่ที่นี่ก่อน” พูดจบก็กล่าวเพิ่ม “รวมถึงเยว่ลั่วและอู๋กงกงด้วย” 

 

 

           “ท่านอ๋องน้อย เมื่อคืนกระหม่อมอยู่เฝ้าองค์รัชทายาททั้งคืน หากท่านไม่ปล่อยข้ากลับไป ผู้ใดจะปรนนิบัติรับใช้ฝ่าบาทเล่า” อู๋เฉวียนตกใจ  

 

 

           “เจ้าไม่อยู่ตั้งสองวันแล้ว เสด็จอายังทรงสบายดี ถึงไม่มีเจ้า เสด็จอาย่อมมีคนคอยปรนนิบัติรับใช้”  

 

 

ฉินเจิงมองเขา 

 

 

           อู๋เฉวียนรีบมองไปยังฉินอวี้ “รัชทายาท เช่นนั้นท่านจะกลับเมืองเช่นไร ไม่มีใครคอยคุ้มครองข้างกายได้อย่างไรเล่า…” 

 

 

           “คนของข้าจะไปส่งเขาเอง” ฉินเจิงมองฉินอวี้ “กล้าหรือไม่” 

 

 

           “เหตุใดต้องไม่กล้า” ฉินอวี้เลิกคิ้วก่อนสั่งงานอู๋เฉวียน “เจ้าอยู่ที่นี่ไปก่อน พอข้ากลับถึงเมืองแล้วจะบอกเสด็จพ่อเอง” พูดจบก็กล่าวเสริม “ทุกคนที่ข้านำมาด้วย รวมถึงเยว่ลั่วจะอยู่ที่นี่” 

 

 

           อู๋เฉวียนเงียบ 

 

 

           ฉินอวี้หันหลังเดินออกไป 

 

 

           “ชิงเหยียน คุ้มครองรัชทายาทกลับเมืองหลวง ระหว่างนี้เจ้าย้ายไปติดตามองค์รัชทายาทก่อน” ฉินเจิงดีดนิ้วแล้วออกคำสั่ง  

 

 

           “ขอรับ!” ชิงเหยียนรีบขานรับ 

 

 

 

 

 

*ยามจื่อ หรือ ช่วงเวลาประมาณ 23:00 น. – 01.00 น.