บันทึกมงกุฎขนนก (นิยายแปล)
บทที่ 15 โครงภาพบนเครื่องลายครามสีขาว
เพราะว่าโรงเรียนหยุดพักชั่วคราว ฮวาหว่านจึงไปที่โรงอาหารโดยตรง
ตอนบ่ายอาจารย์ลู่ยังคงให้พวกนางทำความคุ้นเคยกับวัตถุดิบแต่ละอย่าง ทั้งยังให้แกะสลักโครงร่างบนทองคำแท้ ก่อนเลิกเรียนอาจารย์ลู่สั่งให้ทุกคนเตรียมพู่กันสีดำ เพราะว่าพรุ่งนี้จะให้วาดโครงร่างบนกระเบื้องลายครามขาว
นอกเหนือจากเรื่องประเพณีมารยาท ตำราแล้ว ศิลปะการวาดภาพก็ยังมีความสำคัญอย่างมาก อาจารย์มีคำกล่าวว่าเมื่อเวลาผ่านไปอีกช่วงหนึ่งจะสอนพวกนางแกะสลักบนวัตถุต่างชนิด ไม่ว่าจะเป็น ทองคำ เงิน หยก งาช้าง
เมื่อกลับถึงห้องพัก หลินซีใบหน้าหมองเศร้า จูงมือของฮวาหว่านกล่าว “อาหว่าน ข้ากังวลใจเรื่องที่จะวาดโครงร่างบนกระเบื้องลายครามขาวมากเลย เจ้าคงรู้อยู่แล้วว่าฝีมือวาดภาพของข้าไม่ได้เรื่องเลยจริงๆ ถ้าหากว่ารู้ล่วงหน้าว่าอาจารย์ลู่จะให้พวกเราวาดลวดลายแบบไหนก็คงจะดี วันนี้ข้าคงต้องอธิษฐานขอสิ่งศักดิ์สิทธิ์เสียแล้ว
ฮวาหว่านปิดปากหัวเราะ “มีอะไรน่ากังวลใจกัน เริ่มแรกคงไม่ค่อยชำนาญ พอค่อยผ่านไปก็จะชำนาญเองแหละ”
“เจ้าเองเดิมทีวาดภาพดีอยู่แล้วก็ไม่ต้องกังวลน่ะสิ ก่อนหน้านี้ที่เจ้าวาดรูปกล้วยไม้สีชมพูบนกระดาษซวนจื่อ ยังได้รับคำชมเชยจากอาจารย์ลู่อยู่เลย” หลินซีเอามือลูบหน้า จงใจถอนใจอย่างซื่อสัตย์ “ข้ายังคงไปสอบถามคนอื่นดีกว่า ไม่แน่ว่าอาจถามได้ถูกคน”
หลินซีจงใจพูดเสียงดังให้เซียะหรูอิงและหวังจื่อหรูได้ยิน เซียะหรูอิงเหล่สายตามองหลินซีแวบหนึ่ง จงใจไม่สนใจนาง แต่หวังจื่อหรูกลับแสดงความเห็นอกเห็นใจ ถอนใจยาวเป็นเพื่อนหลินซี
รอจนหวังจื่อหรงหมุนกายลับหลังไปแล้ว มุมปากกลับกระดกเอื้อนเอ่ยถ้อยคำหยอกล้อเหยียดหยาม
เมื่อครู่นางจงใจแกล้งกล่าวว่าลืมสิ่งของ ต้องกลับไปที่ห้องเรียนอีกรอบ
เมื่อถึงระเบียงทางเดินหน้าห้องเรียน นางได้ยินเสียงอาจารย์ลู่กำลังพูดคุยกับอาจารย์ท่านอื่นๆ อยู่
ตอนเย็นนางจึงค่อยๆ ไตร่ตรอง พรุ่งนี้เมื่อวาดโครงภาพบนเครื่องลายครามขาวจะต้องงดงามจนทำให้คนรอบข้างต้องประหลาดใจ และต้องทำให้อาจารย์ลู่มองนางในมุมมองที่เปลี่ยนไป
เลิกเรียนในวันนี้ สีหน้าหวังจื่อหรงไม่ค่อยดีเท่าไหร่ รอยยิ้มที่มุมปากก็ดูฝืนใจมาก
เมื่อคืนก่อนนางตั้งใจวาดภาพนาสาลิกาฤดูหนาวกับดอกเหมยดำเป็นพิเศษ ถึงแม้ว่าจะได้รับคำชมจากอาจารย์ลู่ แต่ยังคงนำไปเปรียบเทียบกับคนอื่นไม่ได้
“อาหว่าน แนวคิดลวดลายบนเครื่องลายครามขาวของเจ้ามีความโดดเด่นเฉพาะตัวที่ไม่เหมือนใครเหลือเกิน ยังมีบทกลอนนั้นอีก แต่เจ้าเขียน ” หลินซีล้างมือทำความสะอาดหมึกพิมพ์ที่เปื้อนเล็กน้อย แล้วจึงยื่นส่งสบู่ถั่วให้ฮวาหว่าน
เดิมทีอาจารย์ลู่ร้องขอให้พวงนางวาดรูปดอกเหมยบนเครื่องลายครามขาว กระเบื้องขาวดั่งหิมะ ดอกเหมยดั่งจิตวิญญาณ
ในชั้นเรียนนักเรียนหญิงส่วนมากล้วนวาดดอกไม้สีแดงมีกิ่งก้านสีดำ มีเพียงบางคนเท่านั้นที่ใช้วิธีวาดแบบแต้มสีดำจางๆ
ฮวาหว่านตอนแรกนั้นวางแผนจะใช้วิธีวาดแบบแต้มสีดำจางๆ แต่เมื่อลองไตร่ตรองอย่างละเอียดแล้ว รู้สึกว่าวาดรูปพลัมดอกเหมยสามต้นเหมือนหายากมากกว่า วาดต้นพลัมห้าต้นก็ยิ่งอัดแน่นเกินไป ยิ่งปรากฏให้เห็นความยุ่งเหยิงเข้าไปใหญ่
ฮวาหว่านจึงจงใจจับพู่กันใช้สีน้ำตาลย้อมวาดลวดลายเรียงกัน ตั้งใจวาดเป็นรูปเฉลียงระเบียง ที่ลานบ้านด้านนอกระเบียงปลูกเพียงต้นอ่อนของพลัมดอกเหมยสองต้น
ในรูปจะกำลังเป็นช่วงพักฤดูหนาว ดอกไม้เดิมทีที่ยังตูมอยู่เมื่อถึงห้วงกลางคืนจะเป็นดอกเหมยฤดูหนาวที่เบ่งบานแล้ว รูปเงาสีดำจางๆ ของต้นเหมยสั่นไหวอ่อนพลิ้วสัมผัสเข้ากับชายคาของระเบียงอย่างพอดี หิมะสีขาวที่ปกคลุมบันไดหินที่สลักรูปดอกไม้ระหว่างช่องหน้าต่าง ยังคงสะท้อนเงาจางๆ ของต้นเหมย
ฮวาหว่านเมื่อแต้มสีดอกไม้ดอกสุดท้ายเสร็จแล้วจึงวางพู่กันเปื้อนสีในมือลง เปลี่ยนจับพู่กันขนอ่อนอีกด้าม ตรงช่องว่างของมุมใต้ก้อนหินเขียนข้อความ “เดินย้อนกลับระเบียง ดอกเหมยร่วงหล่นส่งกลิ่นหอมอันอ่อนโยน”
ตัวอักษรบรรจงคัดวาดอย่างงดงาม เมื่อเห็นก็รู้แล้วว่าในชั้นเรียนคัดตัวอักษรนางใช้เวลาเป็นอย่างมาก
โครงภาพบนเครื่องลายครามสีขาวของฮวาหว่านได้รับคำชมเชยจากอาจารย์ลู่เป็นอย่างมาก ดึงดูดให้คนรอบข้างรู้สึกอิจฉา
ฮวาหว่านหันไปทางหลินซีส่ายหัว หัวเราะกล่าว “ข้าไหนเลยจะมีความสามารถขนาดนั้น นั่นคือถ้อยคำที่ท่านซูเขียนขึ้น”
หวังจื่อหรงที่ยืนอยู่ด้านหลังของคนทั้งสองขมวดคิ้ว “เฮอะ เฮอะ” เปล่งเสียงแค่นเย็นชาสองครั้งกล่าว “ภาพวาดบนเครื่องลายครามขาวของฮวาหว่านงดงามจริงๆ เพียงแค่การวางสัดส่วนของภาพก็ไม่ง่ายแล้ว คงไม่ใช่เพราะเกิดแรงบันดาลใจถึงทำได้ล่ะ ในเมื่อคืนวานก็มีความคิดดีแล้ว ทำไมไม่บอกกับหลินซีเล่า”
ฮวาหว่านหันกลับมามองหวังจื่อหรงอย่างตกตะลึง “ข้าเองก็ทราบว่าจะต้องวาดลวดลายอะไรในเวลาเดียวกันกับพวกเจ้า”
หลินซีมองคนทั้งสองไปมาด้วยความแปลกใจ ไม่กล่าวคำพูดอะไร กลับเป็นเซียะหรูอิงที่สั่วให้หวังจื่อหรูหุบปาก “ฮวาหว่านหากรู้เรื่องนี้ก่อนแล้ว คงจะวาดภาพได้ดีกว่านี้อีก เจ้าเองก็ไม่ต้องสงสัยผีสางเทวดาให้มากไป”
ก่อนหน้านี้เซียะหรูอิงจงใจไปหาอาจารย์ลู่เพื่อปรึกษาขอพิจารณาโครงภาพบนเครื่องลายครามสีขาวของฮวาหว่านอย่างละเอียด แม้ว่ารูปนั้นจะงดงามแปลกใหม่ไม่เหมือนใครทั้งยังมีเสน่ห์ทรงคุณค่า แต่เพราะว่ารีบร้อนเกินไปจึงมีสองจุดที่จัดการได้ยังไม่เข้าที่ทางและเหมาะสมดีพอ
เซียะหรูอิงลุกขึ้นยืน หวังจื่อหรูจึงได้แต่หุบปากหน้าเหยเก ในใจนางทั้งอิจฉาทั้งร้อนรน เซียะหรูอิงและหลินซีต่างก็อยากไปสำนักอักษร ฮวาหว่านกับตัวนางกลับอยากไปสำนักหนิงกวงหยวน
ไม่ว่าฮวาหว่านจะยอดเยี่ยมขนาดไหน ล้วนไม่สามารถขัดขวางเป็นอุปสรรคต่อเซียะหรูอิงหรือหลินซีได้ แต่กับนางก็ไม่เหมือนกันแล้ว ทุกปีสำนักหนิงกวงหยวนยงแค่เลือกคนของโรงเรียนช่างศิลป์แค่สิบคนเท่านั้น เมื่อฮวาหว่านมาถึงทำให้ความหวังที่นางจะเข้าสำนักหนิงกวงหยวนลดน้อยลงไปอีกหลายส่วน
“ข้าก็เชื่อว่านางไม่รู้เรื่องมาก่อน” หลินซีดึงแขนของฮวาหว่าน กล่าวเสียงแหบต่ำ “อาหว่าน พรุ่งนี้โรงเรียนช่างศิลป์หยุดพักผ่อน ประจวบเหมาะเป็นวันขึ้นสิบห้าค่ำ อยากไปตลาดกระเบื้องที่วัดเซียงกั๋วด้วยกัน”
หลินซีชอบเที่ยวเล่น พอกล่าวถึงตลาดกระเบื้องใบหน้าก็ปรากฏความดีใจและเฝ้าคอย
ฮวาหว่านยิ้มอย่างขอบคุณให้กับเซียะหรูอิงก่อน แล้วจึงกล่าวกับหลินซี “พรุ่งนี้ข้าต้องกลับหมู่บ้านยวินเซียวไปหาท่านลุงกับท่านป้า”
“อา ตลาดกระเบื้องมีของแปลกใหม่ตั้งมากมาย ยังมีคนเล่นการแสดงหุ่นเชิด น่าสนุกสนานคึกคักจะตาย อาหว่านเจ้าจะไม่ไปจริงๆน่ะเหรอ” หลินซีรู้สึกไม่ยินยอมพร้อมใจ
“ตั้งแต่เข้าโรงเรียนช่างศิลป์ ข้าก็ไม่เคยกลับไปเลย พรุ่งนี้พักผ่อนหากข้ายังอยู่เที่ยวเล่นในเมืองหลวงอีก ท่านลุงกับท่านป้าคงจะโกรธมากแน่ ทุกเดือนที่วัดเซียงกั๋วต้องเปิดตลาดกระเบื้องตั้งห้าครั้ง ครั้งหน้าพวกเราค่อยไปด้วยกันก็ได้นะ”
ฮวาหว่านเมื่อพูดอย่างนี้แล้ว หลินซีจึงได้แต่เลิกรา บนใบหน้ารู้สึกถูกทิ้งอย่างเก็บไว้ไม่มิด
หวังจื่อหรงที่เดินอยู่ด้านหลังของฮวาหว่านกับหลินซีเพื่อกลับห้องพัก นางเองก็อยากไปตลาดกระเบื้องเช่นกัน เสียดายที่หลินซีไม่ได้เชิญนางไปด้วย ในใจเหมือนไม่มีรสชาติอันใด ริมฝีปากเหมือนมีรสชาติขมฝาด ได้แต่กระซิบกระซาบเสียงเบา “ท่านลุงนั่นมีอะไรน่าไป คนอื่นเห็นเป็นแค่ลูกเลี้ยง เจ้ากลับคิดว่าตัวเองเป็นลูกรัก”
“อย่าไปสนใจจื่อหรง ยัยคนนั้นพูดจาเจ็บแสบใจดำคิดเล็กคิดน้อย พูดออกมาก็ไม่น่าฟัง” หลินซีเบิ่งตามองหวังจื่อหรงอย่างไร้อารมณ์ กระซิบกระซาบเสียงเบาที่ข้างหูฮวาหว่าน
ฮวาหว่านกะพริบตาสงสัย ความจริงที่หวังจื่อหรูพูดอะไรออกมา นางฟังไม่ชัดแม้แต่คำเดียว
เพราะว่าเป็นวันชำระล้างจิตใจ โรงเรียนช่างศิลป์จึงเลิกเรียนก่อนหนึ่งชั่วยาม ฮวาหว่านพลิกหยิบปิ่นปักผมไม้รูปเมฆมงคลที่แกะสลักเมื่อตอนเข้าเรียนกับรูปวาดตัวอักษรมงคลหลายรูปจากในตะกร้า ปิ่นปักผมไม้นั้นเมื่อเปรียบเทียบกับอันที่เซียะหรูอิงปักบนมวยผมยังละเอียดประณีตกว่า ฮวาหว่านเสียดายที่จะใช้เอง จึงตัดสินใจจะนำไปมอบให้ท่านป้า
ฮวาหว่านอยู่ในห้องพักค่อยๆเก็บเสื้อผ้า คุณชายน้อยอันจูของศาลาสุคนธรสเพราะว่าด้วยเรื่องของฮวาหว่านจึงระบายอารมณ์กับเถ้าแก่อันบิดาของตนเอง
“ท่านพ่อ เหตุใดยัยเด็กนั่นถึงไม่มาที่ร้านเราอีกเลย” อันจูตบโต๊ะเสียงดังปังๆ จนขนมในจานเล็กสั่นสะเทือนร่วงหล่นแตกละเอียดเกลื่อนบนโต๊ะ
“สาวน้อยหว่านมีเส้นทางอนาคตที่ดีกว่า ตัวเองไม่ต้องมานั่งถักหญ้าประดับให้ลำบากอีกแล้ว” เถ้าแก่อันที่นั่งหน้าตู้กำลังดีดลูกคิด นิสัยของบุตรชายเขาเองทราบดี คาดเดาว่าที่เขาดุว่า ยังเพราะเกลียดชังเด็กสาว สาวน้อยหว่านไม่มาก็ดีเหมือนกัน จะได้ไม่ถูกบุตรชายรังแกอีก
“นางมีอนาคตที่ดีอะไรกัน? อันจูหยิบขนมจากในจานเข้าปาก รสชาติหวานอร่อยทำให้เขาอารมณ์ดีขึ้นบ้าง แถมยังไม่ตบโต๊ะอีก
“ไปโรงเรียนช่างศิลป์แล้ว ต่อไปไม่แน่ว่านางอาจมีอนาคตที่สดใส” เถ้าแก่อันตอบคำอย่างไม่ใส่ใจ เงยหน้ามองเห็นอันจูทะยานออกจากศาลาสุคนธรสราวกับสายลม
“อ๋ายส์ จูเอ๋อ เจ้ายังจะไปที่ไหนอีก…..” แก่อันตะโกนเสียงดัง เสียดายที่คนวิ่งไปไกลเสียแล้ว เถ้าแก่อันส่ายหัวอย่างอับจนปัญญา ก้มศีรษะลงตรวจสอบบัญชีต่อ