ตอนที่ 42-1

จารใจรัก

ฉินอวี้บอกว่ากลับก็กลับทันที เขากางร่มออกจากตำหนักในค่ายอย่างรวดเร็ว 

 

 

           ผู้อาวุโสจากตระกูลหลูแห่งฟ่านหยางไม่คาดคิดว่ารัชทายาทจะมอบคดีนี้ให้ท่านอ๋องน้อยเจิง ความหวาดกลัวบังเกิดขึ้นในใจ พวกเขารีบตามออกไป “รัชทายาท ท่านกลับไปทั้งแบบนี้ แล้วท่านอ๋องน้อยเจิง…” 

 

 

           ฉินอวี้หยุดเท้าแล้วหันกลับมามอง เอ่ยด้วยน้ำเสียงไม่หนักไม่เบาเกินไป “ข้าเติบโตมาพร้อมท่านอ๋องน้อย เขามีนิสัยอย่างไรข้าย่อมรู้ดีที่สุด หากมอบคดีนี้ให้ผู้อื่นจัดการบางทีอาจไร้ความคืบหน้า แต่ถ้ามอบให้เขาจัดการจะต้องได้ความคืบหน้าโดยเร็วเป็นแน่ ความจริงจะเป็นที่ประจักษ์ชัดแจ้ง” 

 

 

           ผู้อาวุโสทุกท่านต่างผวา 

 

 

           “การตายของหลูอี้ไม่เหลือแม้แต่ศพหรือโครงกระดูก เชื่อเถอะว่ามอบให้เขาจัดการแล้วจะต้องให้คำอธิบายต่อตระกูลหลูแห่งฟ่านหยางของพวกท่านได้แน่” ฉินอวี้เอ่ยทิ้งท้ายก่อนหันหลังกลับ มีเพียงเขาคนเดียวที่เดินไปยังประตูค่าย 

 

 

           ผู้อาวุโสจากตระกูลหลูแห่งฟ่านหยางมองหน้ากัน จู่ๆ ฝนก็ตกเทกระหน่ำขึ้นมาอีกหน ทุกคนต่างย้อนกลับเข้าไปในห้อง เพียงเวลาแค่ครู่เดียวก็ทำเอาเนื้อตัวเปียกฝน 

 

 

           หลังทุกคนกลับเข้ามาก็ไม่แม้แต่จะปัดน้ำฝนที่เกาะตามตัวออก หากแต่เอ่ยกับเสนาบดีฝ่ายซ้าย 

 

 

ัดการบหน้านานความคืบหน้านานหลูหย่ง “เสนาบดีฝ่ายซ้าย ท่านว่า…” 

 

 

           หลูหย่งมองฉินเจิงแวบหนึ่งแล้วเอ่ยขึ้น “น้าอาทุกท่านไม่ได้อาศัยในเมืองหลวงนานแล้ว จะไม่รู้จักท่านอ๋องน้อยเจิงย่อมเป็นเรื่องปกติ ท่านอ๋องน้อยเจิงแม้ชอบเหยียดหยามดูถูกคนอย่างไม่ยี่หระ แต่เมื่อตั้งใจกระทำสิ่งใดแล้วมักทำได้ดีมาก ดังนั้นน้าอาทุกท่านวางใจเถิด เขาต้องมอบความยุติธรรมให้หลูอี้ได้แน่นอน” 

 

 

           ผู้อาวุโสทุกท่านได้ยินเช่นนั้นก็เงียบลง 

 

 

           ฉินเจิงเดินออกจากห้องพักหานซู่มายังโถงตำหนัก สั่งงานนายทหารนายหนึ่ง “ไปนำตัวหลี่อวิ๋นมา” 

 

 

           นายทหารนายนั้นขานรับแล้วรีบออกไป 

 

 

           “หากข้าอยากให้หลี่อวิ๋นพูดความจริง แต่ไม่ได้พูดตอนที่เขากำลังมีสติอยู่ หากแต่อยู่ในสภาพที่สติไม่ชัดแจ้ง ล้วงเอาความจริงออกมาจากก้นบึ้งหัวใจ เจ้ามีวิธีการใดหรือไม่ อย่างเช่นตัวยาบางชนิด” ฉินเจิงหันมาถามเซี่ยฟางหวาด้วยเสียงทุ้มต่ำ  

 

 

           “มียาตัวหนึ่ง แต่ข้าไม่ได้นำติดตัวมาด้วย หากเขียนใบสั่งยาไปต้ม เกรงว่าจะต้องใช้เวลานานมาก”  

 

 

เซี่ยฟางหวาครุ่นคิดครู่หนึ่ง  

 

 

           “ไม่มีวิธีอื่นแล้ว?” ฉินเจิงถาม “ไม่อยากให้เสียเวลาไปมากกว่านี้” 

 

 

           “มีวิธีหนึ่ง” เซี่ยฟางหวาไตร่ตรองพักหนึ่งแล้วเอ่ยเสียงเบา “ข้าใช้วิชาสะกดจิตได้ เป็นวิชาที่เรียนมาจากเขาไร้นาม แม้ไม่ได้เชี่ยวชาญมาก แต่หากใช้เสาะหาก้นบึ้งหัวใจของหลี่อวิ๋น น่าจะพอใช้การได้” 

 

 

           “ดี เช่นนั้นก็ใช้วิชาสะกดจิตนี้” ฉินเจิงบอก 

 

 

           เซี่ยฟางหวาพยักหน้า 

 

 

           เสนาบดีฝ่ายซ้าย หย่งคังโหว หลี่มู่ชิง ผู้อาวุโสจากตระกูลหลูแห่งฟ่านหยาง รวมถึงนายทหารระดับสูงในกองทัพเห็นว่าฉินเจิงกระซิบกระซาบกับเซี่ยฟางหวา ในใจต่างพากันคาดเดาไปต่างๆ นานาว่าพวกเขาจะคลี่คลายคดีนี้อย่างไร 

 

 

           ไม่นานก็มีคนนำตัวหลี่อวิ๋นเข้ามา 

 

 

           เมื่อหลี่อวิ๋นปรากฎตัวขึ้น เซี่ยฟางหวาสำรวจมองเขาอย่างถี่ถ้วน พบว่าเขามีรูปลักษณ์หล่อเหลา โครงใบหน้าเยือกเย็นแข็งกระด้าง สภาพร่างกายมองปราดเดียวก็รู้ว่าแข็งแรงมาก เป็นคุณสมบัติที่ดีสำหรับการเข้ามาฝึกวิทยายุทธ์ในกองทัพ แต่เนื่องจากถูกคุมขังสองวัน ดังนั้นใบหน้าเขาแม้แข็งกระด้าง แต่มีความซึมเซาบ้างเล็กน้อย สีหน้าย่ำแย่อย่างยิ่ง 

 

 

           “หลี่อวิ๋น เจ้าบอกมาว่าเหตุใดถึงต้องสังหารหลูอี้” ผู้อาวุโสคนหนึ่งจากตระกูลหลูแห่งฟ่านหยางกระโดดขึ้นมา ยกมือชี้หน้าหลี่อวิ๋น 

 

 

           “ข้าไม่ได้สังหารเขา!” หลี่อวิ๋นชะงักเท้า มองไปยังผู้อาวุโสคนนั้น ก่อนตอบด้วยน้ำเสียงหยาบกระด้าง  

 

 

           “มีคนเห็นกับตา เจ้ายังจะเถียงข้างๆ คูๆ อีกรึ” ผู้อาวุโสคนเดิมโมโหจนหน้ามืด “บอกความจริงมา เจ้าใช้วิชาหนอนพิษจงได้ใช่หรือไม่” 

 

 

           “ข้าใช้วิชาหนอนพิษจงอะไรนั่นไม่ได้ และไม่ได้สังหารเขา” หลี่อวิ๋นยืนยัน 

 

 

           ผู้อาวุโสคนเดิมยกมือขึ้นหมายจะทำร้ายเขา 

 

 

           “มีท่านอ๋องน้อยกับพระชายาน้อยสืบคดีนี้แล้ว สุดท้ายหลี่อวิ๋นเป็นผู้สังหารหรือไม่ ความจริงจะต้องปรากฏแน่นอน ท่านกระโดดออกมาเช่นนี้คิดจะทำอะไรกันแน่” หย่งคังโหวก้าวออกมาขวางผู้อาวุโสคนนั้น  

 

 

           “ใครบ้างไม่รู้ว่าท่านอ๋องน้อยกับพระชายาน้อยและจวนหย่งคังโหวของท่านมีความสัมพันธ์อันดีต่อกัน ใครไม่รู้บ้างว่าหลี่อวิ๋นคนนี้เป็นหลานชายตระกูลมารดาของฮูหยินท่าน ตอนนี้ท่านโหวกำลังปกป้องผู้ต้องหาอยู่หรือ” ผู้อาวุโสคนเดิมเอ่ยขึ้น 

 

 

           “ท่าน…” หย่งคังโหวถลึงตาด้วยความโกรธ 

 

 

           ฉินเจิงแค่นหัวเราะเยาะขึ้นมา มองไปยังผู้อาวุโสคนนั้นแล้วเอ่ยขึ้น “ตระกูลหลูแห่งฟ่านหยาง…” หยุดชั่วครู่แล้วเลิกคิ้วยียวน “กำลังกลัวหรือ กลัวว่าข้าจะสืบเจอว่าความจริงแล้วคนในตระกูลทำร้ายกันเองน่ะ” 

 

 

           ผู้อาวุโสจากตระกูลหลูแห่งฟ่านหยางได้ยินเช่นนี้ก็มีสีหน้าเปลี่ยนไป 

 

 

           “ท่านอ๋องน้อย ตระกูลหลูแห่งฟ่านหยางของเราสูญเสียหลายชายคนหนึ่งไป ย่อมอยากจะจัดการฆาตกรด้วยน้ำมือตัวเองเป็นธรรมดา ท่านกุเรื่องใส่ร้ายป้ายสีเช่นนี้มีเจตนาใด” คนหนึ่งทั้งตกใจทั้งโกรธขึ้นมา  

 

 

           “เขาอาจไม่ใช่ฆาตกร” ฉินเจิงบอก 

 

 

           “แต่ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม ตอนหลูอี้ตายก็ตายตรงหน้าเขา หรือจะบอกว่าไม่เกี่ยวข้องอันใดกับเขาแม้แต่น้อยรึ” ผู้อาวุโสคนเดิมเอ่ยขึ้น 

 

 

           “ใต้เท้าหานก็สิ้นใจโดยไม่รู้ตัวที่นี่ ทุกคนที่อาศัยในตำหนักใหญ่นี้และทุกคนที่อยู่ใกล้ตำหนักต่างต้องสงสัยด้วยกันทั้งสิ้น หรือจะไม่รอให้ความจริงกระจ่าง ให้ข้าสังหารคนพวกนี้ไปเลยดีหรือไม่” ฉินเจิงมองเขา 

 

 

           ผู้อาวุโสคนนั้นหน้าหงาย 

 

 

           “เสนาบดีฝ่ายซ้าย มิน่าตระกูลหลูแห่งฟ่านหยางของพวกท่านถึงด้อยลงทุกวัน ที่แท้ผู้กำหนดความเจริญรุ่งเรืองและความเสื่อมถอยในตระกูลนั้นหน้ามืดตาลาย จิตใจและสติปัญญาผิดปกติเช่นนี้” ฉินเจิงมองไปยังเสนาบดีฝ่ายซ้าย 

 

 

           เสนาบดีฝ่ายซ้ายก็โมโหขึ้นบ้างเช่นกัน หันกลับไปบอกผู้อาวุโสเหล่านั้น “น้าอาทุกท่านอย่าเพิ่งวู่วาม นี่โชคดีที่เป็นโถงตำหนักในค่ายทหาร ไม่ใช่ห้องโถงในกรมอาญาหรือศาลต้าหลี่ มิฉะนั้นคงไม่ปล่อยให้ผู้ใดโหวกเหวกโวยวายเช่นนี้” 

 

 

           ผู้อาวุโสคนนั้นเงียบลง ถอยหลังไปก้าวหนึ่ง 

 

 

           เพราะเขาโวยวายขึ้น บรรยากาศในตำหนักจึงตึงเครียดขึ้นเล็กน้อย 

 

 

           “หลี่อวิ๋น เจ้าแน่ใจหรือว่าไม่ได้สังหารหลูอี้” ฉินเจิงพินิจมองหลี่อวิ๋นตั้งแต่หัวจดเท้าก่อนเอ่ยขึ้น  

 

 

           “เรียนท่านอ๋องน้อย ข้าไม่ได้สังหารเขา” หลี่อวิ๋นตอบ 

 

 

           “เจ้าพอจำเหตุการณ์วันนั้นได้หรือไม่” ฉินเจิงถาม 

 

 

           “วันนั้นข้าจำได้ว่าไม่ต้องเข้าเวรตอนกลางคืนจึงเข้านอนแต่หัววัน ทว่าพอตื่นขึ้นมาอีกครั้งก็พบว่าตัวเองยืนอยู่ที่ลานฝึกซ้อม พร้อมกับหลูอี้ตายอยู่เบื้องหน้าแล้ว หลังจากนั้นทหารตรวจตรากลางคืนก็บอกว่าข้าสังหารหลูอี้ ต่อมาก็นำข้าไปคุมขัง” หลี่อวิ๋นส่ายหน้า ก่อนพยักหน้าแล้วเอ่ยขึ้น  

 

 

           “หลังเจ้าถูกคุมตัวไปขัง มีใครติดต่อกับเจ้าหรือไม่” ฉินเจิงถามอีก 

 

 

           “วันนั้นหลังจากท่านอ๋องน้อยกับองค์รัชทายาทมาสอบสวนครั้งหนึ่งก็ไม่มีใครมาพบข้าอีกเลย สองวันนี้ล้วนถูกขังในคุกมืด นอกจากคนในคุกมืด ข้าก็ไม่ได้พบใครอีก” หลี่อวิ๋นครุ่นคิดแล้วส่ายหน้า  

 

 

           ฉินเจิงผงกศีรษะ “หมายความว่าตัวเจ้าเองก็ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น ไม่รู้ว่าไปอยู่ที่ลานฝึกซ้อมได้อย่างไร ไม่รู้ว่าหลูอี้ตายอย่างไร ถูกต้องหรือไม่” 

 

 

           หลี่อวิ๋นพยักหน้าตอบ 

 

 

           “ดี เช่นนั้นตอนนี้ข้าจะให้โอกาสเจ้าได้พิสูจน์ความบริสุทธิ์ของตัวเอง” ฉินเจิงชี้มายังคนข้างกาย “พระชายาน้อยรู้วิชาแพทย์ นางทำให้เจ้าพูดความจริงขณะเจ้ากำลังหลับได้ หรือก็คือสิ่งที่เจ้าพูดออกมาตอนนี้ หากไม่ตรงกับสิ่งที่เจ้าพูดระหว่างหลับ เจ้าคงรู้ผลลัพธ์ดี” 

 

 

           หลี่อวิ๋นมองไปยังเซี่ยฟางหวา 

 

 

           “กล่าวกันว่าวิญญูชนไม่หวาดหวั่นต่อสิ่งใด หากเจ้าไม่ได้สังหารใครจริงๆ เช่นนั้นวิชาแพทย์ของข้าจะคืนความบริสุทธิ์ให้เจ้า” เซี่ยฟางหวามองเขาด้วยแววตาเรียบเฉย  

 

 

           “ได้” หลี่อวิ๋นรีบตอบ “ท่านอ๋องน้อยกับพระชายาน้อยโปรดตัดสินด้วย ข้าพูดความจริงทั้งหมด ไม่ได้สังหารใครอย่างแน่นอน” 

 

 

           ฉินเจิงพยักหน้า 

 

 

           “ต้องทำอย่างไรข้าถึงจะหลับ” หลี่อวิ๋นถาม 

 

 

           “เจ้าลงไปนอนบนพื้นก็พอ ข้าจะทำให้เจ้าหลับเอง” เซี่ยฟางหวาบอก 

 

 

           หลี่อวิ๋นได้ยินเช่นนั้นก็รีบลงไปนอนบนพื้นแล้วหลับตาลง 

 

 

           “ลืมตามองข้า” เซี่ยฟางหวาลุกขึ้นเดินมาหาก่อนบอกเขา  

 

 

           หลี่อวิ๋นรีบลืมตาขึ้น 

 

 

           เซี่ยฟางหวามองตาเขาเช่นกัน เอ่ยพูดกับเขาแผ่วเบา ขณะเดียวกันก็ถ่ายพลังรวบรวมลมปราณ แผ่ครอบคลุมบนหว่างคิ้วเขา 

 

 

           ผ่านไปพักหนึ่ง หลี่อวิ๋นราวกับทนความง่วงไม่ไหว ปิดเปลือกตาลงแช่มช้า 

 

 

           ผ่านไปอีกครู่หนึ่งก็เข้าสู่นิทราไปด้วยความสงบ