บันทึกมงกุฎขนนก (นิยายแปล)
บทที่ 17 ภาษีอันทารุณ
หลี่ชางม่าวเสียงต่ำอย่างจนใจ “ราชสำนักต้องการเก็บภาษีเพิ่มเติมอีกแล้ว”
นางเก๋อซื่อขมวดคิ้วไม่สบายใจ “เมื่อปีที่แล้วไม่ใช่เพิ่งเก็บภาษีเบ็ดเตล็ดเพิ่มไปแล้วหรือ แล้วจะมาเรียกเงินอะไรอีก เก็บไปยังไม่ถึงครึ่งปี เหตุใดยังมาเก็บเพิ่มอีก?”
“ไม่เพียงแต่ภาษีเบ็ดเตล็ดนะยังจะเพิ่มภาษีอุปกรณ์การเกษตรเพิ่มอีกรายการ แม้แต่ภาษีที่ดินก็มีการเปลี่ยนแปลง ปีที่แล้วที่นาทุกหมู่จะเรียกเก็บหนึ่งโตว ปีที่ประสบภัยไม่เรียกเก็บภาษี ปีนี้การเก็บเกี่ยวดีขึ้นก็จะเก็บเป็นสองโตว ปีประสบภัยหนึ่งโตว ที่ต้องตรวจสอบสมุดภาษี ก็เป็นเพราะเรื่องนี้เอง” หลี่ชางม่าวเม้มปากที่แห้งจนแตกเป็นรอยสีขาว ยุ่งวุ่นวายอยู่สองชั่วยาม แม้แต่น้ำสักหยดก็ยังไม่ได้ดื่มเลย (斗 = หน่วยของมาตราตวงวัดของจีน 1 โตว = 6.9 กก.)
“เหตุใดต้องเพิ่มเยอะมากมายขนาดนั้น ปีนี้ก็ยังไม่ได้ยินว่าจะมีสงคราม” นางเก๋อซื่อแปลงใจจนอ้าปากค้าง นางลืมไปเลยว่าในมือยังทำงานปักเย็บค้างอยู่ “คนชนบทไหนเลยจะมีปัญญาควักเงินออกมาได้อีก อยู่ดีๆ จะให้จ่ายภาษีตั้งมากมาย พวกเขาสามารถจ่ายได้หรืออย่างไรกัน? คงแสดงสีหน้ายินดีให้แก่เจ้าหรอก”
“ชาวบ้านแน่นอนต้องตำหนิข้าอยู่แล้ว แล้วข้าจะทำอย่างไรได้กันเล่า? แม้แต่ที่นาหลายผืนนั่นของพวกเราก็ต้องถูกเพิ่มภาษีด้วยเช่นกัน ช่วงสงครามของหลายปีมานี้ไม่ใช่เรื่องเร่งด่วนเท่าไหร่ ไม่เช่นนั้นเหรินเอ๋อของพวกเราคงหลีกเลี่ยงการเข้าเป็นทหารไม่ได้เป็นแน่” ภายในห้องมีแต่เสียงดังเอี๊ยดอ๊าดของเก้าอี้เล็กที่กำลังกระแทกกับพื้นทราย หลี่ชางม่าวลุกขึ้นไปรินน้ำ พอคลายความกระหายแล้วเสียงกลับยิ่งเบาลงไปอีก “อายส์ ตั้งแต่เกิดเรื่องขึ้นเมื่อเจ็ดปีก่อน เบื้องบนก็เปลี่ยนไปแล้ว วันแล้ววันเล่าดำมืด…….”
“การปกครองที่โหดร้ายทารุณราวเสือร้าย โชคดีที่สวรรค์ยังเห็นอกเห็นใจ พวกเราอาณาจักรซ่งใหม่หลายปีมานี้ลมฟ้าอากาศดี การเก็บเกี่ยวในทุกพื้นที่ทุกๆ ปีล้วนไม่เลว หลังจากหลี่จงเหรินทอดถอนใจ ก็หันศีรษะมองเห็นหน้าตาใสซื่อของฮวาหว่านที่ถูกแสงของท้องฟ้าเคลือบผิวใบหน้าจนเป็นสีทองอ่อน
หลี่จงเหรินใจเต้นระทึก เมื่อครู่ท่านบิดาเอ่ยถึงเหตุการณ์คดีใหญ่เมื่อเจ็ดปีก่อน กระทบถึงครอบครัวของฮวาหว่าน เพราะความเคราะห์ร้ายของครอบครัวฮวา เพียงแค่เพราะตอนนั้นฮวาหว่านอายุยังน้อย ถึงแม้จะพัวพันถึงบิดาของนาง คงไม่กระทบกระเทือนความทรงจำของนางจนล้ำลึกเท่าไหร่
แม้ว่าเป็นเช่นนี้ หลี่จงเหรินยังคงลูบศีรษะของฮวาหว่าน ถามอย่างไม่คลายกังวล “อาหว่าน ไม่เป็นไรใช่ไหม ล้วนแต่ผ่านไปหมดแล้ว”
ฮวาหว่านสูดลมหายใจแรง ยิ้มอ่อนโยนไปทางหลี่จงเหริน “ท่านพี่ข้าไม่เป็นไรแล้ว เพียงแต่ราชสำนักขึ้นภาษีครั้งนี้ ชาวบ้านเป็นจำนวนมากคงต้องล้มละลายเป็นแน่”
เมื่อเดือนก่อนเซียงลี่กล่าวไว้กับนาง ปีนี้มีข้าวเหลือหลายหาบ ท่านลุงกับท่าป่าโม่วางแผนจะเข้าเมืองไปซื้อลากลับมาอีกสักตัว
ลาตัวก่อนหน้านั้นที่ลุงโม่ใช้ลากไปเมืองหลวงถูกขายไปแล้ว เลยซื้ออีกตัวมาทิ้งไว้ที่ชนบท ปกติจะเอาไว้โม่ข้าวแบกหาม สามารถช่วยอาหญิงโม่ประหยัดเรื่องไปได้มาก
มาวันนี้จะเพิ่มภาษี แต่ละครอบครัวในหมู่บ้านสามารถมีเสื้อผ้าอบอุ่นใส่มีข้าวกินอิ่มท้องล้วนไม่ง่ายเลย ไหนเลยจะกล้ามีความคิดอื่นใดอีก
“จะเวลานั้นหรือเวลานี้ ไม่แน่ว่าปีหน้าราชสำนักก็จะลดภาษีแล้ว ในอนาคตหากว่าข้าได้เป็นขุนนางในราชสำนักจะต้องแนะนำฮ่องเต้ให้เรียนรู้จิตใจของอาณาประชาราษฎร์ ลดภาษี บรรเทาทุกข์ให้ราษฎร ปลอบโยนประชาชน หรี่จงเหรินเมื่อเห็นฮวาหว่านไม่ได้คิดถึงเรื่องอดีตแล้ว จึงวางใจกล่าวคำพูดอันโอ่อ่าภูมิฐาน
ฮวาหว่านยังไม่ทันได้กล่าวคำพูดใด ก็ได้ยินเสียงนางเก๋อซื่อยกที่กั้นประตู ตะโกนส่งเสียงมาทางนาง “อยู่ตรงนั้นทำอะไรกัน ไม่รำคาญอากาศร้อนที่ด้านนอกหรืออย่างไร กลับเข้าไปพักในห้องซะ วันนี้ท่านลุงของเจ้ากลับบ้านเร็ว อีกประเดี๋ยวจะได้กินอาหารเย็นเร็วขึ้นหน่อย”
ฮวาหว่านรีบตอบคำ ทั้งยังช่วยนางเก๋อซื่อเร่งรัดให้หลี่จงเหรินรีบเข้าไปอ่านหนังสือ เดือนหน้าก็จะต้องสอบเพิ่มเติมเข้าสถาบันไท่เสวแล้ว เวลายิ่งเร่งด่วน ไม่สามารถที่จะทำเกียจคร้านได้อีก
ฮวาหว่านกลับเข้าห้องเล็กของตนเอง หยิบไม้การบูรที่แกะสลักรูปทรงของดอกลูกแพรสามดอกออกมาจากในตะกร้าพร้อมมีดแกะสลัก
อาจารย์ลู่ให้ไม้ตากแห้งท่อนเล็กๆ สำหรับไว้ฝึกแกะสลักกับนางเป็นจำนวนมาก นางเห็นว่าหากแกะไม้การบูรให้ละเอียดเกลี้ยงเกลามันจะส่งกลิ่นหอมอ่อนๆ ออกมา ทั้งยังได้ยินมาอีกว่าไม้การบูรใช้กันแมลงและกันราได้ เลยคิดว่าเมื่อแกะสลักเสร็จแล้วจะมอบให้กับเซียงลี่ที่ไม่ได้เจอกันมานาน เมื่อคิดไปคิดมาเซียงลี่จะต้องชื่นชอบเป็นแน่
วันที่สองเซียงลี่ได้ยินว่าฮวาหว่านกลับมาหมู่บ้านแล้ว แม้กระทั่งอาหารเช้าก็ไม่แตะต้อง ก็หยิบตะกร้าสานไม้ไผ่วิ่งตรงมาที่บ้านสกุลหลี่หาฮวาหว่าน ภายหลังเมื่อหลี่ชางม่าวถามเซียงลี่ว่าบิดานางกลับหมู่บ้านแล้วหรือยัง จึงให้ฮวาหว่านออกไปวิ่งเล่นกับเซียงลี่
“พี่สาวหว่าน โรงเรียนช่างศิลป์แห่งนั้นสนุกดีไหม คึกคักเหมือนร้านขายกระเบื้องแถวถนนพานโหลวหรือเปล่า” สายตาของเซียงลี่เต็มไปด้วยการเฝ้ารอฮวาหว่าน ถือโอกาสเด็ดหญ้าขนอ่อนขึ้นมาโบกเล่น
เซี่ยงลี่จำได้ว่าเมื่อตอนรู้ข่าวที่แพร่สะพัดในหมู่บ้านว่าฮวาหว่านได้เข้าเรียนในโรงเรียนช่างศิลป์นั้น มารดาและพี่สาวของนางเมื่อหยิบเรื่องนี้ขึ้นมาพูดทีไรก็จะอิจฉาตาร้อน ในคำพูดยังกล่าวว่าบนสุสานบรรพบุรุษของฮวาหว่านมีควันสีน้ำเงินพวยพุ่งออกมา (冒青烟 = เป็นคำพูดเหน็บแนมที่บุตรหลานในบ้านใดก็ตามได้มีโอกาสเป็นขุนนางหรือมีอนาคตที่ดีกว่า) ก้าวหน้าไปไกลยิ่งนัก พี่สาวหว่านได้รับใช้ราชสำนักล้วนและก็ไม่ต้องทำให้คนอื่นต้องกลุ้มใจ เมื่อฟังนางแล้วในใจจึงรู้สึกคันคะเยอจริงๆ
ฮวาหว่านหัวเราะกล่าว “คนในโรงเรียนช่างศิลป์มีตั้งมากมายก็ต้องคึกคักครื้นเครง แต่ว่าข้าไม่ได้ไปเที่ยวเล่นสักหน่อย ทุกวันจะต้องไปเรียนสิ่งต่างๆ มากมายในชั้นเรียน ท่านอาจารย์ยังต้องมีการทดสอบการเรียน เพียงอยู่อย่างสงบสุข ถึงจะสามารถเรียนรู้ถึงพื้นฐานอันแท้จริงของโรงเรียนช่างศิลป์ได้ ในอนาคตถึงจะมีหนทางที่ดี เซียงลี่ปีหน้าเข้าก็ไปสอบได้นะ”
เซียงลี่ทำหน้าย่น “ยังคงต้องเรียนหนังสือ อย่างนั้นข้าไม่ไปหรอกนะ ข้ายิ่งไม่ชอบถูกคุมตัวด้วย”
ฮวาหว่านคิดที่จะแนะนำ ความจริงเมื่อเข้าโรงเรียนศิลป์แล้ว ไม่ว่าจะเรียนอะไร ก็สามารถประหยัดเรื่องอาหารการกินไปได้ไม่น้อยเลย แต่ว่าเซียงลี่มีนิสัยไม่ค่อยอดทน จึงไม่กล่าวถึงโรงเรียนช่างศิลป์ต่ออีก ได้แต่ดึงมือนางวิ่งไปที่โค้งลำธาร “พี่สาวหว่าน ผู้เฒ่าเวิงในหมู่บ้านผูกแพไม้ไผ่ไว้ตั้งมาก พวกเราไปดูกันว่ามีที่ถูกทิ้งไว้บนหาดบ้างหรือไม่ ในฤดูนี้ในลำธารมีกุ้งขาวตั้งมากมาย แค่หย่อนลงไปก็ได้ผลผลิตขึ้นมาตั้งเพียบ พวกเราไปช้อนกันเถอะ ใช้น้ำร้อนลวกลงไปช่างสดดีแท้”
ฮวาหว่านได้ยินแล้วก็เกิดความสนใจขึ้นมา เอ่ยปาก “เมื่อวานท่านป้าของข้าก็ทำหมีผัดกุ้งสดให้ข้ากับท่านพี่กินเป็นอาหารว่าง รสชาติเยี่ยมมาก”
“ใช่ไหมล่ะ พวกเรารีบไปกันเถอะ”
ฮวาหว่านกับเซียงลี่นับว่ามีโชคทีเดียว พอมาถึงริมลำธารก็พอดีมีแพไม้ไผ่ปล่อยทิ้งไว้ เซียงลี่เติบโตที่ริมแม่น้ำ ส่วนฮวาหว่านเคยมีประสบการณ์ครั้งก่อนที่กระโดดลงแม่น้ำเปี้ยนเหอเพื่อไปหยิบห่อผ้า ก็ไม่กลัวน้ำเช่นกัน
แต่ทว่าพอครึ่งชั่วยามผ่านไป ตะกร้าไม้ไผ่ของเซียงลี่ก็เต็มไปด้วยกุ้งขาวที่ยังกระโดดโลดเต้น
ฮวาหว่านเอียงคอมองแล้วมองอีก “เซียงลี่ ไม่ต้องช้อนแล้ว หากช้อนอีกก็ใส่ไม่หมดแล้วนะ”
เซียงลี่ยังคงลังเลใจ หากแต่เห็นเหล่ากุ้งขาวจดจ่ออยู่ที่ฝาไม้ไผ่เหมือนอยากกระโดดออกมา ได้แต่กระแทกปากกล่าว “พี่สาวหว่าน กุ้งขาวในตะกร้าพวกนี้เอาไปขังเลี้ยงไว้ในอ่างที่บ้านของท่านก่อน จากนั้นพวกเราค่อยกลับมาช้อนใหม่อีกครั้งดีไหม”
ฮวาหว่านปิดปากหัวเราะ “ก็ต้องว่าดีอยู่แล้ว หากแต่แพไม้ไผ่ถูกคนอื่นเอาไปใช้เสียแล้ว เจ้าต้องไปช้อนที่บ้านข้าครึ่งหนึ่งแล้วล่ะ”
“อา……” เซียงลี่ขมวดคิ้วเป็นเกลียว
สองคนถ่อแพไม้ไผ่กลับเข้าริมลำธาร เซียงลี่ใจร้อนอ้ำๆอึ้งๆลากแพไม้ไผ่เข้าไปในดงต้นอ้อ ฮวาหว่านยืนอยู่ในที่ไม่ไกลนัก สามารถมองเห็นการเก็บสิ่งของอย่างนั้น จึงเม้มปากหัวเราะนางเองก็ไม่ได้เป็นคนถูกกระทำ ปล่อยให้เซียงลี่ได้ระบายอารมณ์ ถือว่าเป็นการให้นางสงบใจก็พอ
ฮวาหว่านกับเซียงลี่คนหนึ่งแบกตะกร้าคนละด้านตรงไปทางบ้านสกุลหลี่ เมื่อผ่านถนนดินเหลือง ก็เห็นหลี่ชางม่าวกับโม่ฟู๋บิดาของเซียงลี่ยืนอยู่ตรงทางแยกกำลังถกเถียงกันอยู่ ทั้งสองจึงรีบเดินเข้าไปหา
โม่ฟู๋ดึงตัวเซียงลี่ไปยืนที่ด้านหลังตนเอง ทำให้กุ้งในตะกร้าสานไม้ไผ่กระเด็นออกมาหลายตัว
“กลับบ้าน” ท่านลุงโม่ตวาดเสียงดัง ทั้งยังไม่ลืมถลึงตาให้หลี่ชางม่าวกับฮวาหว่าน พูดอย่างเย็นชา “บ้านสุนัขรับใช้กับหมาป่าตาขาว”
ในใจของฮวาวห่านพอจะรู้แล้วว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น แต่ยื่นตะกร้าไม้ไผ่ส่งไปเบื้องหน้า “ท่านลุงโม่ ตะกร้าไม้ไผ่นี้เซียงลี่เอามาด้วย”
โม๋ฟู๋หน้าดำคร่ำเครียดมองคว้าตะกร้าใส่กุ้ง ไม่พูดอะไรอีกได้แต่ดึงเซียงลี่อย่างแรงเดินจากไป
“ท่านลุง พวกเราก็กลับกันเถอะ” ฮวาหว่านมองไปที่หลี่ชางม่าว ในแววตาเต็มไปด้วยความกังวลใจ
“ก็ดี พวกเรากลับบ้านกัน” หลี่ชางม่าวไม่อยากให้ฮวาหว่านวิตกไปด้วย ใช้มือปัดฝุ่นบนเสื้อผ้าเขียวพร้อมกับฝืนยิ้ม
เมื่อกลับถึงบ้านสกุลหลี่ หลี่ชางม่าวเรียกนางเก๋อซื่อเข้าไปคุยเสียงเบาในห้อง ฮวาหว่านบีบไม้การบูรดอกแพรในมือ เมื่อคืนนางตั้งใจฟั่นเชือกเป็นพู่ห้อยแขวนไว้บนดอกแพรไม้ เสียดายที่ยังไม่ทันมอบให้เซียงลี่