บันทึกมงกุฎขนนก (นิยายแปล)

บทที่ 16 เรื่องรบกวนใจ

ช่วงเวลาที่อันจูมาที่โรงเรียนช่างศิลป์นั้น ฮวาหว่านโดยสารรถลาของเหอจินเพื่อนร่วมโรงเรียนซึ่งที่บ้านได้ส่งคนมารับเรียบร้อยแล้ว

เหอจินอาศัยอยู่ที่หมู่บ้านในอำเภอทงสวูที่อยู่ใกล้เคียงกับอำเภอกวงหยาง ทั้งสองอำเภอต่างก็ใช้เส้นทางเดียวกันเพื่อเข้าสู่เมืองหลวง

รถลาที่ฮวาหว่านโดยสารกำลังข้ามสะพานโจวเฉียว

ฮวาหว่านมองเรือที่ประดับประดาอย่างหรูหราที่จอดอยู่โดยรอบทั้งสองฝั่งน้ำของแม่น้ำเปียนเหอ ลมแม่น้ำพัดไหวโอบล้อมกระตุ้นให้ชายคารูปทรงปลายงอนที่กาสลักด้วยสีแดงทรายของเรือประดับสั่นคลอน เสียงดีดผีผาและเสียงขลุ่ยเดี๋ยวหยุดเดี๋ยวบรรเลง บางครั้งก็มีเสียงสดใสราวนกขมิ้นของหญิงสาวดังแว่วมา เป็นท่วงทำนองเพลงที่มีความหมายลึกซึ้งและกำลังเป็นที่นิยม

ในช่วงกลางวันสำนักนางโลมและร้านเหล้าจำนวนมากกำลังหยุดพัก เมื่อถึงช่วงกลางคืนก็ไม่รู้ว่าจะคึกคักมากแค่ไหน

เนื้อร้องในบทเพลงนั้น “ร่ายรำทำนองเพลงให้จิตใจเบิกบาน ทางหนึ่งเก็บกระจับทางหนึ่งร้องเพลง พอตะวันคล้อยค่อยกลับบ้าน ผู้เฒ่าตกปลาหัวเราะเริงร่า มองดูเด็กสาวเก็บดอกบัว” นี้ก็คือบรรยากาศการใช้ชีวิตของชาวบ้านตามริมฝั่งน้ำ

ฮวาหว่านจำได้ว่าบิดาเคยกล่าวไว้ ความคึกคักเพริศแพร้วของโคมแดงเหล้ามรกตล้วนทำให้ผู้คนลุ่มหลงติดกับ และไม่ยอมเผยความขมขื่น เจ็บปวด เศร้าโศก เกลียดชัง และแค้นเคือง ที่ต้องแอบซ่อนอยู่เบื้องหลัง อาศัยความมึนเมาปกป้องสภาพของผู้คนบนโลกที่ต้องตื่นอย่างโดดเดี่ยว

ฮวาหว่านบีบนิ้วมือ นางเองอาจจะยังไม่เข้าใจทั้งหมดในสิ่งเหล่านั้นที่บิดาพูด ช่วงเวลาของความรุ่งเรืองมีเพียงตัวเองที่รู้ถึงความโง่เขลาหลอกลวง

ในใจของฮวาหว่านรู้สึกเศร้าอยู่บ้าง นางเบือนหน้าเก็บประกายตา หลับตาพักผ่อนบนที่นั่งบางเบา

ในช่วงเวลาเดียวกัน เงาร่างของเจ้าอ้วนอันจูก็ผ่านรถลาไป

อันจูเดินวนรอบกำแพงสีเทาของโรงเรียนช่างศิลป์อยู่หลายรอบ ความจริงแม้ว่าฮวาหว่านจะไม่ได้กลับหมู่บ้านยวินเซียว อันจูก็ไม่รู้ว่าจะสามารถพบกับนางหรือไม่ เพราะว่าอันจูเองก็ไม่สามารถเข้าไปในโรงเรียนช่างศิลป์ได้อย่างสิ้นเชิง

สุดท้ายประกายตาของอันจูได้แต่จ้องมองไปยังไม้จันทร์ดำของป้ายประกาศเกียรติคุณของสำนักไท่เสวที่ขวางระหว่างโรงเรียนช่างศิลป์เท่านั้น เขาทำปากจู๋ พ่นลมหายใจก่อนวิ่งกลับศาลาคนธรส

ถึงที่สุดแล้วอันจูก็ยังคงเด็กอยู่มากๆ ทั้งยังถูกเลี้ยงดูอย่างตามใจจนเติบใหญ่ คำพูดคำจาและความคิดยังไม่ได้หลุดพ้นจากนิสัยแบบเด็กๆ ในใจของเขายังคงนึกถึงตอนที่ฮวาหว่านกระโดดลงน้ำเพื่อไปหยิบห่อผ้าแต่ก็ไม่ได้รู้สึกผิดเท่าไหร่นัก

แม้ว่าจะไม่ได้รู้สึกผิดแต่ที่ฮวาหว่านไม่สนใจตัวเองกระโดดลงแม่น้ำเปียนเหอ “บุคลิกอันองอาจ” ประทับอยู่ภายในสมองของเขาเสียแล้ว ความกล้าหาญของฮวาหว่านครั้งนี้นั้นเจ๋งเสียยิ่งกว่าที่พวกเขาก่อเรื่องวุ่นวายในโรงเรียนเสียอีก ยังมีความเป็นหัวหน้ากลุ่มที่ยั่วเย้าให้เหล่าบรรดาอาจารย์โกรธเคืองอีก

ในเมื่อเป็นคนที่น่าเลื่อมใสศรัทธา เขาก็ควรที่จะไปทักทายสักนิด พิจารณารูปร่างหน้าตาของฮวาหว่านให้ละเอียดถี่ถ้วนเสียหน่อย เขาช่างตาถั่วนัก เมื่อก่อนได้แต่คิดว่าจะรังแกนางอย่างไร ไม่คิดที่จะมองนางอย่างจริงจังมาก่อนเลย

“ท่านพ่อ ข้าไม่อยากไปเรียนที่หนานซานแล้ว ข้าต้องการไปเรียนที่สถาบันไท่เสว!”

เถ้าแก่อันถูกเสียงคำรามของอันจูเมิ่ง พลันทำกล่องเงินในมือร่วงหล่นพื้น รอจนสติกลับมาแล้ว เถ้าแก่อันได้แต่รอให้อันจูก่อกวนครู่หนึ่ง ความจริงอันจูเองก็ยังไม่เคยศึกษามาก่อนว่าสถาบันไท่เสวคืออะไรเข้าล้วนแต่ไม่เข้าใจ เขากล่าวอย่างใจลอย “สถาบันไท่เสวต้องอาศัยความสามารถในการสอบเข้าไป เจ้าว่านอนสอนง่ายเถอะ ฉวนเซินไปร้านขนมเฉียนถางซื้อเค้กถั่วหยกกับขนมอี๊เย็นมาให้ เจ้าก็ไปกินเองแล้วกัน”

เมื่อสี่ปีก่อนช่วงที่เพิ่งส่งอันจูเข้าโรงเรียนนั้น เถ้าแก่อันยังมีความคิดหลงเหลืออยู่บ้างว่า มุ่งหวังให้ทายาทคนเดียวเรียนหนังสือมีความสามารถ เพื่อที่วันหนึ่งจะได้สร้างเนื้อสร้างตัวต่อสู้ดิ้นรนจนได้เป็นขุนน้ำขุนนาง จะได้สร้างชื่อเสียงเกียรติยศให้วงศ์ตระกูลแทนเขา แต่ปีแล้วปีเล่าที่ผ่านไป จากที่เขาถูกบรรดาอาจารย์ในโรงเรียนต่อว่าดุด่าและตักเตือนให้อันจูเลิกเรียนยิ่งมายิ่งบ่อยครั้งขึ้น ในใจเขาเลยหมดหวังไปแล้ว เพียงแค่เฝ้าหวังให้อันจูรู้หนังสือคิดเงินเป็น อนาคตจะได้รับช่วงต่อทำกิจการร้านค้าของศาลาสุคนธรสได้

อันจูได้ยินว่ามีขนมอี๊เย็นก็เริ่มกลืนน้ำลาย แลบลิ้นเลียริมฝีปาก เมื่อครู่ที่เขาเดินมาหลายหัวถนน เหงื่อออกมากมายทำให้คนร้อนอบอ้าว ประจวบเหมาะกับได้ขนมอี๊เย็นช่วยคลายความร้อน จีบหมุนกายวิ่งเข้าไปในห้อง เรื่องที่จะเข้าสถาบันไท่เสว เขาคิดง่ายดายเกินไป อนาคตค่อยไปสอบก็พอแล้ว จะสอบติดหรือไม่ติดค่อยว่ากันก็แล้วกัน

หลี่จงเหรินและฮวาหว่านกลับถึงบ้านพร้อมกันพอดิบพอดี นางเก๋อซื่อพอได้เห็นหน้าฮวาหว่านบนใบหน้าก็ปรากฏความยินดี แต่ฝีปากยังพูดจาดุร้าย “จมูกดีนักเชียว กลับมาได้จังหวะพอดีเชียวนะ ข้าเพิ่งจะเตรียมหมี่ผัดกุ้งสดไว้ให้กับพี่ชายเจ้าคงต้องแบ่งให้เจ้าครึ่งหนึ่งอีกแล้ว”

ฮวาหว่านเม้มปากหัวเราะ นางเข้าไปทำความทักทายกับนางเก๋อซื่อและหลี่จงเหรินก่อน แล้วจึงพูด “ท่านป้าวางใจ ข้ายังไม่หิว ให้ท่านพี่กินก่อนเถอะ สักครู่รอให้ท่านลุงกลับมาแล้ว ข้าค่อยกินอาหารเย็นพร้อมกับท่านลุงและท่านป้า”

หลี่จงเหรินจิ้มไปที่ศีรษะของฮวาหว่านจนผ้าผูกผมสีครามหลุดจากมวยผม “หลายวันมานี้ต้องช่วงเวลาโย่วท่านพ่อถึงจะได้กลับบ้าน หากรอให้ถึงตอนนั้นเข้าจริงๆ คงหิวตายเป็นแน่ ท่านแม่จำได้ว่าเจ้าจะหยุดวันไหนหรอกนะ หมี่ผัดกุ้งสดก็ทำตั้งชามใหญ่ ข้าคนเดียวกินไม่หมดหรอก ไปกินด้วยกันเถอะนะ” (เวลาโย่ว = 酉时 คือเวลาตั้งแต่ 1700 – 1900)

ฮวาหว่านรู้สึกร้อนผ่าวในหัวใจ “ขอบคุณค่ะท่านน้า”

นางเก๋อซื่อเหลือบมองดูฮวาหว่านอย่างละเอียด “ดูเหมือนว่าเจ้าจะอยู่ที่โรงเรียนช่างศิลป์สุขสบายกว่าอยู่ที่บ้านท่านลุงของเจ้านะ ดูแล้วเจ้าเหมือนมีน้ำมีนวลขึ้น”

ฮวาหว่านที่กำลังจะตามหลี่จงเหรินเข้าไปในครัว นึกขึ้นมาได้ว่านางนำกิ๊บปักผมไม้ติดตัวมาด้วย จึงรีบหยิบออกจากตะกร้าหนังสือส่งให้นางเก๋อซื่อ “ท่านป้า อันนี้คือข้าแกะสลักจากที่โรงเรียน หวังวว่าท่านป้าจะไม่รังเกียจนะคะ”

นางเก๋อซื่อใช้มือหยาบลูบคลำกิ๊บปักผมไม้ ใบหน้าไม่ปรากฏอารมณ์ใดๆ แต่ในใจกลับชื่นชอบมาก “ก็ดีกว่าเมื่อก่อนที่เจ้าใช้ต้นหญ้ามาถัก คุ้มค่าเงินมากกว่า เมื่อไหร่ที่เจ้าทำเป็นทองกลับมา ข้าถึงจะดีใจ”

“ท่านแม่!” หลี่จงหรินรู้สึกไม่พอใจกับการร้องทุกข์ที่ไม่สุภาพนักของมารดา เกรงว่าฮวาหว่านจะถือคำพูดนางเป็นเรื่องจริงจัง แล้วต้องทำเรื่องโง่ๆ ที่ฝ่าฝืนกฎของโรงเรียน เขาทั้งวิตกทั้งกังวลใจจนต้องมองไปที่ฮวาหว่าน

“เฮอะ ข้าล้อเล่นหรอกนะ เจ้าสงบจิตใจทุ่มเทกับการเรียนเถอะ อนาคตเมื่อเรียนสำเร็จแล้ว คงไม่มีเรื่องไม่ดีอันใด รีบไปกินซะ เดี๋ยวอาหารจะเย็นซะหมด” นางเก๋อซื่อก้มศีรษะซ่อมแซมเสื้อผ้าต่อ ขี้เกียจที่จะสนทนากับเด็กทั้งสองอีก

ฮวาหว่านแลบลิ้น เดินตามเบื้องหลังหลี่จงเหรินไปอย่างเก้อเขิน

หลี่จงเหรินคีบกุ้งในชามของตนเองวางในชามของฮวาหว่าน “กุ้งพวกนี้เพิ่งจะช้อนมาจากโค้งน้ำ สดๆใหม่ๆอร่อยถูกปากอย่างมาก อาหว่านเจ้าต้องกินให้มากๆ นะ”

กุ้งเมื่อเข้าไปอยู่ในชามเรียบร้อยแล้ว จะคีบคืนกลับไปให้ก็ดูไม่เหมาะสมนัก ฮวาหว่านขอบคุณหลี่จงเหรินก่อนก้มลงค่อยๆ กินลงไป

“อาหว่าน ปลายเดือนหน้าข้าจะไปเข้าร่วมสอบซ่อมกับสถาบันไท่เสวแล้วนะ ถ้าหากว่าสอบผ่าน ภายหลังพวกเราจะได้อยู่ในเมืองหลวงเป็นเพื่อนกัน” หลี่จงเหรินกล่าวอย่างอบอุ่นนุ่มนวล

“ไม่กี่วันแล้วสินะ ท่านพี่เตรียมตัวอย่างไรบ้างแล้ว เรียนรู้ได้ทั้งหมดหรือยัง?” ฮวาหว่านมองไปที่ใบหน้าอันสงบนิ่งมั่นคงของหลี่จงเหริน มีความคิดว่าความจริงแล้วท่านพี่ของนางมีความมั่นอกมั่นใจที่จะสอบเข้าสถาบันไท่เสวได้มาโดยตลอด

“การเรียนรู้ย่อมไม่มีที่สิ้นสุด คงไม่สามารถเรียนได้จนหมดสิ้น ข้าเพียงแต่ทำทุกอย่างเท่าที่จะสามารถทำได้ คิดที่รับมือกับการสอบซ่อมเพื่อเข้าสถาบันไท่เสวนั้น คงจะไม่มีปัญหาอะไร” หลี่จงเหรินหยุดพูดชั่วขณะก่อนที่จะเอ่ยปากต่อ “วันหยุดพรุ่งนี้ข้าไม่สามารถอยู่ที่บ้านเป็นเพื่อนเจ้าได้ อาจารย์ที่สำนักปราชญ์นั้นหลังจากที่ทราบว่าข้าต้องการสอบเข้าสถาบันไท่เสว ตั้งใจเตรียมชั้นเรียนให้ข้าฝึกฝนเป็นพิเศษ เพื่อให้ข้าได้ใช้เวลาอันจำกัดนี้เร่งเพิ่มพูนเตรียมความรู้ให้มากขึ้นอีกหน่อย”

ฮวาหว่านหัวเราะกล่าว “ท่านพี่วางใจอ่านตำราเถอะ ข้าไม่ใช่เด็กน้อยแล้ว ถ้าหากวันพรุ่งนี้ท่านลุงกับท่านป้าไม่มีอะไรให้ข้าช่วย ข้าจะไปเล่นกับเซียงลี่ ข้ายังนำของขวัญเล็กๆน้อยๆมาให้นางด้วยนะ

สองคนเพิ่งจะกินหมี่ผัดกุ้งสดหมด ด้านนอกก็มีเสียงเปิดรั้วประตูไม้ดังแว่วมา หลี่จงเหรินเอียงตัวมองไปด้านนอก กล่าวด้วยความสงสัย “วันนี้เหตุใดท่านพ่อจึงกลับมาเร็วนักนะ”

ได้ฟังคำฮวาหว่านก็รีบลุกขึ้นไปหาท่านลุงทันที นางมองมาที่หลี่จงเหรินเอ่ยถาม “พี่ชาย หลายวันมานี้ท่านลุงยุ่งอยู่กับเรื่องอะไรหรือ”

“ปีนี้ท่านนายอำเภอโจวเร่งรัดให้รีบทำสมุดบัญชีล่วงหน้า ในวันที่หนึ่งของเดือนหกท่านบิดาจะต้องตรวจสอบสมุดบัญชีภาษีของฤดูใบไม้ร่วงแล้ว หลังจากตรวจสอบและส่งให้ทางอำเภอแล้ว ก็คงจะได้ผ่อนคลายขึ้น” หลี่จงเหรินเองก็ลุกขึ้นยืนเช่นกัน เดินตามฮวาหว่านไปที่สวน

หลี่ชางม่าวเมื่อเห็นฮวาหว่านนั้นคิ้วที่กำลังขมวดแน่นก็ผ่อนคลายลง ภายหลังจากที่ไต่ถามสารทุกข์สุกดิบฮวาหว่านอยู่หลายประโยค จึงให้หลี่จงเหรินพาฮวาหว่านออกไปเที่ยวเล่นที่ด้านนอก ตนเองถอนใจยาวก่อนผลักประตูเข้าบ้านด้วยความเหน็ดเหนื่อย

“ตามข้ามา” หลี่จงเหรินนำฮวาหว่านเดินอ้อมบ้านไปแอบหลบซ่อนตรงมุมกำแพงของหน้าต่างไม้อย่างเงียบเชียบ